ตอนที่ 1941

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,941 : ความแคลงใจของจูลู่ฉี

 

ศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้น หากคิดเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟและกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในที่นั่น ก็มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 ทาง

 

หนึ่งคือมีพรสวรรค์สูงส่งจนได้รับการแนะนำส่วนตัวจาก 1 ใน 4 จ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์

 

ประการที่ 2 ก็คือมีปฏิภาณสูงล้ำจนสามารถทำความเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชาจตุรลักษณ์ที่สังกัดได้!

 

ประการที่ 3 ก็คือผ่านการประเมินทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ และโดยปกติแล้วบรรดาศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ที่มีโอกาสเข้าร่วมการทดสอบดังกล่าว พลังฝีมือจำต้องอยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญหรือสูงกว่านั้น

 

และจากที่ต้วนหลิงเทียนรู้มา โดยมากแล้วศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้น ขอเพียงพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญทั้งปรับระดับพลังฝีมือให้เข้ากับขอบเขตพลังได้แล้ว ก็จะสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าวและกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในได้แทบทั้งสิ้น…

 

ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการประเมินนั้น

 

โดยมากแล้วก็ไม่พ้นผู้ที่พึ่งทะลวงผ่านถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ทันไร ยังปรับตัวเข้ากับพลังไม่ได้ หรือเหล่าคนที่พึ่งพาแต่โอสถของวิเศษจนรากฐานไม่มั่นคง กระทั่งยังรวมถึงผู้ที่ทำผิดพลาดในขณะการทดสอบเองอีกด้วย

 

“ก็รอให้การทดสอบประเมินของแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ข้าแน่นอนว่าต้องไปเข้ารับการทดสอบแน่! เพราะข้าเองก็ได้ไปลงทะเบียนรอเข้ารับการทดสอบไว้แล้ว เป้าหมายในชีวิตข้าก็คือการเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์นี่ล่ะ!”

 

พอหลิวมู่ได้ฟังคำถาม ก็มองไปเบื้องหน้าด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ทั้งยังเต็มไปด้วยความวาดหวัง

 

ระหว่างเดินทางหลิวมู่ก็สนทนานกับต้วนหลิงเทียนอย่างออกรส มันเองก็นับเป็นคนเฮฮาสนุกสนานคนหนึ่ง และไม่มีทีท่าดูแคลนต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด แม้พลังฝึกปรือของมันจะบรรลุเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญแล้วก็ตาม

 

เรื่องนี้นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนประทับใจในตัวอีกฝ่ายไม่น้อย

 

เพราะอย่างน้อยๆศิษย์พี่แซ่หลิวนามมู่ผู้นี้ ก็มิใช่ชนชั้นต่ำทรามที่คอยดูแคลนหยามหมิ่นผู้ที่อ่อนด้อยกว่า

 

ต้องทราบกันด้วยว่าตั้งแต่ที่วีรกรรมที่เขาก่อมันแพร่ไปทั่วแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ‘ก้น’ ของเขาก็คล้ายจะถูกผู้อื่นรับทราบหมดแล้ว

(ก้นในที่นี้ ก็คือข้อมูลส่วนตัวที่ถูกขุดคุ้ยกันอย่างละเอียด)

 

อีกฝ่ายแน่นอนว่าต้องรู้เรื่องที่พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลือง และเสมือนชีวิตได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าความสำเร็จในวันหน้าก็ไม่สูงล้ำอะไร เพียงจะทะลวงถึงเซียนนภายังยาก…

 

ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ศิษย์พี่นามหลิวมู่คนนี้กลับมองเขาอย่างเป็นกันเอง ไม่แม้แต่จะมีความดูถูกอะไรในแววตาสักเพียงนิด!

