บทที่ 449.2 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ “ตอนที่พวกเราออกไปจากเมืองค่อยคืนเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา”

จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปมองเจิงเย่ “วันหน้าไปถึงมณฑลที่ขึ้นเหนือไปมากกว่านี้ อาจยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยากันอีก แต่จะทำแค่สถานที่ละอย่างเท่านั้น ต้องดูที่โอกาสและสถานที่ เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ข้าย่อมมีแผนการของตัวเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก แต่หากยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยาอีก เจิงเย่ ข้าจะให้เจ้าเป็นคนทำ เจ้ามีหน้าที่ไปมาหาสู่กับคนตลอดทั้งที่ว่าการ ในขั้นตอนนี้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะทำผิดหรือจะต้องสิ้นเปลืองเงินโดยที่ไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ไม่มีค่าพอให้เก็บไปใส่ใจ นอกจากนี้แม้ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกอย่างจริงจัง แต่ก็จะคอยชี้แนะเจ้าอยู่ข้างๆ”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรงก่อน จากนั้นก็ทำท่าจะพูดแล้วหยุดชะงักไป

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ทุกเรื่องล้วนยากลำบากตอนเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ควรจะมีการเริ่มต้น”

เจิงเย่จึงไม่พูดอะไรมากอีก เขาทั้งกระวนกระวายและทั้งลิงโลดใจ

ดูเหมือนว่านี่จะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจยิ่งกว่าการฝึกตนเสียอีก

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “รอเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายแล้ว จำไว้ว่าไม่ต้องเกรงใจที่จะเปิดปาก แค่พูดกับข้าตรงๆ ก็พอ ถึงอย่างไรการฝึกตนของเจ้าในวันนี้ก็ต้องมีการฝึกกำลังเป็นหลัก”

เจิงเย่พยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ท่านเฉินโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้ถ่วงการฝึกตนเด็ดขาด”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กหนุ่มมีแต่จะยิ่งมุมานะและยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม

หลังจากนั้นก็เลือกสถานที่ตั้งโรงทานและร้านยาในเมืองได้แล้ว ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและมีระบบระเบียบ ทั้งเป็นเพราะที่ว่าการคุ้นเคยกับงานประเภทนี้ดี และแน่นอนว่าที่มากกว่านั้นเป็นเพราะท่านใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นผู้ควบคุมตรวจสอบด้วยตัวเอง ส่วนสถานะของคนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายนั้น เจ้าเมืองผู้เฒ่าพูดอย่างคลุมเครือ ไม่ว่ากับใครก็ไม่ได้บอกอย่างแน่ชัด นี่จึงทำให้ผู้คนค่อนข้างเคารพยำเกรง

สามวันต่อมา เฉินผิงอันบอกให้หม่าตู่อี๋นำเงินเกล็ดหิมะสามสิบสองเหรียญนั้นไปแอบวางไว้ในห้องของผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองเงียบๆ

จากนั้นม้าสามตัวก็เยาะย่างมาที่โรงทานแจกโจ๊กแห่งหนึ่งที่ใกล้กับประตูเมือง พวกเขาหยุดม้าอยู่ไกลๆ หลังจากพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้ว เฉินผิงอันก็รบกวนให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เดินทางมาส่งช่วยเฝ้าม้าให้สักครู่

พวกเขาพากันเดินไปที่เพิงร้านโจ๊ก หม่าตู่อี๋ไม่ยินดีไปเป็น ‘ขอทาน’ เจิงเย่ไม่รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องไปดื่มโจ๊กที่เหมือนน้ำชืดๆ หนึ่งถ้วย จึงมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไปเข้าแถวรออย่างอดทน เพื่อไปขอโจ๊กถ้วยหนึ่งที่พอจะถือว่า ‘เข้มข้น’ และหมั่นโถวสองลูก แล้วไปนั่งอยู่ข้างทางห่างจากกลุ่มคนที่เข้าแถว ก้มหน้าดื่มโจ๊กกินหมั่นโถว ในหูก็ได้ยินเสียงตะโกนของเสมียนดังมาเป็นระยะ เสมียนเหล่านั้นจะตะโกนบอกกฎกับประชาชนในพื้นที่ที่อดอยากและชาวบ้านที่ลี้ภัยมาถึงที่นี่ว่า ห้ามละโมบเอาไปเยอะ จะแบ่งโจ๊กให้ทีละคนเท่านั้น เวลากินโจ๊กและหมั่นโถวก็ยิ่งไม่ควรตะกละกินเร็ว เพราะจะทำให้เสียเรื่องได้

