ตอนที่ 2859 กลับสู่ทวีปด้านตะวันออก

ทวีปด้านตะวันออก หุบเขาหมอกเวทย์มนต์ :

“โชคไม่ดีเลยที่พวกเราถูกเทเลพอร์ตมายังดินแดนต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตแบบนี้ ….”

คริมสันวิชมองไปที่สภาพแวดล้อมรอบๆที่เต็มไปด้วยหมอกสีแดงจางๆพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ….

ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังในทวีปด้านตะวันออกหรือทวีปด้านตะวันตกนั้นก็ล้วนต้องระวังมากๆเมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในดินแดนต้องห้ามแบบนี้ เพราะพวกเขามีข้อมูลอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับสถานที่แบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็รู้ดีว่าสถานที่แบบนี้นั้นมันอันตรายอย่างมาก และมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้เล่นจะก้าวเข้ามาได้อย่างสบายๆเลย แถมเมื่ออยู่ในนี้นั้นพวกเขายังจะไม่สามารถใช้ไอเทมเทเลพอร์ตได้ด้วย โดยพวกเขาจำเป็นที่จะต้องออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนจึงจะสามารถใช้ไอเทมเทเลพอร์ตได้

สำหรับมหาอำนาจต่างๆนั้นพวกเขาก็มักจะระมัดระวังกันอย่างมากเมื่อจะส่งผู้เล่นเข้ามาในแผนที่แบบนี้ ….

ซึ่งในหมู่แผนที่ทั้งหมดนั้น หุบขาหมอกเวทย์มนต์เป็นหนึ่งในดินแดนต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปด้านตะวันออก

เนื่องจากบริเวณนี้นั้นมันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดงแปลกๆตลอดทั้งปี และใครก็ตามที่เข้ามาไม่เง้นแม้แต่พวกขั้นสี่นั้นก็จะถูกปราบปรามอย่างหนัก โดยส่วนใหญ่จะสามารถแสดงพลังการต่อสู้ของตัวเองออกมาได้ไม่ถึงครึ่งเท่านั้น เมื่ออยู่ที่นี่ ….

นอกจากนี้มอนสเตอร์ในหุบเขาหมอกเวทย์มนต์นั้นยังมีค่าความต้านทานเวทย์มนต์ และพลังป้องกันที่สูงมาก แถมในหมู่พวกมันที่นี่มอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำที่สุดก็ยังมีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบ และที่นี่มันก็มีแม้กระทั่งมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอด ไปจนถึงมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายเลย ซึ่งก่อนหน้านี้มหาอำนาจหลายกลุ่ม เคยส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสำรวจที่นี่ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องสูญเสียเหล่าผู้เชี่ยวชาญไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงกำหนดให้แผนที่แห่งนี้เป็นแผนที่เตือนภัยสูงสุดสำหรับสมาชิกในกิลของพวกเขาทุกคน

“พวกเรายังนับว่าโชคดีที่ไม่ได้ถูกเทเลพอร์ตไปยังพื้นที่ใจกลางเลย …. โดยตอนนี้พวกเราได้ถูกเทเลพอร์ตมาอยู่ระหว่างรอยต่อของพื้นที่ชั้นในและชั้นนอก ….”
แม๊คอาฟรี่ รองผู้บัญชาการกองกำลังสิงโตเงินมองไปที่แผนที่พลางชี้ไปที่หุบเขาที่เต็มไปด้วยป่าข้างหน้า และพูดว่า “เราต้องวิ่งไปที่ทิศทางนั้น ซึ่งจะใช้เวลามากกว่าสามชั่วโมง และเราก็น่าจะไปถึงบริเวณพื้นที่ชั้นนอกของหุบเขาหมอกเวทย์มนต์ได้”