 

เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่หาได้ยากมากในสายตาของเขา

 

“น้องหลิงเทียน เบื้องหน้านั่นก็เป็นเขตที่พักของศิษย์แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเราแล้วล่ะ”

 

เสียงของหลิวมู่ดังขึ้น ปลุกสติต้วนหลิงเทียนที่เหม่อคิดไปเรื่อยเปื่อยให้กลับคืน

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็มองไปด้วยความสนใจ

 

ไม่นานหุบเขาใหญ่โตก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

 

หุบเขาแห่งนี้นับว่ามีพื้นที่กว้างขวางนัก มันถูกล้อมรอบไปด้วยขุนเขาสูงใหญ่ 3 ลูก มองไปโดยรอบพบพานแต่พื้นที่เขียวขจีเปี่ยมล้นไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศยังสงบร่มรื่น ขุนเขาลูกใหญ่ทั้ง 3 ก็สูงชะลูดเสียดฟ้า ทิ่มแทงทะลุเลยก้อนเมฆไปไกลทั้งสิ้น และขุนเขาที่ว่ายังเต็มไปด้วยแพไม้ใหญ่คล้ายจะปิดฟ้ากั้นทะเลได้ก็ไม่ปาน

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ข้ากลับเผลอเหินผ่านที่นี่ไปโดยไม่ทันสังเกต…ที่แท้กลับถูกต้นไม้ใหญ่เขาเขียวเหล่านี้บังตาเอาไว้นั่นเอง”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม

 

“ฮ่าๆ แบบนี้ล่ะ เขตที่พักแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวเราถึงมักถูกผู้คนมองข้ามไปได้ง่ายๆ…”

 

หลิวมู่พยักหน้า

 

หลังจากนั้นหลิวมู่กับต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างลงไปยังเขตพื้นที่หุบเขากว้างเบื้องหน้า

 

“ศิษย์พี่หลิวมู่!”

 

“ศิษย์พี่หลิวมู่! ท่านสบาย!!”

 

……

 

ระหว่างเหินร่างลงไปต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเหล่าศิษย์ที่กำลังสัญจรไปมา เมื่อพบเห็นหลี่มู่ ทุกคนก็ประสานมือคารวะทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นทั้งสิ้น

 

หลิวมู่เองก็ยิ้มตอบทุกคนอย่างมากอัธยาศัย

 

เมื่อกวาดตามองไปในหุบเขาเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวพึมพำออกมาเบาๆ “รูปแบบแผนผังคล้ายๆกับเขตที่พักของแท่นบูชาเต่าทมิฬเลย…”

 

ต้วนหลิงเทียนพบว่ารูปแบบที่พักของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว ก็คล้ายคลึงกันกับเขตที่พักแท่นบูชาเต่าทมิฬของเขา…

 

“พี่ชายหลิว ที่แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของท่านก็มีแบ่งเป็นตำหนักเอกอุ เรือนชั้นรอง บ้านชั้น 3 แล้วก็กระท่อมชั้น 4 เหมือนแท่นบูชาเต่าทมิฬของข้าด้วยหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้ทันที

 

“น้องหลิงเทียน ไม่เพียงแต่แท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของข้าหรอก อันที่จริงเขตที่พักของเหล่าศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์ทั้งหมดก็เป็นในรูปแบบเดียวกันนี่ล่ะ”

 

หลิวมู่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

 

ได้ยินคำตอบนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆ มือยังยกขึ้นลูบจมูกคล้ายอับอายเล็กน้อยที่เรื่องนี้เขาดันไม่รู้

 

“ว่าแต่สหายที่เจ้ามาหาในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของข้าเรียกว่าอะไรเล่า? บางทีข้าจะได้ช่วยเจ้าหาตัวคนอีกแรง เพราะศิษย์ที่นี่ก็มีเกือบหมื่นคน ข้ากลัวว่าเจ้าคิดหาสหายก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย”

 

หลิวมู่ถาม

 

“สหายของข้าเรียกว่าจูลู่ฉีน่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไป

 

“แล้วพลังฝึกปรือของสหายเจ้าตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้วรึ?”