เฉินผิงอันมองขบวนแถวที่ยาวราวกับมังกร ในบรรดานั้นยังมีชายฉกรรจ์ในพื้นที่ที่สวมเสื้อผ้าซึ่งพอจะรัดกุมจำนวนไม่น้อย บางคนยังจูงมือลูกของตัวเองที่ในมือยังถือถังหูลู่มาด้วย

ห่างจากเฉินผิงอันไปไม่ไกลก็มีผู้ชายในพื้นที่จำนวนหนึ่งล้อมวงกันอยู่ ใบหน้าไม่ได้แห้งตอบอะไร พวกเขากินพลางบ่นไปด้วยว่ายังสู้อาหารหมูไม่ได้ด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันเพียงแค่เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด จิตใจนิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณ เพราะเขารู้ว่าเรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ยากที่คนเราจะเห็นค่าสิ่งของที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ต่อให้เป็นโจ๊กหรือหมั่นโถวเหมือนกัน แต่หากต้องจ่ายเงินซื้อมา บางทีรสชาติอาจจะดีกว่าแค่เล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางบ่นด่าอย่างไม่พอใจ

คืนถ้วยโจ๊กแล้ว เฉินผิงอันก็เดินไปหาหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”

ม้าสามตัวออกจากเมือง

หม่าตู่อี๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ หลายวันมานี้ก็ได้คอยเดินเตร็ดเตร่แถวเพิงโจ๊กและร้านยากับเจิงเย่บ่อยๆ จึงพบเบาะแสบางอย่าง หลังออกจากเมืองมาแล้ว ในที่สุดก็อดไม่ไหวบ่นว่า “ท่านเฉิน เงินที่พวกเราทุ่มไป อย่างน้อยที่สุดสามส่วนล้วนถูกพวกขุนนางเจ้าเล่ห์ของที่ว่าการเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไปหมดแล้ว ขนาดข้ายังเห็นอย่างชัดเจน แล้วท่านเฉินจะมองไม่ออกได้อย่างไร ทำไมถึงไม่ด่าเจ้าเมืองผู้เฒ่านั่นสักคำ?”

เฉินผิงอันเอ่ยแค่ว่า “แบบนี้เองหรือ”

หม่าตู่อี๋โมโหแทบระเบิด

เจิงเย่ก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง

เด็กหนุ่มไม่รู้จริงๆ เขาหรือจะมองความวกวนอ้อมค้อมในวงการขุนนางเหล่านี้ออก

หม่าตู่อี๋เห็นว่านักบัญชีผู้นั้นไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่อก็ยิ่งโมโห “ท่านเฉิน! หากท่านยังเป็นแบบนี้ คราวหน้าข้าจะไม่ช่วยแล้ว! จะให้เจ้าเด็กโง่เจิงเย่นี่ทำไปคนเดียว ดูสิว่าเขาจะช่วยท่านให้เสียเรื่องหรือไม่!”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยอธิบายที่ไม่ถือว่าเป็นคำอธิบายให้แก่หม่าตู่อี๋ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อกำลังทำเรื่องดี แล้วก็พอจะทำสำเร็จได้คร่าวๆ แล้ว ก็แค่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไป ละโมบในเงินสามส่วน เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมใจมาก่อนแล้ว อันที่จริงเส้นขีดจำกัดของข้ายังอยู่ต่ำกว่านี้เสียอีก นั่นคือขุนนางที่รับธุระทำเรื่องนี้อาจจะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองสี่ส่วน ซึ่งข้ายังพอจะรับได้ สามส่วนก็ดี สี่ส่วนก็ช่าง ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำเรื่องดีก็แล้วกัน”

หม่าตู่อี๋คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ อยากจะโมโห แต่ก็โมโหไม่ออก จึงไม่พูดอะไรต่ออีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากรู้สึกว่าในใจไม่สบายใจ ขอแค่เจ้ายินดีช่วยเจิงเย่ เส้นขีดจำกัดของข้าจะเปลี่ยนจากสี่ส่วนมาเป็นสองส่วน ดีไหม?”

