ตอนที่ 445 ตบตา โดย Ink Stone_Fantasy
“อ้าว อย่างนั้นไม่ได้สิ”
เยี่ยเทียนไม่ใช่คนว่าง่ายขนาดนั้น จึงส่ายหน้าทันที กล่าวว่า “เมื่อครู่ผมเพิ่งบอกว่ามันคนละเรื่องกัน ทำไมคุณมายักแย่ยักยันอีกล่ะ?”
เยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องความบาดหมางในยุคที่ผ่านมา แต่ว่าคุณนายใหญ่คงยอมไม่ได้ ป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนถึงขั้นโยนการตายของพ่อว่าเป็นเพราะตระกูลซ่ง ถ้าหากไม่ขอขมาอย่างเปิดเผย เกรงว่าคงยากที่คุณนายใหญ่จะยอมตกลง
“ช่างเถอะ ไม่อยากมาเถียงกับสองพ่อลูกคนรุ่นหลังอย่างพวกเธอแล้ว เรื่องนี้ฉันรับปากทั้งหมด” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมืออย่างเหนื่อยใจ พลางพูด “เยี่ยเทียนฉันเองก็ต้องการให้เธอรับปากฉันเรื่องหนึ่ง!”
เยี่ยเทียนเหยียดริมฝีปาก กล่าวว่า “เรื่องที่คุณจะพูดต้องเป็นเรื่องง่ายหน่อยนะ ไหล่ผมเล็ก แบกรับภาระสำคัญมากไม่ไหวหรอก!”
พอได้ทำความรู้จักกัน เยี่ยเทียนรู้สึกว่าซ่งเฮ่าเทียนคนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนน่ารังเกียจสักเท่าไหร่ สภาพจิตใจของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งตัวเยี่ยเทียนเองก็ยังไม่ทันสังเกต
สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด เอ่ยปากว่า “คนตระกูลซ่งที่ไม่รักษากฎเกณฑ์คนนั้น เธอจะจัดการด้วยตัวเองก็ได้ แต่ฉันต้องการให้เธอรับประกัน ว่าภายหลังจะไม่ส่งผลกระทบถึงรากฐานตระกูลซ่ง!”
นับตั้งแต่สิ้นราชวงศ์ชิงถึงยุคสาธารณรัฐจนกระทั่งปฏิรูปเศรษฐกิจ ตระกูลซ่งก็เฟื่องฟูและตกต่ำมาเป็นร้อยปี ซ่งเฮ่าเทียนมองออก และไม่อยากให้ตระกูลซ่งต้องมาล่มสลายลงด้วยน้ำมือตัวเอง อีกทั้งเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าก็มีความสามารถแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณสั่งสอนคนในตระกูลให้ดี ก็จะไม่ก่อให้เกิดอาเพศพิษภัยต่อตระกูลซ่งอยู่แล้ว เส้นชีวิตฮวงจุ้ยของคนเลวทรามย่อมต้องถูกสวรรค์สาป ถ้าหากผมไม่ถูกบีบบังคับถึงขั้นจนตรอก ก็จะไม่ทำเรื่องอย่างนั้นแน่นอน!”
คำสัญญาของคนในยุทธภพมีค่าดั่งทองพันชั่ง คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนไม่ได้เป็นการรับคำขอร้องของซ่งเฮ่าเทียนทั้งหมด หากวันหลังคนตระกูลซ่งเป็นปฏิปักษ์กับเขา จะไม่กลายเป็นว่าเยี่ยเทียนโยนหินใส่ขาตัวเองเพราะคำสัญญาของตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“ตกลง หากฉันยังอยู่ขอรับประกันว่า จะไม่ให้คนตระกูลซ่งมาก่อกวนเธออีก”
การเจรจากับเยี่ยเทียนสองพ่อลูกในวันนี้ ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก เหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าวิ่งรอกสัมภาษณ์แต่ละประเทศเมื่อในอดีตเสียอีก
ถ้าหากไม่ได้พลังชีวิตดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ภายในเรือนสี่ประสานหลังนี้ทะนุบำรุงร่างกายเขา ซ่งเฮ่าเทียนอาจจะทนไม่ไหวไปนานแล้ว
ถึงแม้อย่างนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังนวดคลึงช่องว่างระหว่างคิ้ว ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “พี่หยวนหยาง วันนี้พี่ตามผมกลับไปที่บ้านเถอะ พรุ่งนี้เราสองเฒ่าจะได้คุยเรื่องเก่าๆ กันได้สะดวกดีไหม?”
