บทที่ 564 ได้คนรับใช้เพิ่มมาอีกคน
คำแรกที่ฉีหานหยูเอ่ยก็คือการขอโทษก่อนทันที จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่เล้งหวงสั่งให้ ซูชางหมิงเดินทางมาที่สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อล่อลวงพวกเขา หลังจากเล่าย้อนความไปได้พักใหญ่ ฉีหานอยูก็กล่าวปิดท้ายว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของเรากับสำนักของพวกท่านนั้นดีต่อกันมาโดยตลอด แต่ที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันลงเอยเช่นนี้ก็เพราะพวกเราถูกปั่นหัว”
“ในตอนนี้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เราถูกทำลายจนย่อยยับ เกาะต่าง ๆ มากมายของสำนักเสียหายจนไม่เหลือสภาพเดิมและที่สำคัญเปลือกของมหาวิถีเต๋าของสำนักเราก็แตกออกจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจะฟื้นฟูมันให้กลับมาได้สมบูรณ์ดังเดิม ซึ่งพวกเราเองก็รู้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของพวกเรา ที่ผู้น้อยมาที่นี่เพียงคนเดียวก็เพราะท่านเจ้าสำนักไม่อาจมาด้วยตนเองได้เพราะเขาต้องรั้งอยู่ที่สำนักเพื่อประเมินและซ่อมแซมความเสียหายที่ได้รับเบื้องต้น เขาได้ส่งผู้น้อยมาเพื่อให้คำอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกท่าน เนื่องจากท่านเจ้าสำนักไม่ต้องการให้ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราทั้งสองสำนักมันหยั่งรากลึกลงไปจนเกินจะแก้ไขได้”
อันที่จริงจุดมุ่งหมายแรกที่ฉีหานหยูมาที่นี่ก็เพราะว่าเขาต้องการมาคุยกับเล้งหวง เรื่องการชดใช้ให้กับสำนักของเขา
แต่แล้วเมื่อเขามาถึง เขากลับได้ทราบข่าวว่าเล้งเจี้ยนชิวถูกเขตแดนหมอกดูดกลืนไปเรียบร้อย แต่บรรดาตัวตนระดับสูงของตระกูลอื่น ๆ กลับถูกช่วยเหลือออกมาจนหมดโดยหลิงตู้ฉิง
เมื่อเผชิญกับเรื่องราวที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ เขาจะสามารถพูดร้องขออะไรได้อีก? เขาทำได้เพียงแต่คิดซะว่าสำนักของเขามันโชคร้ายเอง และยอมรับในความผิดของสำนักเขาเพื่อไม่ให้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เอาเรื่องที่สำนักของเขาพยายามจะสังหารเย่ชิงเฉิง ซึ่งมีฐานะเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสำนัก ไม่เช่นนั้นสำนักของเขาคงได้ถูกลบหายออกไปจากแผนที่โลกจริง ๆ
ทางด้านของเหล่าผู้คนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าหลิงตู้ฉิง
ในตอนนี้เขาได้รู้ถึงความแสบสันต์ของหลิงตู้ฉิงเรียบร้อยว่า ถ้าหากมีใครทำให้เขาไม่พอใจเมื่อไหร่ ฝั่งตรงข้ามก็เตรียมตัวรับหายนะได้เลย
แล้วยิ่งเมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องที่พวกเขาพยายามบังคับให้เย่ชิงเฉิงแต่งงานใหม่กับเล้งหวง ซึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ สำนักของพวกเขาจะมีสภาพที่เละเทะถึงขนาดไหนกัน?