 

 

หลิวมู่พยักหน้ารับทราบ ค่อยยิงคำถามเพิ่ม

 

“เมื่อหลายเดือนที่แล้วพลังฝึกปรือสหายข้าคนนี้ก็บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง…ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะทะลวงไปถึงเซียนปฐพขั้นเชี่ยวชาญแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปทันที แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

 

เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าในช่วงที่ผ่านมาจูลู่ฉีทะลวงด่านพลังได้แล้วหรือยัง

 

“จากพลังฝึกปรือของสหายเจ้า…ก็น่าจะอยู่บ้านพักชั้น 3 ที่นี่ก็มีบ้านพักชั้น 3 แค่พันหลังเท่านั้น รวมกับความจริงที่ว่าสหายเจ้าก็เป็นศิษย์ที่พึ่งเข้ามาใหม่รอบนี้ ถ้างั้นก็หาตัวไม่ยากหรอก”

 

หลิวมู่ได้ฟังข้อมูล ก็ยิ้มกล่าวออกมา

 

“เช่นนั้นน้องหลิงเทียนเจ้ารอข้าตรงนี้สักครู่เถอะ ไม่เกินหนึ่งก้านธูปรับรองข้าหาสหายของเจ้าเจอแน่!”

 

หลิวมู่กล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเหินร่างไปยังส่วนของบ้านพักชั้น 3

 

หลิวมู่เลือกเคาะประตูบ้านพักชั้น 3 หลังหนึ่ง และศิษย์ในบ้านพักหลังดังกล่าวไม่ทันไรก็เปิดประตูออกมาแล้ว

 

เมื่อศิษย์ผู้นี้เห็นว่าผู้ที่มาเคาะประตูหน้าบ้านตัวเองเป็นหลิวมู่ มันก็วางตัวสุภาพนัก ตั้งแต่ต้นจนจบมันยืนฟังหลิวมู่กล่าวแล้วคอยพยักหน้ารับทราบเป็นพักๆ

 

‘จากพลังฝึกปรือของพี่หลิวมู่…สมควรพักอยู่ตำหนักเอกอุพวกนั้น’

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้สายตาของต้วนหลิงเทียนกลับไปหยุดมองยังน่านฟ้าสูงของหุบเขา อันเป็นเกาะลอยที่แต่ละเกาะมีอาคารหรูหราดั่งวังตำหนักปลูกสร้างไว้อยู่

 

ตำหนักเอกอุนั้นไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะจะเลิศล้ำที่สุด เพราะมีค่ายกลรวมวิญญาณซ้อนทับกันอยู่ถึง 10 ค่าย ยังมีพื้นที่ว่างอันกว้างขวางทั้งยังตกแต่งไว้อย่างสวยงามเรียกว่าน่าอยู่อย่างยิ่ง

 

‘รอให้พลังฝึกปรือของข้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดให้ได้ก่อนเถอะ ข้าต้องหาตำหนักเอกอุแบบนี้ที่แท่นบูชาเต่าทมิฬมาอยู่สักหลังให้ได้…’

 

คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายสว่างขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

 

“ต้วนหลิงเทียน”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดเหม่อไปอยู่นั้น เสียงคุ้นหูหนึ่งพลันปลุกเขาให้ตื่นจากอาการฝันกลางวันทันที

 

รู้สึกตัวอีกครั้ง หลิวมู่ก็ได้กลับมาแล้ว ยังกลับมาพร้อมร่างคนๆหนึ่ง และคนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครไหนอื่นนอกจาก จูลู่ฉี!

 

“จ้าววังจู”

 

ต้วนหลิงเทียนทักทายจูลี่ฉีกลับ หลังจากนั้นก็เร่งหันไปประสานมือให้หลิวมู่ทันที “ขอบคุณพี่ชายหลิวมาก หากไม่ได้ท่านช่วยเหลือ เกรงว่าข้าน่าจะงมหาอยู่นานพอดู…”

 

“น้องหลิงเทียนเจ้าเกรงใจไปแล้ว….”