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะฝังเข็มให้นายหน่อย จะได้ทำให้นายแข็งแรงขึ้นบ้าง!” โก่วซินเจียพยักหน้า ลุกขึ้นบอก “เยี่ยเทียน เต๋อหว๋าจึ ฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินซวนสักสองสามวันนะ”
“ศิษย์พี่ ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วส่ายหน้า ในอดีตโก่วซินเจียเคยถูกฝ่ายรัฐบาลเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ถ้าหากมีคนจดจำสถานภาพของเขาได้ อาจจะก่อให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่หลวง
โก่วซินเจียรู้ถึงสิ่งที่เยี่ยเทียนต้องการสื่อ จึงยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอก น้องเหวินซวนจำพี่ไม่ได้ เกรงว่าคนทั้งโลกนี้คงลืมพี่ไปเสียนานแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นห่วง!”
เรื่องที่โก่วซินเจียเคยสั่งวงการผู้มีคาถาอาคมกระทำเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครล่วงรู้ กระทั่งคนในพรรครัฐบาลที่รู้จักเขาก็ยังมีไม่มาก และสาเหตุที่ซ่งเฮ่าเทียนรู้ ก็เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองตระกูลต่างคบหากันมาเนิ่นนานหลายรุ่น
เมื่อปลีกตัวออกจากสังคมไปอยู่บนภูเขากว่าครึ่งศตวรรษ รูปร่างหน้าตาของโก่วซินเจียจึงแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่นึกกังวลว่าในยุคนี้จะมีคนจดจำตัวเองได้
เยี่ยเทียนคิดแล้วเห็นว่าจริง จึงพยักหน้ากล่าว “งั้นก็ตกลงครับ ศิษย์พี่ ผมไปส่งพวกคุณนะ”
“หัวหน้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
ตอนที่พาโก่วซินเจียและซ่งเฮ่าเทียนออกไปส่งข้างนอกประตู ฝูเจิ้งหมิงคนนั้นกำลังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าทางเข้าเรือนสี่ประสานพอดี เขาร้อนรนเหมือนเสื้อป่านบนกะทะร้อนอยู่เนิ่นนาน พอเห็นซ่งเฮ่าเทียนออกมา ก็รีบปรี่เข้าไปต้อนรับ
“ไม่เป็นไร แค่ดื่มเหล้านิดหน่อยเท่านั้น” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือยิ้มแย้ม พูดขึ้นพลางชี้ไปทางโก่วซินเจีย “เจิ้งหมิง สหายเก่าท่านนี้จะไปอยู่กับฉันสักสองสามวัน นายไปจัดการตามระเบียบให้เรียบร้อยที”
พอถึงระดับขั้นอย่างซ่งเฮ่าเทียน ทุกๆ คนที่ติดต่อกับเขาอย่างใกล้ชิด ล้วนต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยอย่างหนึ่ง
“นี่เป็นเอกสารของผม พวกคุณเอาไปเถอะ” โก่วซินเจียหยิบเอกสารยืนยันสถานะในฮ่องกงและใบรับรองนักพรตเต๋าออกมาจากเสื้อคลุมเต๋า ส่งให้กับฝูเจิ้งหมิง
สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง โก่วซินเจียจึงไม่กลัวว่าพวกเขาจะตรวจสอบ อีกทั้งไม่ว่าคนพวกนี้จะตรวจสอบอย่างไร ก็ไม่อาจพบความสัมพันธ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับจินเหยี่ยนเตียวเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว
ขณะที่โก่วซินเจียกำลังคิดอย่างนั้น จึงเป็นเวลาของรถคันที่เขาและซ่งเฮ่าเทียนนั่งอยู่กำลังแล่นไปบนถนนว่านโส้ว สำนักข่าวกรองขนาดมหึมาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวในทันที
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางดึก แต่ทางฝั่งฮ่องกงก็ส่งข้อมูลตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เอกสารเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง อีกทั้งถูกจัดทำขึ้นด้วยฝีมือของถังเหวินหย่วนเอง จึงไม่มีปัญหาใดๆ
เมื่อเหตุการณ์เกี่ยวพันกับถังเหวินหย่วน จึงมีคนระดับเดียวกันโทรศัพท์ไปหาเขา หลังจากได้การรับประกันจากถังเหวินหย่วนแล้ว สถานภาพของโก่วซินเจียก็ได้รับการยืนยัน
และเวลาที่สูญเสียไประหว่างนั้น เป็นเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงสั้นๆ นับจากเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนขับมาจนถึงถนนว่านโส้วเท่านั้นเอง
…
“เหล่าหู มา ชนถ้วยนี้กัน ผู้เฒ่าชาวเมืองปักกิ่งอย่างเราดื่มเหล้าไม่แพ้คนจีนทางเหนือพวกคุณหรอก!” เยี่ยเทียนเพิ่งจะหมุนตัวกลับเข้ามาเรือนกลาง ก็ได้ยินพ่อดื่มเหล้าเสียงดังฟังชัด จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้ความสามารถในการดื่มของพ่อจะไม่แย่ แต่ดื่มกับหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนผู้ฝึกวิชาถึงขั้นกำลังภายใน ก็เหมือนกับตบแมลงวันบนหัวเสือ….รนหาที่ตาย!
