ตอนที่ 649 บารมีของหยกขาวพันปี

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่นิ่งเงียบและไม่กล่าวสิ่งใดก่อนมุ่งหน้ากลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว จากนั้นทุกคนก็รวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่พยายามที่จะสำรวจเข้าไปในจี้แม่กุญแจทองนี้ด้วยพลังวิญญาณของตน อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณของนางก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในวัตถุทรงพลังดังกล่าวได้เลย ซ้ำร้ายยังถูกขวางกั้นด้วยพลังลึกลับบางอย่างที่ป้องกันจนไม่อาจตรวจจับสิ่งใดได้

หลัวจื้อเลี่ยเองก็พยายามใช้พลังวิญญาณของเขาเพื่อดูว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับจี้แม่กุญแจทองนี้หรือไม่ อีกทั้งเขาก็ต้องการทดสอบดูว่าความทรงจำภายในแม่กุญแจทองนี้จะรู้สึกถึงความคุ้นเคยกับพลังของเขาและปรากฏออกมาเองหรือไม่ ทว่าหลังจากพยายามหลายวิธี มันก็ไม่มีวิธีใดที่เป็นผล

“เฮ้ อันที่จริงจี้แม่กุญแจนี้ก็มีสติรับรู้เป็นของตนเองเช่นกัน”

ขณะทุกคนไม่พบหนทางกอบกู้ความทรงจำมาจากจี้แม่กุญแจทองตรงหน้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นร่างบุรุษหนุ่มก็ปรากฏกายด้านข้างทุกคนและรับจี้กุญแจทองไปจากมือของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธหรือขัดขวางแต่อย่างใด บุรุษน้อยเยาว์วัยผู้นี้คือหยกขาวพันปีที่ได้พบกับนางก่อนหน้านี้และขอติดตามมาด้วย ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หยกขาวพันปีก็คลุกคลีอยู่กับเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่จนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว แม้พลังการต่อสู้ของมันในตอนนี้จะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับอสูรตัวอื่น ๆ ทว่าหยกขาวพันปีก็มีความสามารถพิเศษบางอย่างที่อสูรเหล่านั้นไม่มี

เมื่อได้ยินวาจาของหยกขาวพันปี ทุกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการคิดหาทางออกก็หันขวับมองไปที่ร่างบุรุษหนุ่มด้วยแววตาคาดหวังทันที

ภายในดินแดนเทพมายา วัตถุทุกอย่างสามารถฝึกฝนบ่มเพาะจนมีจิตรับรู้เป็นของตนเองได้และมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป เมื่อจิตสำนึกนี้แข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่ง มันก็จะสามารถจำแลงร่างมนุษย์และมีจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

วัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ อุปกรณ์ โอสถหรือสิ่งอื่นล้วนให้กำเนิดจิตสำนึกของตนเองขึ้นมาได้ทั้งสิ้น

ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธ อุปกรณ์และโอสถ แน่นอนว่าสิ่งที่ฝึกจิตได้ยากที่สุดคือวัตถุไร้ชีวิตธรรมดาต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือหยกขาวพันปีและจี้แม่กุญแจทองตรงหน้านี้

เว้นเพียงแต่พบโอกาสที่พิเศษและโชคชะตาเป็นใจ มันก็จะฝึกฝนบ่มเพาะจนพัฒนาจิตสำนึกขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับการจำแลงร่างมนุษย์หลังจากนั้น

การที่หยกขาวพันปีสามารถให้กำเนิดจิตใต้สำนึกขึ้นมาและสามารถฝึกฝนบ่มเพาะจนพัฒนามาถึงปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นความบังเอิญที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

“ในจี้แม่กุญแจทองนี้มีความทรงจำส่วนหนึ่งถูกปิดผนึกไว้ เนื่องจากมีความทรงจำนั้นและสภาวะพลังที่มหาศาลของชนเผ่าเอลฟ์ จี้แม่กุญแจทองจึงดูดซับสภาวะพลังฟ้าดินได้อย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนก่อตัวกลายเป็นจิตสำนึกของมันเองได้”

หยกขาวพันปีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้เพิ่งได้เห็นวัตถุในมือเป็นครั้งแรก มันก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษหนุ่มก็ยังมีวิธีที่จะดึงเอาความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ออกมาจากจี้แม่กุญแจดังกล่าวเช่นกัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวจื้อเลี่ย หลัวหมิงฮ่าวและสั่วซีหย่าก็มองดูบุรุษหนุ่มร่างจำแลงด้วยแววตากังวล ในเวลานี้ ความหวังในการที่จะเอาความทรงจำของหลัวจื้อเลี่ยกลับมาและฟื้นฟูพลังของเขาจนบรรลุถึงระดับสูงสุดได้อีกครั้งก็ล้วนอยู่ในมือของหยกขาวพันปีแล้ว