ในหุบเขาหมอกเวทย์มนต์นั้นไม่เพียงแต่ผู้เล่นจะไม่สามารถใช้ไอเทมเทเลพอร์ต หรือสกิลเทเลพอร์ตใดๆได้เลย แต่แม้แต่ผู้เล่นขั้นสี่ก็จะยังไม่สามารถบินที่นี่ได้ สำหรับอะเม้าท์บินได้ แม้จะสามารถอัญเชิญออกมาได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถจะบินได้เช่นกัน และทำได้แค่เดินเอาเฉกเช่นเดียวกับอะเม้าท์บนบก

“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หากพวกเราอยู่นานกว่านี้ พวกเราอาจจะถูกล้อมจากฝูงมอนสเตอร์ได้ และเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว การจะออกไปจากที่นี่ให้ได้นั้นมันจะเป็นเรื่องยากกว่าตอนนี้มาก” ฟิธาเลียมองไปที่ซือเฟิงพลางกล่าวแนะนำ

ในหมอกสีแดงนี้การรับรู้ของผู้เล่นนั้นถูกปราบปรามลงไปอย่างมาก แต่มอนสเตอร์ในหุบเขาหมอกเวทย์มนต์นั้นไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ดังนั้นก่อนที่ผู้เล่นจะทันได้ค้นพบมอนสเตอร์ มอนสเตอร์ก็จะค้นพบผู้เล่นก่อน และด้วยสติปัญญาของมอนสเตอร์ที่มีเลเวลและระดับสูงๆนั้น พวกมันจะไม่โจมตีผู้เล่นตัวเดียวแน่นอน แต่พวกมันจะโจมตีผู้เล่นกันเป็นกลุ่ม

ซึ่งหากไม่ใช่ทีมที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นขั้นสี่ราวยี่สิบถึงสามสิบคนจริงๆนั้นที่นี่มันก็จะจัดว่าอันตรายมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพื้นที่ชั้นในของหุบเขาหมอกเวทย์มนต์ ซึ่งเท่าที่เผ่าศักสิทธิ์รู้มานั้นมันมีทั้งมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอด และมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายมากมายอาศัยอยู่บริเวณนั้น

โดยตราบใดที่การต่อสู้เริ่มขึ้นนั้นมันก็มีสิทสูงมากที่ผู้เล่นจะไปดึงดูดมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่จำนวนมากเข้ามา ซึ่งมอนสเตอร์เหล่านี้นั้นล้วนเป็นอันตรายสำหรับผู้เล่นขั้นสี่มาก เมื่อผู้เล่นขั้นสี่มีจำนวนไม่มากพอ

“อืม ..” ซือเฟิงพยักหน้าตอบรับ

หลังจากเข้ามาที่หุบเขาหมอกเวทย์มนต์นี้ระยะการรับรู้ของเขาก็ถูกจำกัดลงให้เหลือแค่ราวสองพันหลาเท่านั้น และในระยะนี้เขาก็ตรวจพบมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดสองตัว พร้อมกับมอนสเตอร์ระดับลอร์ดบอสขั้นสูงที่มีเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบหรือสูงกว่าอีกมากกว่าสามสิบตัว และนี่มันจะทำให้พวกเขาต้องลำบากแน่ถ้าต้องปะทะกับพวกมัน

หลังจากนั้นซือเฟิงและอีกสามคนก็ได้เดินไปตามทางของหุบเขา

เนื่องจากค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงนั้นได้มาถึงขั้นห้าแล้ว และเขากระทั่งสามารถใช้การสร้างโลกได้แล้ว ดังนั้นตลอดระยะทางที่เดินมามากกว่าหนึ่งชั่วโมงนั้นเขาจึงสามารถพาฟิธาเลียและคนอื่นๆหลบหลีกมอนสเตอร์ตามรายทางได้อย่างง่ายดาย จนมันทำให้ฟิธาเลียและคนอื่นๆเริ่มสงสัยว่านี่หุบเขาบริเวณนี้ได้ถูกเคลียร์โดยกองกำลังของผู้เล่นมาก่อนหน้านี้รึปล่าว ?

อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าใกล้ระยะของพื้นที่ชั้นนอกมากขึ้น ความหนาแน่นของมอนสเตอร์มันก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่ยังไม่นับรวมกับดักตามรายทางอีก สิ่งนี้มันจึงทำให้ซือเฟิงเริ่มจะเลือกเส้นทางได้ยากขึ้นมาก ….