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขานึกถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นที่อยู่หลังสำนัก พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูก
เมื่อเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมด ฉีหานหยูก็ขอตัวกลับสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ทันที
แม้ว่าเขาจะอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ความผิดที่สำนักของเขาก่อมันหนักหนาเกินไป เขาจึงรู้ตัวดีว่านับแต่นี้ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสำนักจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม
ทางด้านบรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้รู้สึกเวทนาอะไรกับความสูญเสียของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
อันที่จริงในตอนแรกที่ได้ฟังว่าเย่ชิงเฉิงนั้นถูกปฏิบัติอย่างไรและเกือบถูกฆ่าตาย เย่ชางคงและมู่หลงหยานนั้นรู้สึกโมโหมาก พวกเขาถึงกับวางแผนไว้ว่าหลังจากที่จัดการเรื่องในสำนักเสร็จเมื่อไหร่พวกเขาจะไปคิดบัญชีกับสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ทันที
แต่ในตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินท่อนสุดท้ายที่ฉีหานหยูบรรยายถึงความเสียหายของสำนักตัวเอง ทั้งเย่ชางคงและมู่หลงหยานกลับรู้สึกอับอายเกินกว่าที่จะไปคิดบัญชีอีกรอบ
เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าความเสียหายที่หลิงตู้ฉิงได้ก่อเอาไว้นั้นมันก็รุนแรงอยู่พอสมควรแล้ว หากพวกเขายังยกพวกไปคิดบัญชีอีกมันก็ออกจะดูว่าพวกเขาโหดร้ายไปสักหน่อย
“ตู้ฉิง ชิงเฉิง ในเมื่อสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ให้คำอธิบายพร้อมกับขอโทษ และพวกเจ้ายังทำการสั่งสอนพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเราก็ลืมเรื่องที่ผ่านมาไปก็แล้วกัน” เย่ชางคงพูดขึ้นกับหลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิง
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ตั้งแต่ที่ข้าออกมาจากสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่ใส่ใจอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว แต่ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเบื้องหลังทั้งหมดมันเป็นเพราะเล้งหวง ซึ่งข้าอุตส่าห์ใจดียอมตกลงแลกเปลี่ยนเพื่อพาคนของเขาออกมา แต่ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาเป็นต้นเหตุ และมันเป็นที่ข้าเองด้วยที่ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจนถูกรังแกได้ง่าย ๆ งั้นมันก็คงช่วยไม่ได้ที่ข้าต้องหาคนรับใช้เพิ่มอีกสักคนที่แข็งแกร่งกว่าที่มีอยู่สักหน่อย ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นต้นสินะ ไม่เลวเลยทีเดียว แบบนี้ทุกอย่างก็ลงตัว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะยังไงเล้งเจี้ยนชิวก็ยังคงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขา มันคงจะไม่งามเท่าไหร่ที่หลิงตู้ฉิงจะจับมาเป็นคนรับใช้แบบนี้
เย่ชางคงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ตู้ฉิง เจ้าไตร่ตรองอีกทีได้ไหม? ถึงแม้ว่าเล้งเจี้ยนชิวและเล้งหวงจะทำความผิดร้ายแรงและควรจะถูกลงโทษ แต่ความผิดของเขามันก็ไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกเจ้าพาไปเป็นคนรับใช้ เจ้าทำแบบนี้มันทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจเช่นกันนะ!”
“ลำบากใจ?” หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “ข้าถือว่าข้าปราณีมากแล้วที่จับพวกเขามาเป็นคนรับใช้และไม่ฆ่าพวกเขาทั้งตระกูล หากใครมีปัญหากับข้าพวกเขาสามารถมาเจรจากับข้าได้หมดข้ายินดีรับฟัง แต่ถ้ากล้าโจมตีข้าก่อน ก็อย่าได้หาว่าข้าโหดร้ายในเวลาที่ข้าโต้กลับไป!”
เย่ชิงเฉิงพูดขึ้นเช่นกัน “ท่านพ่อ ในตอนที่พวกข้าอยู่ในสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเกือบจะตายอยู่หลายครั้งจากน้ำมือของฉีหานเฟิง! แถมผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดมันก็คือคู่พ่อลูกตระกูลเล้ง ซึ่งท่านเองก็น่าจะรู้ว่าที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะพวกเขามีแผนบางอย่างแอบแฝง ข้าไม่เข้าใจว่าท่านคิดจะเก็บคนที่มีความคิดเช่นนี้เอาไว้อีกทำไม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะพูดให้ยืดยาว เขาลุกขึ้นและพูดกับทุกคนในห้องโถง “ข้าจะไปที่เขตแดนหมอกเพื่อไปเอาตัวเล้งเจี้ยนชิวออกมาเป็นคนรับใช้ของข้า ส่วนเฉินจี้ซีนั้นหากไม่มีใครเต็มใจที่จะจ่ายราคาเพื่อให้ข้าช่วยเขาออกมา ข้าก็จะปล่อยเขาไว้แบบนั้น”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็พาเย่ชิงเฉิง และคนรับใช้ใหม่อีกสองคนให้เดินออกจากห้องโถงไปพร้อมกับเขาไปที่เขตแดนหมอก