เยี่ยเทียนแย่งเหล้าในมือพ่อแล้วพูดขึ้น “พ่อครับ พ่อมาดื่มเหล้าอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ? ไหนบอกว่ามาหาผมเพราะมีธุระไง?”
“มีธุระ? ธุระอะไร?”
เยี่ยตงผิงเวลานี้เมามายจนตาเยิ้ม มองยังเยี่ยเทียนพลางกล่าว “ลูกเอ๊ย วันนี้พ่อมีความสุข ก็ให้พ่อกินให้สะใจเถอะ แม่ของแก…แม่ของแกจะกลับมาแล้ว แกรู้ไหม? “
ขณะที่พูด ดวงตาชายอกสามศอกอย่างเยี่ยตงผิงคนนี้ก็แดงก่ำขึ้นมา สามีภรรยาที่พรากจากกันถึงยี่สิบกว่าปี ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจเขา เวลานี้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
“พ่อ ผมรู้ ดีใจน่ะผมก็ดีใจ!” เยี่ยเทียนพยุงพ่อเอาไว้ พลางเอามือลูบหลังศีรษะของพ่อเบาๆ เยี่ยตงผิงรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาทันใด
“เซี่ยวเทียน นายดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเหล่าหูที ให้เขาดื่มจนสาแก่ใจเลย!”
เยี่ยเทียนรู้ถึงความสามารถในการดื่มเหล้าของหูหงเต๋อ ร่างกายของตาแก่นี่พิเศษอย่างยิ่ง หากดื่มกันจริงๆ แล้วถ้าเยี่ยเทียนไม่ใช้วิธีโกงก็คงจะเอาชนะเขาไม่ได้
หลังจากทักทายทั้งสองคนแล้ว เยี่ยเทียนก็พยุงพ่อเข้าไปยังเรือนด้านหลัง เวลาพ่อเบิกบานหรือโศกเศร้าใจหนักๆ ก็จะทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเองได้อย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงกดจุดลมปรานพ่อ เพื่อให้เขาได้นอนหลับสบาย
เยี่ยเทียนจัดแจงที่ทางให้พ่อนอนแล้ว ก็เกิดความคิดฟุ้งซ่าน สำหรับเขาแล้วแม่เป็นทั้งคำว่าคุ้นเคยและแปลกหน้า เยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อเขาตลอดยี่สิบปีนี้ในอนาคตอย่างไร?
“พ่อคงจะต้องการแม่ยิ่งกว่าเราอีกละมั้ง?”
เยี่ยเทียนมองพ่อที่หลับสนิทแล้วส่ายหน้า เขาเองก็ยังไม่เข้านอน แล้วเดินไปนั่งสมาธิยังเบาะทรงกลมที่สานจากใบของต้นหางแมวตรงหน้าประตูบานนั้น สูดลมหายใจยาว แล้วค่อยๆ เข้าสู่การเดินลมปราณ
“คอแห้งจริง ลูกเอ๊ย เอาน้ำมาให้พ่อแก้วนึง!”
เช้าวันต่อมาหลังจากเยี่ยเทียนออกไปฝึกวิชากลับมายังห้องแล้ว ได้ยินเสียงของพ่อ จึงรีบนำน้ำเชื่อมผสมน้ำผึ้ง
เล็กน้อยส่งให้พ่อ
“ลูก เมื่อคืนพ่อฝันไปหรือเปล่า ฝันว่าแม่ของแกจะกลับมาแล้ว?”
หลังจากดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว เยี่ยตงผิงก็สดชื่นตื่นตัวขึ้นมาก คว้าตัวเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายหยิกขา สีหน้าเผยให้เห็นถึงความหงอยเหงาเศร้าซึม กล่าวว่า “เป็นความฝันจริงๆ ด้วย เพราะหยิกขาแล้วยังไม่รู้สึกเจ็บเลย!”