หม่าตู่อี๋ถึงได้รู้สึกพึงพอใจ เริ่มขยับม้าเข้าใกล้เจิงเย่แล้วช่วยสอนประสบการณ์และเคล็ดวิชาที่ตัวเองได้เรียนรู้มาให้กับเด็กหนุ่มผู้ทึ่มทื่ออย่างอดทน

เฉินผิงอันพลันชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง หยิบกล่องไม้ใบเล็กทรงยาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นี่เป็นของชิ้นเล็กที่สลักตัวอักษรโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่มอบให้ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ในการเป็นพันธมิตรของพวกเขาสามคน ค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะมันคือเนินกระบี่ขนาดเล็กระดับขั้นไม่ธรรมดา ยาวแค่หนึ่งนิ้ว เรียกได้ว่าขนาดเล็กจิ๋วกะทัดรัด สะดวกพกพา สามารถใช้บรรจุกระบี่บินส่งข่าว เพียงแต่ว่าไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนห้องกระบี่ขนาดใหญ่ กฎเกณฑ์ค่อนข้างตายตัว อีกทั้งครั้งหนึ่งยังรับกระบี่บินส่งข่าวได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น การเผาผลาญปราณวิญญาณที่ใช้หล่อเลี้ยงกระบี่บินก็สูงกว่าห้องกระบี่อยู่มาก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ขอแค่เฉินผิงอันยินดีก็สามารถเอาไปขายต่อด้วยราคาหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชได้สบายๆ ดังนั้นเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางปฏิเสธความหวังดีนี้ของถานหยวนอี้

เมื่อเปิดกล่องไม้ใบเล็กที่สั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ตลอดเวลาออก เฉินผิงอันก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งที่มาจากเกาะชิงเสีย ในจดหมายลับคือหนึ่งประโยคที่หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วฝากมาบอกต่อเกาะชิงเสียหลังจากรู้ว่าเฉินผิงอันอยู่ที่แคว้นสือหาวแล้ว นั่นคือประโยคที่ว่า ‘กลับมาแล้วมาพูดคุยเรื่องราคาอย่างละเอียดที่เกาะกงหลิ่วของข้า’

เฉินผิงอันกำเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้แน่น ปราณวิญญาณประหนึ่งน้ำหยดลงสู่รางกระบี่รางหนึ่งในกล่องไม้ จากนั้นเขาก็กดกลไกขนาดเล็กที่อยู่ในกล่องไม้ กระบี่บินจากเกาะชิงเสียที่พุ่งออกจากรางกระบี่กล่องไม้ก็พุ่งวูบเข้าไปข้างใน ย้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน

เจิงเย่มองตาไม่กะพริบ

ปีนั้นตอนอยู่ในห้องกระบี่เล็กๆ เรียบง่ายบนเกาะเหมาเยว่ เขาทำหน้าที่เป็นคนทำงานจุกจิกทั่วไป ทว่านี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเนินกระบี่ขนาดเล็กที่เคยได้แต่ยินชื่อ แต่ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนกับตาตัวเอง ช่างมหัศจรรย์จนเกินบรรยายจริงๆ

หม่าตู่อี๋เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันเก็บกล่องไม้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เป่าลมใส่ฝ่ามือเพื่อหาความอบอุ่น นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ดีมากข่าวหนึ่ง

ก็เหมือนที่เขาบอกกับเจิงเย่ เรื่องราวมากมายบนโลกนั้นยากก็ตรงการเริ่มต้น จะก้าวก้าวแรกออกไปได้หรือไม่ จะยืนได้มั่นคงหรือไม่ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันกับหลิวจื้อเม่าที่เดิมทีควรเป็นศัตรูกัน ถานหยวนอี้สายลับต้าหลีบนเกาะลี่ซู่ที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กัน สามฝ่ายกลับกลายมาเป็นพันธมิตรกัน

จากนั้นเขาก็พาตัวไปเสี่ยงอันตรายที่เกาะกงหลิ่ว คบค้าสมาคมกับหลิวเหล่าเฉิง

รวมไปถึงอาศัยโอกาสในการเดินทางมาเยือนแต่ละสถานที่ของแคว้นสือหาวเพื่อ ‘ชดเชยความผิด’ นี้มาทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ของแคว้นสือหาวให้มากขึ้น

แน่นอนว่าต้องมีสิ่งที่เขาต้องการ

ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในห้องใกล้กับประตูภูเขาของเกาะชิงเสียได้สนทนากับมารดาของกู้ช่าน เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าสตรีแต่งงานแล้วจะฟังเข้าหู คำพูดหลายอย่างที่มองดูเหมือนเฉินผิงอันพูดอย่างผ่อนคลาย เป็นไปได้เกินครึ่งว่านางจะไม่คิดให้ลึกซึ้ง ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วนิสัยของนางไม่ได้ซับซ้อน เพื่อนางและกู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่จู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี นางจึงหวังให้เฉินผิงอันช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกเขาสองแม่ลูก หวังว่านักบัญชีคนนี้จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน อย่าเนรคุณต่อชื่อว่า ‘ผิงอัน’ นี้