“หื้ม ? ผู้เล่นงั้นหรอ ?”

ซือเฟิงรู้สึกได้ทันทีว่ามันมีคลื่นของมานาที่รุนแรงแผ่ออกมาจากป่าด้านหน้าที่จะนำไปสู่พื้นที่ชั้นนอก โดยจุดเริ่มต้นของคลื่นมานานั้นมันก็อยู่ห่างออกจากบริเวณที่เขาอยู่ไปเกือบสองพันหลา ซึ่งปรากฎการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้จากการต่อสู้เท่านั้น

นอกจากนี้คลื่นของมานาที่รุนแรงแบบนี้นั้นซือเฟิงก็ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว พร้อมกันนั้นมันก็มีเสียงคำรามดังสนั่นขึ้น ซึ่งนี่มันทำให้ฟิธาเลีย และอีกสองคนสามารถสัมผัสทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานเสียงนี้ก็เริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้สังเกตเห็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอด เลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบห้า ที่เป็นมังกรที่มีสี่ปีกโผล่ออกมา โดยเมื่อมันคำรามและพ่นไฟออกมานั้น มันก็ได้เปลี่ยนพื้นที่ในรัศมีห้าร้อยหลาให้กลายเป็นทะเลเพลิงทันที

ซึ่งในขณะที่ป่าทั้งหมดกำลังค่อยๆถูกเผานั้น ซือเฟิงก็สามารถจะมองเห็นร่างสามร่างได้แบบเบลอๆ โดยหนึ่งคนเป็นผู้หญิง และอีกสองคนเป็นผู้ชาย และพวกเขาทั้งหมดก็เป็นผู้เล่นขั้นสี่ ซึ่งซือเฟิงรู้จักสองจากสามคนในนั้น โดยหนึ่งคือรองหัวหน้ากิลลำดับที่สองของไชนิ่งไทเกอร์ ซิคทีนคลาวด์ และสองคือแอสซาซินที่คอยติดตามเธออย่างซอลเลอร์ฟูลไซเร้น

พวกเขาทั้งหมดสามารถรอดชีวิตมาจากการพ่นไฟของมังกรตัวนี้ได้ เพราะพวกเขามี
การ์เดี้ยนไนท์ขั้นสี่คอยแท๊งให้

อย่างไรก็ตามมันก็เห็นได้ชัดว่าการ์เดี้ยนไนท์ขั้นสี่ผู้ที่ทำหน้าที่แท๊งนั้นเหลือ HP ไม่มากนักแล้ว และนี่มันก็ทำให้การ์เดี้ยนไนท์ผู้นี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดื่มโพชั่นฟื้นฟู HP ของตัวเอง เพราะในทีมของเขานั้นไม่มีฮีลเลอร์อยู่ แต่ถึงกระนั้น เมื่อวัดจากพลังโจมตีของมังกรที่มีสี่ปีกแล้ว เขาก็จะทนได้อีกไม่นานแน่นอน

“แม่งเอ้ย !! นี่พวกเราจะต้องตายกันที่นี่จริงๆงั้นหรอ ?!! ถ้าเป็นแบบนี้เราไม่หนีเข้ามาซะก็ดี !!!”

ซิคทีนคลาวด์มองไปยังมังกรที่มีสีปีกที่มีส่วนสูงมากกว่าหกสิบเมตรที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความไม่เต็มใจ

“ก็จริง ถ้ารู้แบบนี้เราควรจะต่อสู้กับพวกผู้รุกรานจากโลกอื่นดีกว่า มันจะคุ้มค่ามากกว่าการมาถูกมอนสเตอร์ตัวนี้ฆ่ามาก !!!” แอสซาซิน ซอลเลอร์ฟูลไซเร้น พยักหน้าเห็นด้วยกับซิคทีนคลาวด์

“ใครมันจะไปรู้กันล่ะว่าเราจะมาเจอกับมอนสเตอร์แบบนี้ในรอยต่อระหว่างพื้นที่ชั้นในกับชั้นนอก ?” ซิคทีนคลาวด์กล่าวพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ดูเหมือนว่าฟ้าจะต้องการให้เราตายจริงๆ …”

พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลังจากพยายามอย่างหนักเพื่อหลบหนีผู้รุกรานจากโลกอื่นจนเข้ามาที่รอยต่อระหว่างพื้นที่ชั้นในกับชั้นนอกได้ พวกเขายังจะต้องมาเจอกับบอสแบบนี้อีก ….

