หอคอยเวทมนต์สำหรับทำการทดลองนั้นเป็นสีขาวเงิน และรูปแบบทางสถาปัตยกรรมก็ดูค่อนข้างขัดกับบรรยากาศโดยรวมของวิทยาลัยเวทมนต์ไฮด์เลอร์

มันไม่ได้ตั้งอยู่ไกลจากหอคอยหลัก และเชื่อมกับหอคอยหลักด้วยสะพานสีเทาทั้งแปด เหล่านักเรียนในชุดเสื้อคลุมเวทมนต์สีดำกำลังเดินไปตามสะพานนั้น

หลังจากเดินตามกลินตันมา ดอนนี่และนักเรียนที่เหลือก็มาถึงห้องทดลองขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งชั้น

“การทดลองปรากฏการณ์แม่เหล็กไฟฟ้าที่น่าหลงใหลมีอยู่มากมาย เช่น การทดลองที่แสดงการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ข้าเคยทำการทดลองอย่างหนึ่งกับพี่ชาย และตอนนั้นเราลอยอยู่เหนือมหาสมุทร สูงจากหมู่เกาะไข่มุกไปไกลมาก…” คาร์ลแบ่งปันประสบการณ์ของเขากับดอนนี่ในขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยไฟปรารถนา

ทว่า ดอนนี่กลับตื่นตัวเต็มที่ “มันเป็นอย่างไรบ้าง”

เขาไม่สนใจว่าคาร์ลจะเคยทำอะไรมา แต่สนใจผลลัพธ์หลังจากนั้นต่างหาก

“มันสมบูรณ์แบบ! สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้เสียอีก” คาร์ลเชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ

“แล้วเจ้าได้อะไรอีกหรือไม่ ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ดอนนี่ถามด้วยความระแวดระวัง

คาร์ลหัวเราะเสียงแห้ง “มันไม่มีผลลัพธ์อะไร การทดลองของเรายังถึงกับสร้างขอบเขตการวิจัยใหม่สำหรับเหล่าจอมเวทในสำนักแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อก่อให้เกิดสายฟ้าแลบบนท้องฟ้าสูง โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถพัฒนาพลังของเวทมนต์แม่เหล็กไฟฟ้าชั้นสูงมากมาย”

“จริงหรือ” ดอนนี่ประหลาดใจมาก ในฐานะนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนหัวใจแห่งธรรมชาติ เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับขอบเขตการศึกษานี้ทีเดียว

“แน่นอน!” คาร์ลตอบกลับมาเร็วไปนิด เนื่องจากเขาไม่ชอบถูกสงสัย “เราเหนี่ยวนำให้เกิดสายฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วน จนเหมือนกับป่าสายฟ้าเลยล่ะ เกาะร้างสองสามเกาะใกล้ๆ นั้นถึงกับลุกไหม้…”

ดอนนี่ไม่สนใจถ้อยคำอื่นใด เขากลับพึมพำว่า “ป่าสายฟ้า…เกาะไฟลุก…”

เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะอยู่ให้ห่างจากคาร์ลเท่าที่จะทำได้ เห็นได้ชัดเจนว่า การทดลองของคาร์ลนั้นหลุดจากความตั้งใจเดิมของเขาอย่างยิ่ง—แต่เดิมแล้วเขาตั้งใจทำการทดลองเพื่อทดสอบการสื่อสารของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

กลินตันเอ่ยกับนักเรียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเจ้าอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าคือสิ่งที่เจ้าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ ในวันนี้ ข้าจะแสดงการทดลองเล็กๆ ในเรื่องนี้ให้พวกเจ้าดู เพื่อที่พวกเจ้าทุกคนจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง

“แต่ข้าจำต้องเตือนพวกเจ้าว่า ห้องทดลองเวทมนตร์มีกฎที่เข้มงวดมาก การไม่อาจทำตามกฎเหล่านั้นได้จะนำไปสู่ผลลัพธ์อันเลวร้าย ทั้งต่อตัวเจ้าเองและคนอื่นๆ และเจ้าก็จะถูกลงโทษ ข้าจะไม่พูดซ้ำในเรื่องของกฎ เพราะมันควรจะผสานเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณพวกเจ้าตั้งแต่ชั้นปีที่ห้าแล้ว”

เขาหันหลังกลับ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีแดง จากนั้นลำแสงสีแดงทั้งสองก็แผ่พุ่งออกมาจากดวงตาของเขาเข้ากระทบประตูห้องทดลอง ประตูนั้นพลันเกิดระลอกคลื่น ดูราวกับมีสายน้ำกางกั้นไว้ชั้นหนึ่ง