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยังคงยืนนิ่งอย่างใจเย็น นางรู้จักเหล่าอสูรที่เป็นดั่งสหายของตนเป็นอย่างดี แม้ผิวเผินพวกมันอาจดูวางท่าโอ้อวด ทว่าพวกมันก็ไม่เคยกล่าวสิ่งใดที่ไร้สาระหรือไม่เป็นจริง ในเมื่อหยกขาวพันปีกล่าวเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันมั่นใจมากพอสมควรและสามารถกอบกู้ความทรงจำของหลัวจื้อเลี่ยกลับคืนมาได้

“นายหญิง ข้าขอยืมเพลิงอสูรของพี่ซิวได้หรือไม่ ?”

หยกขาวพันปีกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มเพื่อให้นางจุดเพลิงดังกล่าวออกมา

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะแต่โดยดีและเพลิงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วมือเป็นแสงสว่างเจิดจ้า

“เจ้าหนู ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจคำพูดของข้า จงฟังให้ดี…ข้าผู้นี้เพียงต้องการเอาความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้ในร่างของเจ้าออกมาเท่านั้นและมิได้คิดทำร้ายจิตสำนึกของเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าคิดจะขัดขืนละก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะใช้เพลิงทรงพลังนี้แผดเผาเจ้าจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”

หยกขาวพันปีกล่าววาจาเชิงข่มขู่กับจี้แม่กุญแจทองตรงหน้า มันทราบดีว่าวัตถุชิ้นนี้มีจิตรับรู้ที่ช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจวาจาของมันได้

หยกขาวพันปีส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่วางมือแนบบนจี้แม่กุญแจ และด้วยการประทับมือลงไป นางก็พบว่าจี้แม่กุญแจทองมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่านางจมหายเข้าไปในตัวมัน

“นายหญิง เห็นก้อนแสงข้างในจี้แม่กุญแจนั่นรึไม่ ? เพียงแค่นำมันออกมาก็พอ”

ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยังมีเพลิงอสูรของซิวอยู่ในมือก็มองเห็นภายในจี้แม่กุญแจทองได้อย่างชัดเจน ด้วยคำชี้แนะของหยกขาวพันปี นางสังเกตเห็นว่ามุมหนึ่งของจี้แม่กุญแจทองมีก้อนแสงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก้อนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

และอีกส่วนหนึ่งของจี้แม่กุญแจทองก็มีก้อนแสงที่มีขนาดใหญ่กว่าก้อนแสงเดิมที่กำลังลอยอยู่และสั่นระริกเล็กน้อย

“นำก้อนแสงขนาดเล็กนั้นออกมาได้เลย นั่นคือความทรงจำของเขา”

หยกขาวพันปีมองเห็นสถานการณ์ข้างในอย่างชัดเจนเช่นกันและส่งสัญญาณบอกให้ฉินอวี้โม่หยิบก้อนแสงที่มีขนาดเล็กกว่าออกมา ส่วนก้อนที่ใหญ่กว่าคือจิตสำนึกที่ถือกำเนิดขึ้นมาในจี้แม่กุญแจทองนั่นเอง หากมีเวลาพัฒนาต่อไป มันอาจสามารถเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และจำแลงร่างมนุษย์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม การบรรลุความสำเร็จถึงขั้นนั้นต้องใช้เวลาอีกนานนัก

เพลิงที่ปลายนิ้วของฉินอวี้โม่ได้แทรกซึมเข้าไปในจี้แม่กุญแจทองและล้อมรอบดึงเอาบอลแสงขนาดเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือนั้นออกมา เมื่อเพลิงทรงพลังสัมผัสเข้าที่บอลแสงอย่างแผ่วเบา ราวกับมีม่านป้องกันห่อหุ้มและปกป้องมันโดยสมบูรณ์

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ก้อนแสงดังกล่าวก็ปรากฏในมือของนาง ในขณะเดียวกัน หยกขาวพันปีก็กลับคืนตำแหน่งเดิมและถอนพลังออกจากจี้แม่กุญแจทอง เวลานี้จี้กุญแจวางอยู่ในมือของมันอย่างเงียบๆ

“ข้าต้องทำอย่างไรต่อไป ?”