 

หลิวมู่ยิ้มกล่าว “ข้านับว่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เจอเจ้าทั้งยังได้เป็นเพื่อนคุยกับเจ้าแบบนี้…เอาไว้ว่างๆเจ้าก็แวะมาหาข้าที่บ้านสิ พวกเราจะได้จิบชาเพื่อสนทนาเรื่อยเปื่อยให้มากหน่อย เพราะหลังจากนี้หากข้าเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วพวกเราคงยากจะได้เจอกันอีก”

 

“ได้เลยพี่หลิว”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มพยักหน้า รับคำไปด้วยความยินดี

 

“ว่าแต่น้องหลิงเทียนกับสหายไม่สู้ไปหารือกันที่บ้านของข้าเลยเล่า? ช่วงบ่ายจะได้จิบชากับข้าสักกา?”

 

หลิวมู่กล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ขณะพูดยังชี้นิ้วไปยังตำหนักเอกอุหลังหนึ่ง

 

“ข้าต้องขอบคุณพี่หลิวมากที่ชวน แต่วันนี้ข้าคงทำได้แค่รับน้ำใจท่านไว้ด้วยใจเท่านั้น เพราะข้าเองก็มีเรื่องมาหารือกับสหายไม่นาน หลังจากนั้นข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก”

 

ต้วนหลิงเทียนปฏิเสธคำชวนของหลิวมู่อย่างสุภาพ เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้

 

มีคำกล่าวไว้ว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการชดใช้ก็คือหนี้น้ำใจของผู้คน หากเลือกได้เขาก็ไม่อยากติดค้างน้ำใจใครมากนัก

 

“เอาล่ะตามใจเจ้า งั้นพวกเจ้าก็หารือธุระกันเถอะ ข้าไปก่อนแล้ว”

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ หลิวมู่ก็พยักหน้ารับและไม่ได้คิดจะเซ้าซี้อะไรให้มากความ เลือกจะเหินร่างกลับตำหนักเอกอุของมันทันที

 

“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าไปรู้จักกับคนผู้นั้นได้อย่างไร?”

 

หลังจากหลิวมู่เหินร่างจากไปแล้ว จูลู่ฉีก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

 

“พอดีข้าคิดมาหาท่าน บังเอิญเจอพี่หลิวระหว่างทางก็เลยเข้าไปถามทางมาที่นี่น่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไปตามตรง

 

“บังเอิญเจอ…เข้าไปถามทาง?”

 

จูลู่ฉีถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ เมื่อได้ยินคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน…

 

เพียงแค่บังเอิญเจอแล้วเข้าไปถามทาง…กลับแลดูคุยกันถูกคอเหมือนสหาย กับคนที่เป็นถึงศิษย์ยอดฝีมืออันดับต้นๆในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของมันเนี่ยนะ?

 

จังหวะนี้จูลู่ฉีรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง

 

“ว่าแต่เจ้ามาหาข้าแบบนี้ได้…ย่อมมีเหตุสำคัญใช่หรือไม่?”

 

จูลู่ฉีที่ดึงสติกลับมาก็มองถามต้วนหลิงเทียนทันที

 

“ใช่”

 

สีหน้าของต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาขณะกล่าวตอบ นั่นพาลให้จูลู่ฉีสัมผัสได้ถึงความหนักหนาของเรื่องราวทันที

 

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าหยางชงอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาลมาหาเขาอย่างไรและกล่าวข่มขูเขาว่าอะไร…

 

“ที่ข้ามาหาท่าน เพราะข้าคิดถ่ายทอดทักษะลับให้ท่าน…และตราบใดที่ท่านเชี่ยวชาญทักษะลับที่ว่าท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่หลี่อันกับหยางชงจะมาสืบค้นข้อมูลด้วยทักษะควาญวิญญาณอีกต่อไป…ด้วยวิธีนี้พวกมันก็คงยากจะสืบค้นภูมิหลังของข้าได้ไปสักพัก”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเพิ่มเติม หลังบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้จูลู่ฉีฟัง

 

 

“หยางชง ยอดฝีมืออันดับที่ 146 ในรายนามยอดเซียน?”