หลังจากมองดูหลิงตู้ฉิงจากไป หานหลิงอู่ก็มองไปที่เย่ชางคง และพูดว่า “เจ้าสำนัก ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เป็นลูกเขยของท่าน ท่านควรจะไปเกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อย ขืนปล่อยให้เขาทำแบบนี้พวกเราจะสูญเสียผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิไปอีกคนหนึ่ง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชางคงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร มู่หลงหยานก็พูดสวนขึ้นมาก่อน “เป็นเรื่องจริงที่สำนักของเราต้องสูญเสียผู้เชี่ยวชาญไปถึง 6 คน แต่พวกท่านอย่าลืมว่าจำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่ถูกช่วยออกมาจากเขตแดนหมอกนั้นมีจำนวนมากถึงหลายสิบคน ดังนั้นการเสียไปแค่ 6 มันก็นับได้ว่าคุ้มค่าแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หลงหยาน หลาย ๆ คนที่กำลังรู้สึกไม่พอใจก็เงียบลง
พวกเขาต่างเข้าใจในคำพูดของนาง ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเอาตัวคนของพวกเขาไปบ้าง แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับจำนวนที่หลิงตู้ฉิงช่วยออกมา และถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายวัสดุเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ แต่พวกเขาก็ยังคงติดหนี้บุญคุณหลิงตู้ฉิงอยู่ดี เนื่องจากถ้าจะพูดกันตามตรงหากไม่มีหลิงตู้ฉิง พวกเขาก็ไม่มีทางใช้วัสดุเหล่านั้นซื้อชีวิตคนของพวกเขาได้
และที่สำคัญที่สุด หลิงตู้ฉิงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเขตแดนหมอกนั่น ต่อให้พวกเขาไม่พอใจมันก็ไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี
หยูหงเว่ยยิ้มและพูดขึ้น “ถ้างั้นพวกเราก็มาปรึกษากันเรื่องเฉินจี้ซีดีกว่า ว่าเราควรช่วยเขาดีหรือไม่ ในตอนแรกเล้งหวงเป็นคนไปเชิญเขามาแต่ตอนนี้ตระกูลเล้งก็คงจะล่มสลายลงซะแล้ว ดังนั้นถ้าหากพวกเราไม่ช่วยเขาออกมาเอง เมื่อไหร่ที่ตำหนักความลับสวรรค์รู้เรื่องเข้า พวกเราคงต้องมานั่งหาคำอธิบายจนวุ่นวายกันอีก”
จากนั้นทุกคนก็เริ่มที่จะคุยกันเรื่องว่าจะเอายังไงดีกับเฉินจี้ซี โดยแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเล้งเจี้ยนชิว ซึ่งสรุปสุดท้ายทุกคนก็ตกลงกันได้ว่าทั้งสามตระกูลใหญ่จะเป็นพวกเขาที่ช่วยกันออกค่าวัสดุเพื่อจ้างหลิงตู้ฉิง
“ท่านเจ้าสำนัก ในเมื่อตอนนี้พวกเราได้รู้แล้วว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่หลังสำนักมันชอบกินเนื้อย่าง ดังนั้นเพื่อเจรจาต่อรองกับมันให้มันจากไปพวกเราลองย่างเนื้อให้มันกินทุกวันจะดีไหมและลองคุยกับมันดู เผื่อว่ามันจะใจอ่อนยอมฟังความทุกข์ร้อนของพวกเราบ้างที่มหาวิถีเต๋าของเราถูกมันข่มอยู่แบบนี้ หรือไม่ถ้ามันชอบสำนักของเรามากนักพวกเราก็ลองคุยกับมันไปเลยว่าจะมาเป็นผู้นำสำนักของเราก็ได้!” หยูหงเว่ยพูดขี้นด้วยสีหน้าคาดหวัง
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกมีความคาดหวังเช่นกัน
หากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นยอมมาเป็นผู้นำสำนักของพวกเขาจริง ๆ ใครในโลกนี้มันจะสามารถต้านทานพวกเขาได้?
และที่สำคัญหากพวกเขาได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มาเป็นผู้นำ พวกเขาก็คงไม่ต้องห่วงว่าหลิงตู้ฉิงจะขูดเลือดขูดเนื้อพวกเขาได้ตามใจชอบอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?
เย่ชางคงตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ดี ดี ดี งั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใครก็ตามที่สามารถโน้มน้าวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นได้คนผู้นั้นจะได้รับรางวัลอย่างมหาศาล ส่วนตัวข้าเองข้ายินดีที่จะสละตำแหน่งเจ้าสำนักหากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นต้องการเป็นผู้นำของพวกเรา!”
เมื่อได้ยินเย่ชางคงพูดขึ้นแบบนี้ ทุกคนก็รีบแยกย้ายกันไปเตรียมการทันที แต่มันก็ยังมีบางคนที่แอบส่งข่าวเรื่องที่พวกเขาทั้งหมดคุยกันไปให้กับเล้งหวง
ในตอนแรก เล้งหวงคิดว่าหลิงตู้ฉิงคงไม่ได้ติดใจอะไรมากเรื่องที่เขาบังคับให้เย่ชิงเฉิงแต่งงานกับเขา เขาจึงวางแผนที่จะทนแบกความอับอายอยู่ต่อไปในสำนัก แต่โดยไม่คาดคิดที่จู่ ๆ ฉีหานหยูก็ปรากฏตัวขึ้นและแฉเรื่องราวทั้งหมด จนเรื่องการบงการของเขามันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ในตอนนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องหนีเพียงอย่างเดียว
แต่การหนีออกจากสำนักที่ใหญ่โตเช่นสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายดายนัก แน่นอนว่าเขาถูกพบตัวในระหว่างที่หนี แต่น่าเสียดายที่บรรดาผู้คนที่พบตัวเขากลับรู้สึกเวทนาและปล่อยตัวให้เขาหนีออกไปจากสำนักต่อ
ในบรรดาผู้คนที่ปล่อยตัวเล้งหวงไปมันไม่มีใครเลยสักคนที่จะคาดคิดว่าการกระทำของพวกเขาในวันนี้ มันเป็นการหว่านเมล็ดพันธ์หายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตเอาไว้!