ในบทสนทนานั้นมีบางประโยคที่เกี่ยวพันกับ ‘ทะเลสาบซูเจี่ยนในอนาคตอาจจะไม่เหมือนเดิม’

สตรีแต่งงานแล้วอาจไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้ง

ทว่าเฉินผิงอันกลับลงมือมาตั้งแต่แรก

เฉินผิงอันต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อรับมือกับคำหยอกล้อกึ่งจริงกึ่งเท็จสองประโยคของหลิวเหล่าเฉิงตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากอย่างคำว่า ‘ใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่า’ และ ‘ช่างมีใจทะเยอทะยานยิ่งนัก’

เพราะหลิวเหล่าเฉิงจับเบาะแสได้ และเดาออกว่าเฉินผิงอันคิดจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่ต้นตอของมันอย่างแท้จริง

ใช้ของสิ่งอื่นมายกระดับอิทธิพลของตัวเองให้สูง พยายามอย่างสุดความสามารถ

เฉินผิงอันกำลังลงมือทำเรื่องเรื่องหนึ่งโดยยังไม่ไปพูดถึงความดีเลวของคนก่อน เขามองทุกคนเป็นหมากบนกระดาน พยายามวาดภาพบนกระดานที่เป็นของตัวเองให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม เปลี่ยนจากเม็ดหมากเป็นภาพบนกระดาน แล้วค่อยขยับไปเป็นสถานการณ์หมาก

เขาหวังว่าท่ามกลางกฎเกณฑ์ใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนในอนาคต อย่างน้อยตนจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ได้

ดังนั้นตอนนั้นหลิวเหล่าเฉิงถึงได้ถามเฉินผิงอันว่าเรียนหมากล้อมมาจากอาจารย์ฉีแห่งถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไม่

ก็คือเหตุผลข้อนี้

อันที่จริงบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายแฝงไว้ด้วยการงัดข้อและชักคะเย่อกันอยู่ตลอดเวลา

กระแสคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน การปัดแข้งปัดขาใช้กลอุบาย การมองหาช่องโหว่ของอีกฝ่ายบนกระดานหมาก การวางหมากอย่างไร้เหตุผล การวางหมากแบบเทพเซียน ล้วนมีข้อพิถีพิถันของใครของมัน

เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแห่งเกาะกงหลิ่วอย่างหลิวเหล่าเฉิงก็ดี หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับก่อกำเนิดอย่างหลิวจื้อเม่าก็ช่าง อันที่จริงเฉินผิงอันล้วนใช้หมัดในการพูด หากข้ามขอบเขต พลัดเข้าไปในการช่วงชิงบนมหามรรคา ขัดขวางเส้นทางของใครคนใดคนหนึ่ง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการรนหาที่ตาย ในเมื่อขอบเขตแตกต่างกันมากขนาดนี้ อย่าว่าแต่หลักการเหตุผลที่พูดด้วยปากไม่อาจใช้ได้ผลเลย ต่อให้ใช้หมัดอธิบายเหตุผลก็ยิ่งเป็นการรนหาที่ตาย อีกทั้งเฉินผิงอันยังมีเป้าหมายที่ต้องการ ควรจะทำอย่างไร? ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ทุ่มเทกับการ ‘ฝึกฝนจิตใจ’ อนุมานน้ำหนักของหมากแต่ละตัวที่ซุกซ่อนอยู่อย่างระมัดระวัง เข้าใจความต้องการ ขีดจำกัด นิสัยและกฎเกณฑ์ของพวกเขาแต่ละคน

หากเป็นไปได้ องค์ชายหันจิ้งหลิงที่หลบภัยมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน หวงเฮ้อบุตรชายแม่ทัพใหญ่ชายแดน หรือแม้แต่ซูเกาซานแม่ทัพบู๊ต้าหลีที่หอบเอาสถานการณ์ใหญ่ไว้บนร่าง เฉินผิงอันล้วนต้องทดลองทำการค้ากับพวกเขา

ความยากนั้นอยู่ที่ เมื่อเทียบกับการชดเชยแก้ไขความผิดเพื่อหวังความสบายใจ การทำตามความปรารถนาของภูตผีวัตถุหยินแต่ละตนให้เป็นจริงแล้ว การวางสถานการณ์หมากอีกกระดานหนึ่งอย่างลับๆ ของเฉินผิงอันนี้ยากยิ่งกว่ายาก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันทดลองใช้สถานะของนักเล่นหมาล้อมไปสร้างกระดานหมากหนึ่งกระดาน ประเด็นสำคัญคือเขาจะเดินผิดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว หากไม่ทันระวังก็อาจต้องแพ้ทั้งกระดาน นี่เท่ากับว่าตอนนี้เฉินผิงอันวางหมากจนเกิดช้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว (ช้อนในภาษาจีนของวงการหมากล้อมผันมาจากคำว่ากระชอน ซึ่งหมายถึงการเดินหมากที่เกิดข้อผิดพลาด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ผลประโยชน์ และตนเองต้องเสียหายอย่างที่ไม่จำเป็น)