มังกรที่มีสี่ปีกนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดเท่านั้น แต่มันยังเป็นลอร์ดแห่งดินแดนด้วย ซึ่งแม้แต่ทีมผู้เล่นขั้นสี่ยี่สิบคนก็ยังยากที่จะจัดการมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ เพราะหุบเขาหมอกเวทย์มนต์นั้นมันทำให้พลังการต่อสู้ของผู้เล่นลดลงไปอย่างมาก

และตราบใดที่ผู้เล่นขั้นสี่แค่ไม่กี่คนแบบพวกเขาเจอมัน บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือผู้เล่นขั้นสี่จะถูกสังหารหมู่แน่นอน

เพราะท้ายที่สุดต่อหน้ามังกรแบบนี้นั้น มันมีแค่ตัวเลือกเดียวเท่านั้นคือสู้ให้ชนะ ไม่งั้นก็ตายที่นี่ มันไม่มีตัวเลือกอื่นใดอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะทันได้พูดอะไรต่อ มังกรตัวนี้ก็เริ่มกระพือปีกของมันสร้างใบดาบลมจำนวนมากให้พุ่งมายังทิศทางของพวกเขาสามคน โดยไม่ได้คิดจะให้พวกเขาได้หยุดพักเลย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากใบดาบลมแบบนี้นั้น ซิคทีนคลาวด์ก็ได้โบกคทาสีแดงเข้มในมือของเธอเพื่อสร้างบาเรียเปลวไฟขึ้นมาป้องกันพวกเขาทั้งสามทันที

โดยบาเรียเปลวไฟที่สูงกว่าหนึ่งร้อยเมตรนี้ได้ทำการป้องกันใบดาบลมเอาไว้ได้ทั้งหมด ก่อนที่ซิคทีนคลาวด์จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฟีนิกซ์ไฟ และควบคุมให้มันพุ่งเข้าใส่มังกรที่มีสี่ปีก

คำสาปขั้นสี่ ฟีนิกซ์ไฟ !!!

เมื่ออยู่ในมือของซิคทีนคลาวด์ คำสาปต้องห้ามขั้นสี่นี้นั้นสามารถจะใช้ได้ทั้งรุกและรับ ซึ่งมันก็เกิดจากการควบคุมมานาที่ยอดเยี่ยมของซิคทีนคลาวด์นั่นเอง

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฟีนิกซ์ไฟกำลังจะเข้ากลืนกินมังกรที่มีสี่ปีกนั้น มังกรตัวนี้ก็คำรามออกมาทางฟีนิกซ์ไฟ และมันก็ทำให้ฟีนิกซ์ไฟค่อยๆแตกสลายกับหายไปในทันที

“คำสาปถูกทำลายงั้นหรอ ?!”

ซิคทีนคลาวด์จ้องมองไปยังฉากตรงหน้าอย่างเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ และเธอก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องจริง

หากเป็นเพราะพลังของฟีนิกซ์ไฟของเธอมันไม่มากเพียงพอที่จะคุกคามมังกรที่มีสี่ปีกได้ เธอก็ยังพอจะทำใจยอมรับได้ แต่ในฐานะผู้ควบคุมฟีนิกซ์ไฟ เธอสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าฟีนิกซ์ไฟที่เป็นเปลวไฟของเธอไม่ได้ถูกทำให้มอดไปตามธรรมชาติ แต่มันเป็นเพราะมานาที่คอยสนับสนุนและเสริมพลังให้กับฟีนิกซ์ไฟนั้นถูกทำลาย ฟีนิกซ์ไฟที่เป็นเปลวไฟของเธอจึงถูกทำให้มอดดับลง

“บอสแบบนี้มันโหดเกินไปหน่อยไหม ?!!”

เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นนั้น แม้แต่ซอลเลอร์ฟูลไซเร้นก็ยังรู้สึกสิ้นหวัง

นอกเหนือจากนี้แล้วเผ่ามังกรแบบนี้ยังมีการป้องกันทางกายภาพที่สูงมาก ซึ่งหากพวกเขาใช้เวทย์มนต์โจมตีมันไม่ได้ผล มันก็แทบจะเป็นอมตะเลยต่อหน้าพวกเขา

หลังจากที่มังกรที่มีสี่ปีกตัวนี้ทำลายฟีนิกซ์ไฟของซิคทีนคลาวด์ไปแล้ว มันก็ได้เริ่มกระพือปีกใช้ใบดาบลมโจมตีทั้งสามอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องตายที่นี่แล้ว ….”

ซิคทีนคลาวด์กล่าวพลางมองไปยังการโจมตีที่เข้ามาอย่างผู้ที่รอความตาย

เดิมทีเธอหวังว่าคำสาปขั้นสี่ ฟีนิกซ์ไฟ ที่เธอใช้นั้นมันจะช่วยสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับมังกรที่มีสี่ปีก และเปิดโอกาสให้เธอกับคนของเธอสามารถหลบหนีไปได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงเลย คำสาปที่เธอใช้ยังไม่สามารถไปแตะตัวมังกรได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถจะทำอะไรได้เพิ่มเติมอีกแล้ว นอกจากรอความตาย …..

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ใบดาบลมกำลังจะโจมตีโดนทั้งสามนั้นมันก็ได้มีบาเรียเวทย์มนต์โผล่ขึ้นมาด้านหน้าของทั้งสาม และช่วยป้องกันใบดาบลมไว้ทั้งหมด

“เวทย์บาเรียคริสตัลป้องกันขั้นสี่งั้นหรอ ?”

เมื่อซิคทีนคลาวด์เห็นบาเรียที่ค่อยๆสลายไปตรงหน้าของเธอ เธอก็จำได้ทันทีว่ามันคือเวทย์อะไร

ซอลเลอร์ฟูลไซเร้นได้มองไปยังร่างที่ค่อยๆเดินออกมาจากป่าในระยะไกลพลางกล่าวว่า “รองหัวหน้ากิล มีใครบางคนอยู่ตรงนั้น ….”

เมื่อได้ยินคำพูดของซอลเลอร์ฟูลไซเร้น ซิคทีนคลาวด์ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ….
และเธอก็ได้เห็นผู้เล่นสี่คนเดินออกมาจากบริเวณป่าที่อยู่ห่างออกไปกว่าห้าร้อยหลา โดยผู้เล่นสี่คนนี้เป็นชายสองคน และหญิงสองคน ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ใช้เวทย์บาเรียขั้นสี่ช่วยพวกเธอเอาไว้ ….

“แบล๊คเฟรม ?”

ซิคทีนคลาวด์มองไปยังหนึ่งในผู้เล่นทั้งสี่ที่สวมเสื้อคลุมสีดำอยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

สำหรับแบล๊คเฟรมนั้น เธอเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวในตอนที่ไปพูดคุยกันเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสภาสิบแปดปีกและไชนิ่งไทเกอร์ โดยหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเขา หรือได้ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับสภาสิบแปดปีกอีกเลย เพราะเธอถูกทางกิลของเธอส่งมาให้พัฒนาในจักรวรรดิกลอรี่

ถ้าซือเฟิงไม่ได้ทำสิ่งที่น่าตกใจหลายอย่างก่อนหน้านี้ และทำให้สภาสิบแปดปีกกลายเป็นกิลดาวรุ่งที่ร้อนแรงที่สุดในทวีปด้านตะวันออก เธอก็คงจะลืมรูปลักษณ์ของซือเฟิงไปนานแล้ว ….