หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องข่มขู่ชานหลิงจื่อด้วยซ้ำ หลังจากที่เห็นชายหนุ่มดูดกลืนวิญญาณของตันโจวจื่อเข้าไปอย่างอ้อมๆ และมีร่างกายใหญ่โตขึ้นแล้ว ชานหลิงจื่อก็กลัวหัวหดทันที เขาไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าจะยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้หากถูกดูดกลืนเข้าไปเช่นนั้น แม้จะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อทำได้อย่างไร แต่ความแปลกประหลาดของร่างกายอีกฝ่ายก็ทำให้ชานหลิงจื่อหัวใจเต้นโครมคราม สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว
“สหายร่วมสำนักเต๋า เรามาพูดคุยเรื่องนี้กันดีๆ เถิด โปรดอย่าได้ใจร้อน…” ชานหลิงจื่อตัวสั่นก่อนจะละล่ำละลักออกมา เขากลัวมากว่าจะไม่ทันได้พูด แต่ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นจับตัวเขาเอาไว้ ก่อนแสร้งทำเป็นจะขว้างเขาเข้าไปหาดวงเนตรปีศาจด้านหลังแล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น
“ข้าไม่ได้ใจร้อน แต่ข้าไม่เห็นประโยชน์ที่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป!”
“มีประโยชน์สิขอรับ!” ชานหลิงจื่อตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความกลัว
“สหายร่วมสำนักเต๋า ข…ข้าจะยอมให้ท่านเป็นอาจารย์ของข้าก็ได้! อาจารย์ หากท่านสัญญาว่าจะไม่ฆ่าข้า ข้า…ข้าจะช่วยเปิดแหวนคลังเก็บให้กับท่าน ล…แล้วจะเล่าต้นกำเนิดของของทั้งสามชิ้นในแหวนให้ท่านฟังด้วย ข้ายังบอกวิธีใช้ให้ท่านได้อีกด้วย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดท่านอาจารย์ ข้ามีประโยชน์มากนะขอรับ!” ชานหลิงจื่อ ผู้ซึ่งตอนนี้พินอบพิเทาอย่างสมบูรณ์แบบดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ไม่โดนกลืนกิน
และนี่ก็เป็นไปตามแผนของหวังเป่าเล่ออีกเช่นเคย ชายหนุ่มตั้งใจนำชานหลิงจื่ออกมาก่อนกินตันโจวจื่อเพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นทุกสิ่ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอบสวน
ตอนนี้เหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผล และชานหลิงจื่อเองก็เริ่มเรียกหวังเป่าเล่อว่าอาจารย์แล้วด้วย ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจกับความเฉลียวฉลาดของตนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องขมวดคิ้วแสดงอาการลังเลอยู่เล็กน้อย ทำทีเหมือนว่ากำลังชั่งใจว่าจะเอาอย่างไร
ชานหลิงจื่อเดาได้ว่าอาการลังเลนี้เป็นการแสดงเพื่อจะทำให้เขาหวาดกลัว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเพียงกัดฟันและให้ข้อมูลอันมีค่าต่อไปเพื่อซื้อใจหวังเป่าเล่อ
“อาจารย์ ข้าไปได้ของสามสิ่งในแหวนคลังเก็บมาจากซากปรักหักพังโบราณ ของทั้งสามชิ้นคือกระดาษรูปมนุษย์ หนึ่งในเก้าคันธนูจักรพิภพจำลอง และ…ขวดปรารถนา!”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มสนใจและหันไปมองชานหลิงจื่อ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมา ชานหลิงจื่อก็ถอนใจอยู่ในใจอย่างโล่งอก แต่เขาก็รู้ดีว่าจะมาชะงักตอนนี้ไม่ได้ จึงกัดฟันพูดต่อไป
“กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้มีจุดกำเนิดลึกลับ แต่ตามที่ข้าค้นคว้าและตรวจสอบจากบันทึกโบราณหลายปีมานี้ ข้าคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดาราในตำนาน!
“ตำนานกล่าวไว้ว่าทุกๆ ครั้งที่สุสานดวงดาราเปิด เรือจำนวนมากจะออกเดินทางไปรับผู้ที่มีสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามา หลังจากที่รับมาทุกคนแล้ว เรือก็จะพาพวกเขาไปยังสุสานดวงดารา ตำแหน่งที่ตั้งยังเป็นปริศนา และเรือเหล่านี้ก็พิเศษอย่างยิ่ง มีเพียงผู้ที่มีสิทธิ์เข้าสุสานเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้ คนอื่นๆ นั้นย่อมมองไม่เห็นเรือแม้แต่น้อย!