ส่วนอย่างแรกที่ให้กู้ช่านซึ่งไม่ยินดีสำนึกผิดหยุดกระทำความผิด แล้วตนเป็นผู้รับหน้าที่ชดเชยแก้ไข นอกจากเฉินผิงอันจะต้องเผาผลาญแรงกายแรงใจและสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว อันที่จริงเขาจะไม่มีทางแพ้ไปมากกว่านี้ กลับกันคือไม่ได้เสี่ยงอันตรายเหมือนเดินไปบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ขนาดนั้น

การที่ก่อนหน้านี้แม้แต่เจิงเย่ก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์ขึ้นลงในใจของเฉินผิงอันซึ่งเชี่ยวชาญการเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างถึงที่สุดนั้น

นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางไปส่งพวกซูซินไจแล้ว ความผิดหวังอีกอย่างหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า อีกทั้งยังไม่อาจอธิบายได้ก็ได้ผุดขึ้นแล้วเข้ามาล้อมวนในหัวใจของเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่จางหายไป

ความรู้สึกเช่นนั้นไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืดสลัวบนเกาะชิงเสีย ตอนนั้นยังไม่ได้เชิญวิญญาณหยินทั้งหมดออกมา แค่มองตำหนักพญายมราชคุกล่างที่วางอยู่บนโต๊ะครั้งเดียว ตอนที่เฉินผิงอันหลับตาพักผ่อนชั่วครู่หรือไม่ก็ก่อนที่จะหลับใหลไปบนเตียง จะเหมือนมีเสียงสัมภเวสีจำนวนนับไม่ถ้วนมาร้องโหยหวนอยู่นอกประตูหัวใจ บ้างก็เคาะประตูอย่างแรง บ้างก็แผดเสียงร้องตะโกนเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม บ้างก็ด่าสาปแช่ง

หลังจากการอำลาครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกผิดหวังนั้นของเฉินผิงอันเกิดขึ้นก็เพราะจู่ๆ เขาค้นพบเรื่องหนึ่ง ชื่อของคนที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมบนสมุดบัญชีแต่ละเล่ม พวกคนที่ทำให้เขารู้สึกผิดและละอายใจได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นซูซินไจที่คิดถึงภูเขาหวงหลีและอาจารย์ผู้มีพระคุณอยู่ตลอดเวลา กลับเลือกวางทิฐิความยึดมั่น เลือกจะไปจากโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง หันกลับมามองพวกวัตถุหยินที่ความรู้สึกผิดในใจของเฉินผิงอันไม่มากเท่ากับที่มีต่อซูซินไจ พวกเขากลับมีข้อเรียกร้องมากกว่า มีความปรารถนาที่เป็นดั่งสิงโตอ้าปากกว้าง มีความละโมบซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปของทั้งคนและผี และยังมีวัตถุหยินอีกมากที่หลังจากตายไปยังคงมีความเคียดแค้นลึกล้ำซึ่งยังพักอาศัยอยู่ในตำหนักพญายมราช เรือนแก้วจำลองชั่วคราว

อันที่จริงก่อนหน้านี้เมื่อเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว ความละอายใจก็มีไม่มากเท่าไหร่นัก แต่พวกซูซินไจกลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจขึ้นมาอีก ถึงขั้นเมื่อเทียบกับตอนแรกแล้วความรู้สึกผิดนี้ยังมากยิ่งกว่า หนักหนายิ่งกว่า

ความรู้สึกเช่นนั้นก็ล้อมวนเวียนอยู่นอกประตูหัวใจเช่นกัน เหมือนว่าพวกมันที่อยู่นอกประตู พวกมันที่ตัดสินใจไปจากโลกมนุษย์อย่างไร้ซึ่งความไม่พอใจ ไร้ซึ่งคำตำหนิสาปแช่งได้มาเคาะประตูเบาๆ เบามากจนเหมือนกับกังวลว่าจะรบกวนคนที่อยู่ข้างใน จากนั้นพวกมันก็พูดประโยคอำลาที่เหมือนกันประโยคหนึ่งว่า ‘ท่านเฉิน ข้าไปแล้วนะ’

—–