หลังจากนั้นเขาก็หยิบเหรียญตราของตนออกมา ซึ่งบนนั้นเป็นรูปกะโหลกศีรษะสีขาว เมื่อกดเหรียญตราประทับกับส่วนใจกลางประตู มันก็ค่อยๆ เปิดออก

“เราทำการทดลองหลายอย่างได้ที่นี่ แต่เจ้าไม่อาจเข้าห้องนี้ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตและความช่วยเหลือจากอาจารย์ผู้สอน หากเจ้าอยากจะทำการทดลองด้วยตนเอง ก็จงไปลงชื่อขอเข้าใช้ห้องทดลองธรรมดาที่อยู่บนชั้นหนึ่งถึงเจ็ด” กลินตันกล่าว

ดอนนี่พึมพำเสียงแผ่ว “แต่ถ้าเกิดว่ามันยังเกิดข้อผิดพลาดแม้ว่าจะทำตามกฎอย่างเข้มงวดแล้วก็ตามเล่า…”

แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงตัวเองอยู่

ในฐานะนักเวทระดับห้า กลินตันจึงได้ยินทุกคำพูดของดอนนี่ เขาจึงมีท่าทางหัวเสียเล็กน้อยขณะกล่าวตอบ “ไม่มีอะไรที่จะผิดพลาดได้หากเจ้าทำตามกฎทั้งหมด หากว่ามันเป็นความผิดของข้า พวกเจ้าจะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ เพราะข้าอยู่ที่นี่ อีกอย่าง วิทยาลัยเวทมนต์ไฮด์เลอร์มีอายุถึงยี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่อุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นกลับยังไม่เต็มหน้ากระดาษหนึ่งแผ่นด้วยซ้ำ อุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดก็เพียงทำลายแผงควบคุมเท่านั้น

“นี่คือสิ่งที่เราภาคภูมิใจในฐานะที่ปรึกษาของวิทยาลัยแห่งนี้ มันมาจากสิ่งที่เราได้จากการสร้าง ‘เส้นทางแห่งความสงบ’”

“ขอรับท่าน” ดอนนี่ตอบกลับอย่างร้อนรน เขาไม่อยากจะสร้างความรู้สึกแย่ๆ ตั้งแต่แรกพบกับที่ปรึกษาของเขา

การจัดตกแต่งห้องทดลองนั้นเหมือนกับห้องทดลองระดับกลางๆ อย่างมาก ความแตกต่างเดียวก็คือ ที่นี่มีอุปกรณ์แปรธาตุที่พวกเขาไม่รู้จักเยอะกว่า แต่นักเรียนหลายคนก็ยังพอจะบอกได้ว่าอุปกรณ์และเครื่องมือบางอย่างคืออะไร เช่น เครื่องไซโคลตรอนที่แสนโด่งดัง

ดอนนี่ฉวยโอกาสที่คาร์ลกำลังมองไปรอบๆ แอบหลบออกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ใกล้ๆ กับประตู

หลังจากนั้นสองสามนาที ในที่สุดดอนนี่ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นยามเห็นว่าคาร์ลเดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง แทนที่จะมองหาเขา แต่แล้วเขาก็พลันรู้สึกเป็นกังวลว่าอาจเกิดอุบัติเหตุใหญ่หลวงขึ้นได้ทุกเมื่อเพราะคาร์ล

ความประหม่ากลัวของเขาดึงดูดความสนใจนักเรียนสองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ นั้น เด็กสาวผู้มีดวงตาสีเขียวและผมสีน้ำตาลส่งยิ้มให้ “อย่าห่วงเลย มันก็เหมือนกับสิ่งที่เราทำตอนอยู่ในโรงเรียนนั่นแหละ อย่างไรเสีย ท่านกลินตันย่อมให้เราใช้เครื่องไซโครตรอนวันนี้อยู่แล้ว”

นางมิใช่ผู้มีความงดงามโดดเด่นอะไร แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับทำให้เด็กสาวดูเข้าถึงง่ายและใจดี

“ขอบใจนะ ข้ามีนามว่าดอนนี่ แล้วเจ้าล่ะ” ดอนนี่ตอบกลับด้วยความสุภาพ แต่เขารู้ดีว่ามันสมเหตุสมผลที่เขาจะรู้สึกเป็นกังวล