“และตำนานยังกล่าวไว้อีกว่าคนเรือของเรือจากสุสานดวงดารา…ก็คือกระดาษรูปมนุษย์!
“ดังนั้นข้าจึงเดาเอาว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของข้าน่าจะเคยเป็นคนเรือมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาไม่ได้กลับไปอีกหลังจากที่จากมา…”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ชานหลิงจื่อก็หยุดนิ่งอยู่ ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างเกรงกลัว เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ชายหนุ่มยืนยันว่าจะไว้ชีวิตเขา
แม้ว่าการรับรองนั้นจะเป็นเพียงลมปาก แต่ชานหลิงจื่อก็ยินดีรับไว้ เขารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ทำให้หวังเป่าเล่อสาบานว่าจะไม่ฆ่าเขาและรู้ว่าคำสัญญาปากเปล่านั้นไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น และการเก็บงำข้อมูลของสิ่งของในแหวนคลังเก็บจากหวังเป่าเล่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะอย่างไรเสีย…หากชานหลิงจื่อสามารถหาข้อมูลนี้ได้ มันก็คงไม่ใช่ความลับอะไร ส่วนหนึ่งมาจากบันทึกโบราณ และอีกส่วนนั้นเขาเรียนรู้มาด้วยตนเอง หากหวังเป่าเล่อมีเวลาสักหน่อยก็คงหาข้อมูลเหล่านี้ได้เช่นกัน
ชานหลิงจื่อคิดว่าหากเขาใช้สิ่งนี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อ ก็คงต้องตายเป็นแน่ กลับกันหากเขายอมบอกทุกอย่างกับอีกฝ่าย ก็อาจจะมีโอกาสรอดได้ ดังนั้นเขาจึงอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาโดยแสดงความว้าวุ่นและเกรงกลัวในใจออกมา
ชานหลิงจื่อคิดถูกแล้ว หากเขาใช้ข้อมูลนี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ ตามนิสัยของชายหนุ่ม เขาคงผนึกชานหลิงจื่อไว้แล้วค้นวิญญาณอีกฝ่ายหลังจากที่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้วเป็นแน่
ไม่ว่าชายหลิงจื่อจะเป็นหรือตาย หวังเป่าเล่อก็คงไม่สนใจ แต่การร่วมมืออย่างแข็งขันของชานหลิงจื่อทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจมาก เขายังรู้สึกด้วยว่าแผนของตนได้ผล หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบออกมาทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจชั่วขณะ หลังจากที่คิดย้อนไปถึงการพบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เมื่อคราวก่อน หัวใจชายหนุ่มก็เต้นรัว
*ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก!*หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง จู่ๆ ชายหนุ่มก็มองไปทางอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก่อนที่จะมีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
หรือเป้าหมายเดิมของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เพราะราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ก็มีสิทธิ์การเข้าสุสาน…ก่อนหน้านี้เยี่ยเหมิงเองก็พูดว่าสิทธิ์การเข้าสุสานของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดูเหมือนจะผสานรวมอยู่ในสายเลือดราชวงศ์ และเป็นการยากยิ่งที่คนนอกจะได้มา ต้องรอให้ราชวงศ์มอบให้อย่างเต็มใจเมื่อถึงเวลาที่สุสานดวงดาราเปิดแล้วเท่านั้น!