ขณะมองดูก้อนแสงเลือนรางในมือ ฉินอวี้โม่ก็ชำเลืองมองหยกขาวพันปีและกล่าวถาม

“มอบให้เขาได้เลยขอรับ”

หยกขาวพันปีชี้ตรงไปที่หลัวจื้อเลี่ยผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างด้วยแววตาจดจ่อก่อนมองกลับมาที่จี้แม่กุญแจทองในมือของตน “นายหญิง ข้าขอจี้แม่กุญแจทองนี้ได้รึไม่ ? ข้าอยากเก็บมันไว้ข้างกายและคอยดูมันฝึกพลังจนพัฒนาและก่อรูปร่างขึ้นมา”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ เป็นคำตอบ ของสิ่งนี้มิใช่ของของนางและจำเป็นต้องถามความคิดเห็นของหลัวจื้อเลี่ยเสียก่อน

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าทุกคนช่วยข้าไว้มาก สำหรับจี้แม่กุญแจทองนี้ หากเจ้าต้องการมันก็เอามันไปเถอะ”

หลัวจื้อเลี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่ปฏิเสธใด ๆ เขาได้ความทรงจำที่ผนึกอยู่ภายในนั้นแล้วและการเก็บจี้แม่กุญแจทองไว้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เมตตาช่วยชีวิตบุตรสาวของเขาและช่วยชนเผ่าเอลฟ์ไว้มากนัก ต่อให้ทราบว่าจี้แม่กุญแจทองอาจสั่งสมพลังจนจำแลงร่างมนุษย์ได้ในอนาคต ทว่ามันก็มิได้มีคุณค่ามากเท่าความซาบซึ้งใจที่เขามีต่อฉินอวี้โม่

หยกขาวพันปีมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมพยักศีรษะและถือจี้แม่กุญแจทองไว้ด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่งก่อนแยกตัวออกไปหาพื้นที่เพื่อศึกษามัน

ในขณะเดียวกัน หลัวจื้อเลี่ยก็รับก้อนแสงไปจากมือของฉินอวี้โม่ ทว่าเพียงแค่สัมผัสมัน ก้อนแสงก็กลายเป็นกลุ่มควันและหลั่งไหลเข้าสู่สมองของเขาอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ…”

หลัวจื้อเลี่ยรู้สึกถึงความเจ็บจี๊ดที่ศีรษะของตนทันทีก่อนที่ความทรงจำมากมายจะค่อย ๆ ปรากฏเป็นภาพในหัว นับตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากชนเผ่าเอลฟ์และพบกับสั่วเชี่ยน—มารดาของสั่วซีหย่า จนกระทั่งทั้งสองครองรักกันและให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าสั่วซีหย่า รวมถึงตอนที่จู่ ๆ เขาก็ได้รับข่าวว่าเกิดเรื่องบางอย่างในชนเผ่าเอลฟ์และรีบร้อนกลับมาซึ่งระหว่างทางนั้นเขาก็ถูกซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส… ความทรงจำทุกอย่างที่เคยขาดหายไปแล่นอยู่ในหัวจนอาการปวดหัวของเขารุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“ท่านพ่อ ?”

เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของหลัวจื้อเลี่ย สั่วซีหย่าก็ก้าวออกมาและกล่าวอย่างเป็นกังวล

“สั่วซีหย่า…ข้าต้องขอโทษเจ้าจริง ๆ …”

เมื่อนึกถึงภาพความทรงจำทั้งหมดที่ย้อนกลับมา ดวงตาของหลัวจื้อเลี่ยก็รื้นไปด้วยน้ำตาทันที เขารู้สึกผิดกับสั่วซีหย่าและมารดาของนางอย่างสุดหัวใจ

“ท่านพ่อ อย่าพูดถึงเรื่องในอดีตเลยเจ้าค่ะ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นและเหตุใดท่านจึงสูญเสียความทรงจำได้ ?”

สั่วซีหย่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางมองเห็นความรักที่หลัวจื้อเลี่ยมีต่อมารดาผู้ล่วงลับของตนอย่างชัดเจนและตระหนักแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมิใช่เพราะความผิดของเขา เวลานี้นางกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสูญเสียความทรงจำไปและผู้ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้มากกว่า

“หึ หากข้าเดาไม่ผิด ผู้ที่โจมตีข้าครานั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับตู้ซีรั่วเป็นแน่ และคนที่ส่งข่าวปลอมมาถึงข้าก็เป็นคนที่นางส่งมาเช่นกัน เกรงว่าครอบครัวของตู้ซีรั่วทอดทิ้งชนเผ่าเอลฟ์ของเราไปนานแล้ว !”