เด็กสาวแย้มยิ้มกว้าง “เรียกข้าว่าเชอร์ลีย์ก็ได้ ข้ามาจากราชรัฐออร์วาริต ข้าหวังว่าเจ้าจะมองว่าข้าเป็นอาคันตุกะที่ดีนะ”

ดอนนี่มีรูปลักษณ์ตามแบบฉบับของชาวโฮล์ม เชอร์ลีย์จึงกล่าวหยอกเล่น

นาตาชาได้ชิงคืนราชรัฐออร์วาริตกลับมาอยู่ในความควบคุมของตน บัดนี้นางจึงเป็นแกรนด์ดัชเชส ลือกันว่านางจะมอบบรรดาศักดิ์นี้ให้กับลูกคนเล็ก นาตาชาและลูเซียน อีวานส์ เก็บตัวลูกๆ ออกห่างจากสาธารณะชน และชื่อของลูกๆ พวกเขายังถูกแทนที่ด้วยบรรดาศักดิ์ยามประกาศผ่านโทรทัศน์หรือรายการวิทยุอีกด้วย

“ไม่ว่าเราจะมาจากแห่งหนใด เราต่างเป็นสมาชิกของสภาเวทมนต์และผู้ศรัทธาในความรู้ หาได้มีเจ้าบ้านและอาคันตุกะไม่” ดอนนี่ตอบเสียงสุภาพ

ยามอยู่ในโรงเรียนเวทมนต์ ดอนนี่อุทิศตนให้กับการเรียน เขาจึงแทบไม่เคยได้พูดคุยกับเด็กผู้หญิง แต่เชอร์ลีย์ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยามอยู่ด้วยไม่น้อย

เชอร์ลีย์พยักหน้ารับและชี้ไปทางที่ปรึกษา ชั้นเรียนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

แม้ว่าดอนนี่จะเป็นกังวลมาก แต่เขาก็ยังตั้งไจเรียน

ทางด้านหน้าห้อง กลินตันกำลังอธิบายถึงการค้นพบและการพัฒนาการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า บางครั้งเขาก็จะใช้การทดลองเป็นการสาธิตให้ดู และเขาก็จะหยุดเป็นช่วงๆ เพื่อให้นักเรียนทำการทดลองตามได้

สมควรแล้วจริงๆ ที่กลินตันได้รับคำชื่นชมจากคาร์ล แม้ว่าเขาจะดูท่าทางเคร่งขรึม แต่การบรรยายของเขากลับค่อนข้างน่าสนใจและทำให้นักเรียนมีส่วนร่วม ไม่นานดอนนี่ก็ลืมเลือนความวิตกกังวลของตนไป

แต่ไม่ทราบอย่างไร ดอนนี่จึงรู้สึกว่าท้องฟ้าที่ด้านนอกเริ่มมืดมาก ราวกับหมู่เมฆหนาทึบกำลังรวมตัวกันเหนืออาคารเรียน นอกจากนี้ บรรยากาศในห้องเรียนยังค่อนข้างชวนอึดอัดจากพลังงานที่มองไม่เห็น ซึ่งสั่นสะเทือนแทรกพื้นที่ไปตามคลื่นความถี่บางประการ

ดอนนี่นึกสงสัยว่าฝนกำลังจะตกหรือไม่

แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็เห็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วหมู่เมฆสีเข้ม!

แต่ว่าพวกเขาอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ! ที่นี่ไม่มีทั้งพายุและเมฆดำ!

พวกเขาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเกราะป้องกันเมืองของวิทยาลัยเวทมนต์ไฮด์เลอร์! สภาพอากาศภายในนี้จะคงเดิมอยู่เสมอ

เขาพลันนึกถึงใบหน้าอันงดงามของคาร์ล จึงโพล่งออกไป “อาจารย์ ดูนั่น!”

กลินตันตระหนักได้โดยพลันถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เขารีบร่ายคาถา ก่อนที่เกลียวสนามแรงจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าบานหน้าต่างทั้งหลาย จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “ออกไปจากห้องทดลอง!”

ในขณะที่ผู้ฝึกใช้มนตราคนอื่นๆ กำลังแตกตื่น ดอนนี่ที่เตรียมใจมาแล้วจึงมีท่าทางนิ่งสงบ “ไม่ต้องรีบ ทำตามกฎระเบียบแล้วออกไปทีละคน!”