หากเป็นเช่นนั้น บางทีเยี่ยเหมิงอาจจะไม่ได้รู้ทุกอย่าง การส่งผ่านสิทธิ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างการเปิดของสุสาน ทว่า…อาจเป็นตอนที่เรือดาวตกเดินทางไปถึงความคิดหลากหลายหมุนวนอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อจนกระทั่งมีประกายส่องสว่างขึ้นในดวงตาของเขา
บางทีข้าเองอาจมีสิทธิ์ก็เป็นได้หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะปัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายหนุ่มจะดูคล้ายกับว่ามีสายเลือดราชวงศ์อยู่ในตัว แต่มันก็ผูกติดอยู่กับวิชาดวงเนตรสวรรค์และไม่ได้อยู่ในกายเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นราชวงศ์โดยสายเลือด
จึงเป็นไปได้ยากยิ่งที่เขาจะมีสิทธิ์การเข้าถึง
*แต่ลองดูก็คงไม่…*หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง พลางคิดไปถึงตอนที่กระดาษรูปมนุษย์ดูเหมือนจะใช้พลังออกมาเพื่อนำทางชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อมาหาเขา ชายหนุ่มยังคิดถึงกริยาประหลาดของกระดาษรูปมนุษย์ระหว่างที่เขาใช้บทสวดแห่งเต๋าอีกด้วย
สัญญาณเหล่านั้นสอดประสานรวมกันอยู่ในใจของเขา แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งใดคือความจริง แต่ก็รู้ดีว่าตนอยู่ไม่ไกลจากความจริงแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจ เขาก็จ้องมองไปยังวิญญาณของชานหลิงจื่อ
แล้วจึงพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนกล่าวออกมา
“พอแล้ว หากเจ้ามีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกระดาษรูปมนุษย์อีกก็จงอย่าเก็บซ่อนไว้ ขอให้บอกข้าทันที แล้วข้าจะตัดสินอนาคตของเจ้าด้วยความเมตตา”
คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่คำสัญญาสมบูรณ์แบบที่ชานหลิงจื่อต้องการ แต่เขาก็ไม่กล้าขอมากมาย ดังนั้นจึงรีบตอบอย่างลนลาน เล่าสิ่งที่รู้ให้หวังเป่าเล่อฟังตามจริง
“อาจารย์ ข้าไม่กล้าล่วงเกินกระดาษรูปมนุษย์เลยขอรับ ข้ารู้เพียงเท่านี้ แต่ข้ารู้เรื่องของอีกสองชิ้นในแหวน…” ชานหลิงจื่อกังวลใจเล็กน้อย เขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อสนใจกระดาษรูปมนุษย์มากกว่า และกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะปล่อยจิตสังหารออกมาอีกเพราะตนให้ข้อมูลไม่เพียงพอจึงรีบพูดต่อไป
“พลังของคันธนูในแหวนคลังเก็บนั้นรุนแรงจนเรียกได้ว่าสะเทือนสวรรค์ อาจารย์ คันธนูนี้มีประวัติอันยิ่งใหญ่ จากที่ข้าค้นคว้ามาหลายต่อหลายปี ข้ายืนยันได้ว่าคันธนูนี้คือหนึ่งในเก้าคันธนูจักรพิภพจำลองในตำนานแห่งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!”
“คันธนูจักรพิภพอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองคันธนูในแหวนคลังเก็บ ชายหนุ่มจำได้ว่ามันมีเม็ดกลมๆ หน้าตาคล้ายดารานิรันดร์ฝังอยู่และดูสวยงามอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของชานหลิงจื่อ เขาจึงได้รู้ชื่อของคันธนู
“ท่านอาจารย์ช่างรอบรู้ ท่านนึกต้นกำเนิดของคันธนูนี้ออกแล้วใช่หรือไม่ แน่นอนว่าคันธนูนี้เป็นเพียงแบบจำลองของคันธนูจักรพิภพ ภายในจักรพิภพไม่รู้สิ้น มีสุดยอดสมบัติแห่งจักรพิภพที่เลื่องชื่ออยู่ด้วยกันสิบชิ้น หกชิ้นมีเจ้าของแล้ว และอีกสี่ชิ้นก็หายสาบสูญไปหลายปี ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน และหนึ่งในสี่นั้นก็คือคันธนูจักรพิภพ!” ชานหลิงจื่อรีบประจบหวังเป่าเล่ออย่างแนบเนียนก่อนจะเล่าต่ออย่างเร่งรีบ
“คันธนูจักรพิภพของจริงมีดารานิรันดร์ประดับอยู่ร่วมสามหมื่นดวง เมื่อคันธนูถูกดึง จะทำให้จักรพิภพและกฎเกณฑ์ต่างๆ พังทลาย พลังของมันนั้นสุดยอดเกินบรรยาย!”
“ปรมาจารย์นักหลอมวัตถุเวทเคยแกะวิธีทำและใช้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างแบบจำลองขึ้นมาได้เก้าชิ้น ทุกๆ ชิ้นมีดารานิรันดร์ฝังอยู่สิบดวง แม้ว่าจะเทียบของจริงไม่ได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แบบจำลองนี้ก็มีมูลค่าสูงลิบและเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนใฝ่ฝันอยากครอบครอง!” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ชานหลิงจื่อก็กวาดสายตามามองหวังเป่าเล่อ