“พ่อ พ่อไม่เจ็บเพราะที่หยิกมันขาผมไงเล่า?”
เยี่ยเทียนมองพ่อขี้เล่นคนนี้อย่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออก เมื่อคืนหลับไปเสียตั้งนาน แต่ก็ไม่สามารถขจัดความยึดติดในใจเขาให้หมดไป และยังคงคิดถึงเรื่องของแม่
“อ้าว? พ่อหยิกขาแกหรอกเหรอ?” เยี่ยตงผิงได้ยินแล้วสะดุ้ง จากนั้นจึงพูดอย่างดีอกดีใจ “งั้น…งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?”
“เป็นเรื่องจริงครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้า เอ่ยปากว่า “พ่อครับ พ่อต้องไปคุยกับทางป้าใหญ่เองนะครับ เพราะเธอให้ความสำคัญกับเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งสองตระกูลนี้มาก”
“คุยเรื่องอะไร? บาดหมางอะไร?” เยี่ยตงผิงมองมายังลูกชายอย่างสับสน
“ก็ได้ งั้นพ่อนอนต่อไปเถอะ”
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนเวลานี้ ใกล้เคียงกับซ่งเฮ่าเทียนเมื่อวาน ทำไมพ่อถึงได้จดจำเพียงเรื่องที่แม่จะกลับมา แต่ดันลืมเรื่องที่เหลือทุกอย่างเสียหมดสิ้น?
“พ่อนึกออกแล้ว เรื่องตีพิมพ์คำขอขมาใช่ไหม? เรื่องนี้เดี๋ยวพ่อไปคุยกับพี่ใหญ่เอง คงไม่มีปัญหาแน่” อาจเป็นเพราะน้ำเชื่อมถ้วยนั้นเริ่มออกฤทธิ์ สติของเยี่ยตงผิงถึงค่อยๆ คืนกลับมา จนเยี่ยเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ครับ พ่อครับ เรื่องหลังจากนี้พ่อติดต่อกับคนตระกูลซ่งแล้วกัน ผมไม่ไปพบพวกเขาแล้ว”
จากสาเหตุที่ซ่งเสี่ยวหลงตามล่าสังหารตนหลายต่อหลายครั้ง นอกจากแม่แล้วเยี่ยเทียนจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนในตระกูลซ่ง ทั้งหมด ดังนั้นพอแม่กลับมาแล้ว เยี่ยเทียนก็จะไม่คบหาสมาคมกับตระกูลซ่งอีก
“ได้สิ พ่อ…พ่อจะโทรศัพท์หาแม่แกเดี๋ยวนี้” เยี่ยตงผิงรับคำหนึ่งเสียง เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ตรงหัวเตียงเยี่ยเทียน ทว่าเมื่อคว้าโทรศัพท์ได้แล้ว เยี่ยตงผิงกลับหยุดมือในทันใด
เยี่ยเทียนยังไม่เคยได้ยินเสียงของแม่ เดิมทีก็กำลังเฝ้ารออยุ่ แต่เมื่อพ่อกลับนิ่งไป เยี่ยเทียนจึงรีบถามขึ้น “พ่อ เป็นอะไรครับ?”
“ลูกพ่อ เมื่อวานพ่อมีธุระถึงได้มาหาลูกใช่ไหม?” เยี่ยตงผิงวางโทรศัพท์ลง แล้วสีหน้าที่รู้สึกผิดจึงเผยออกมาบนใบหน้า
“โธ่ พ่อ มีธุระหรือไม่มีตัวเองไม่รู้หรือไง? ถึงได้มาถามผม?”
เยี่ยเทียนมองสีหน้าพ่อแล้วขมวดคิ้วพูด “ครั้งนี้พ่อคงต้องไปเจออะไรมาแน่ๆ พ่อ บอกมาเถอะ ถูกใครกลั่นแกล้งชิงทรัพย์หรือชิงสวาทมา?”
“ไปไกลๆ เลย กล้ามาล้อพ่อเรอะ?” เยี่ยตงผิงถูกลูกชายหยอกล้อจนโมโหยิ่งกว่าเขินอาย จึงถีบเยี่ยเทียนแต่ไม่โดน แถมยังเกือบทำเอวตัวเองพลิก
“ธุรกิจมีปัญหานิดหน่อย วันก่อนรับของตบตามาชิ้นหนึ่ง จ่ายเงินไปหมดแล้วด้วยสิ” เยี่ยตงผิงนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถึงสาเหตุที่มาหาลูกชาย
……