 

ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเล่าออกม จูลู่ฉีก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง สีหน้ายังเผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็นชัดเจน

 

ขณะเดียวกันนั้นมันก็สัมผัสได้ถึงกระแสข้อมูลชุดหนึ่งที่ต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดผ่านสำนึกเทวะมาให้ เป็นทักษะลับที่มีไว้เพื่อป้องกันทักษะจำพวกควาญวิญญาณนั่นเอง

 

“ด้วยทักษะลับนี้ไม่ว่าจะเป็นหยางชงหรือหลี่อันก็คงไม่อาจมาสืบค้นภูมิหลังของเจ้ากับข้าได้อีกต่อไป…และตราบใดที่พวกเราไม่ออกจากลัทธิบูชาไฟ พวกมันก็ไมอาจแตะต้องพวกเราได้ง่ายๆ!”

 

จูลู่ฉีกล่าว

 

“หากแต่…หยางชงนั่นจะอย่างไรก็เป็นอาวุโส 5 ของวังอุดรไพศาล ขุมพลังชั้น 1 ในภูมิภาคเบื้องบน ด้วยเส้นสายและอำนาจที่มันมี….ข้าเกรงว่าไม่นานมันก็ต้องสืบค้นภูมิหลังของเจ้าจนเจอแน่…”

 

จูลู่ฉีกล่าวออกมาอีกครั้ง ขณะพูดมันยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นห่วง

 

“ข้ารู้…แต่ข้าจะรีบก้าวหน้าขึ้นก่อนที่มันจะพบความเป็นมาของข้า และฆ่ามันทิ้งเสียเพื่อกำจัดภัยซ่อนเร้นนี้ให้หมดไป!”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ลูกตาพลันฉายประกายเย็นเยียบออก จิตสังหารระอุขุมหนึ่งพลันปะทุตลบไปทั่วร่าง

 

“ข้าได้ยินมาว่า…พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้า เป็นรากวิญญาณสีเหลืองเช่นนั้นหรือ?”

 

จูลู่ฉีกล่าวถามด้วยรอยยิ้มขืนๆ

 

เรื่องพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลือง มันเองก็ได้ยินมาบ้างแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ค่อยจะเชื่อในวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมาสักเท่าไหร่…

 

ด้วยหน่วยข่าวกรองของวังอุดรไพศาล แม้จะไม่เลิศล้ำเหนือสุด แต่มั่นใจได้เลยว่าความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนย่อมถูกสืบค้นจนพบเจอได้ในเวลาไม่เกิน 10 ปีแน่นอน…

 

ทว่าด้วยเวลาที่มีน้อยกว่า 10 ปี ต้วนหลิงเทียนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง คิดจะเติบโตก้าวหน้าถึงขั้นมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอจะฆ่าหยางชง?เรื่องนี้ยังยากเย็นยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก!!

 

อย่างไรหยางชงนั้นมันก็คือยอดฝีมือลำดับที่ 146ในรายนามยอดเซียน ไหนเลยมันจะเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันได้

 

“จ้างวังจู ท่านเพียงเร่งฝึกปรือทักษะลับที่ข้าถ่ายทอดไปให้เชี่ยวชาญได้ในเวลาที่สั้นที่สุดก็พอ…ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”

 

เผชิญหน้ากับความแคลงใจของจูลู่ฉีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มออกไป เพียงกล่าวคำออกมาด้วยความมั่นใจ และหลังจากกล่าวจบคำแล้วเขาก็ประสานมืออำลาจูลู่ฉีทันที “ตอนนี้ข้าต้องเร่งไปแท่นบูชานกไฟเพื่อหาพี่กู่ต่อ…จ้างวังจูถนอมตัวด้วย!”

 

กล่าวไม่ทันขาดคำ คนก็คล้ายกลับกลายเป็นสายลมพัดวูบออกไปทันที

 

‘เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย…’

 

มองแผ่นหลังที่พุ่งหายลับไปไกลตาของต้วนหลิงเทียน จูลู่ฉีก็ได้แต่กล่าวพึมพำอยู่ในใจ