กลินตันมองไปทางดอนนี่แหละพยักหน้าเห็นพ้อง “อีกสักครู่ ชีวินรสายนเวทก็จะเปิดใช้วงแหวนเวทป้องกันแล้ว”

ภายใต้การชี้นำ นักเรียนทุกคนจึงออกไปจากห้องทดลองอย่างเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ ไม่นานก็เหลือเพียงที่ปรึกษาอยู่ในห้อง

กลินตันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในตอนที่เขากำลังจะออกไปจากห้อง เขากลับได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท

สายฟ้าที่มีความหนาเทียบเท่าต้นไม้เก่าแก่ฟาดเข้าใส่ปราการป้องกันชั้นนอกของหอคอยเวทมนต์จนมันแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในขณะที่เกลียวสนามแรงดูดซับพลังงานกลับไม่อาจช่วยอะไรได้เลย

คลินตันสะดุ้งโหยง ท่าทางดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องทดลองด้วยการก้าวพริบตา

ด้วยความช่วยเหลือของชีวินรสายนเวท เหล่าผู้ฝึกใช้มนตราจึงถูกส่งออกไปยังพื้นที่เปิดที่อยู่ไกลออกไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขามองเห็นสายฟ้าขนาดใหญ่มากมาย ดูราวกับฝูงงูใหญ่ยักษ์ เข้าโจมตีห้องทดลองที่พวกเขาเพิ่งออกมา

เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังไม่หยุด นักเรียนทุกคนต่างได้ยินเสียงปราการป้องกันของหอคอยเวทมนต์แตกสลาย ไม่นาน ห้องทดลองก็ลุกไหม้ พร้อมกับที่ควันหนาพวยพุ่งครอบคลุมทั้งพื้นที่

ดอนนี่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาเบิกโพลง และมือก็สั่นเทาเล็กน้อย หากมิใช่เพราะที่ปรึกษาของพวกเขาและปราการคุ้มกันของหอคอยเวทมนต์ และหากว่าเขาสังเกตเห็นช้าไปกว่านี้ เขาก็คงจะตายอยู่ในนั้นไปแล้ว!

“นี่นับเป็นอุบัติเหตุที่เลวร้ายที่สุดนับแต่ก่อตั้งมายี่สิบเอ็ดปี…” เสียงแหบแห้งดังขึ้น

ดอนนี่หมุนตัวกลับไปด้วยความประหลาดใจ แล้วก็ได้เห็นเจ้าอ้วนผู้หนึ่งนั่งย่อตัวอยู่บนพื้น เขากำลังเฝ้ามองหอคอยลุกไหม้ในเปลวเพลิงผ่านแว่นตาทรงประหลาดที่ตั้งอยู่บนสันจมูก แว่นตาของเขาต้องสะท้อนแสงวิบวับ แต่นั่นกลับไม่อาจดึงดูดความสนใจของใครได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้

ดอนนี่จำได้ว่าเจ้าอ้วนผู้นี้คือหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากภาควิชาโครงสร้างร่างกายและพันธุศาสตร์ และพวกเขาก็อยู่ในหอคอยด้วยกันเมื่อครู่นี้

“เจ้ากำลังทำอะไรหรือ” ดอนนี่ถาม

เจ้าอ้วนที่ถือปึกกระดาษอยู่ในมือซ้ายและมือขวาที่ถือปากกาไว้ ก็กำลังขยับอย่างรวดเร็ว เขาตอบกลับมาโดยไม่หันกลับมามอง “ข้ากำลังเขียนให้กับทรรศนะอัลลิน พวกเขาชอบความสามารถของข้าและทำสัญญาร่วมงานแบบพิเศษกับข้า นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่ข่าวดังแน่นอน! และข้าก็จะได้รับเงินมากมายจากข่าวนี้!”

ดอนนี่เหลือบมองบนกระดาษแล้วก็เห็นพาดหัวข่าวที่เจ้าอ้วนตั้งขึ้น

[น่ากลัวยิ่ง! อุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดในรอบยี่สิบเอ็ดปี; เจ็บปวดนัก! ผลจากความละเลยของวิทยาลัยไฮด์เลอร์!]

“ดีใช่มั้ยล่ะ” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

“ก็ไม่แย่…” ดอนนี่หยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่ว่า เจ้าชื่ออะไรรึ”

“…” เจ้าอ้วนนิ่งเงียบ

ในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็พึมพำขึ้นข้างๆ พวกเขา “ชีวิตข้าจบแล้ว…ข้าจะถูกไล่ออกใช่ไหม ลู่เสี่ยวเอินจะต้องโกรธแน่ถ้าเขารู้…”