หลัวจื้อเลี่ยแค่นเสียงเย็นชาขณะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับ ในตอนแรก เขาถูกหลอกล่อให้รีบกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์และเชื่อว่าคนที่ส่งข่าวนั้นจะต้องเป็นคนของตู้ซีรั่วอย่างแน่นอน ส่วนกลุ่มผู้ที่ซุ่มจู่โจมเขาระหว่างทางกลับก็มาจากครอบครัวของตู้ซีรั่วเช่นกัน

ส่วนการช่วงชิงความทรงจำของเขาไป คาดว่าเป็นเพราะคนของฝ่ายมารที่ร่วมมือกับครอบครัวของนางบอกให้นางทำเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าผู้ที่ใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเนิ่นนานหลายปีจะเป็นตัวการชักใยที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

“โอ้ ข้าก็คิดว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากนางเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ นางเองก็มีข้อสันนิษฐานนี้อยู่ นอกเหนือจากตู้ซีรั่วก็ไม่มีผู้ใดที่จะมีเหตุผลให้ต้องทำเรื่องชั่วช้าเหล่านั้น ตู้ซีรั่วที่ภายนอกดูอ่อนโยนและเป็นมิตรนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนชั่วช้าจอมวางแผนซึ่งหลอกลวงตบตาหลัวจื้อเลี่ยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“ท่านพ่อ ท่านรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายหรือไม่เจ้าคะ ?”

สั่วซีหย่ากังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายและการฟื้นตัวของหลัวจื้อเลี่ยมากกว่าสิ่งใด นางจำได้ว่าหานโม่ฉือกล่าวว่าตราบใดที่ดึงเอาความทรงจำส่วนที่หายไปกลับคืนมา หลัวจื้อเลี่ยก็จะฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งจนกลับคืนระดับสูงสุดได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้นางยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากร่างกายของเขา

“สั่วซีหย่า การฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งกลับคืนมาต้องใช้เวลาสักหน่อย ให้ท่านพ่อของเจ้าเก็บตัวฝึกวิชาสักพักจะดีกว่า ข้าเชื่อว่าในไม่ช้าความแข็งแกร่งเดิมของเขาจะกลับคืนมาอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนมุ่งหน้าออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวพร้อมด้วยสั่วซีหย่าและคนอื่น ๆ

หลัวจื้อเลี่ยอยู่ต่อในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อเก็บตัวฟื้นฟูพลังโดยฉินอวี้โม่ได้ปรับกระแสเวลาข้างในไว้แล้ว เวลาครึ่งชั่วยามของโลกภายนอกจะเทียบเท่าได้กับเวลาหนึ่งวันภายในคฤหาสน์เฟิงหัว นางก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลัวจื้อเลี่ยจะสามารถฟื้นฟูพลังทั้งหมดได้ก่อนที่ตู้ซีรั่วจะฟื้นขึ้นมา

ภายในเวลารวดเร็วราวชั่วพริบตา สองวันก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ เช้าตรู่ของวันที่สาม ในที่สุดหลัวจื้อเลี่ยก็ก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว

ด้วยเวลาที่ผ่านไปประมาณสองวัน มันก็เทียบเท่าได้กับการที่เขาฝึกวิชาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวนานมากกว่าหนึ่งเดือน พลังของเขาในตอนนี้ก็ฟื้นฟูจนกลับสู่สภาวะสูงสุดแล้ว ตอนนี้เขาสามารถหยุดยั้งสงครามในหมู่เอลฟ์และหาทางแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่

“ขอบคุณมาก ข้าขอตัวไปจัดการเรื่องของตู้ซีรั่วก่อน จากนั้นเราจะไปที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันและข้าจะหาทางพาเจ้าเข้าไปในราชวังเอลฟ์เพื่อดูอาการของน้องสาวข้า”

หลัวจื้อเลี่ยกล่าวพร้อมยิ้มและไม่ปิดบังความซาบซึ้งใจที่เขามีต่อฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย

“เสี่ยวฮ่าว ขอบคุณมากที่เจ้าพาอวี้โม่และโม่ฉือมาในครานี้ มิฉะนั้นข้าก็คงจำลูกสาวของตัวเองไม่ได้และอาจต้องพลาดโอกาสนั้นไปตลอดชีวิต”

เขาตบไหล่หลัวหมิงฮ่าวเบา ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ

“ท่านลุง ถึงอย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันขอรับ ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอก”

หลัวหมิงฮ่าวยิ้มตอบก่อนเอ่ยถาม “ท่านคิดจะจัดการกับตู้ซีรั่วอย่างไรหรือขอรับ ?”

เมื่อได้ยินคำถามของหลานชาย สีหน้าของหลัวจื้อเลี่ยกลับกลายเป็นเย็นชาทันที

.