ตอนที่ 1870 อำลา

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1870 อำลา

อสูรที่ชิวหรูครอบครองคืออสูรจะงอยปากอินทรี มันมีรูปร่างใหญ่โตมาก บรรทุกผู้โดยสารหลายคนไว้บนหลังได้โดยไม่แออัด

เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอยากบินไปยังจุดหมายด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้การเดินทางเร็วขึ้นมาก แต่เมื่อนึกได้ว่าท่านอาจารย์มีนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ชอบทำอะไรโดดเด่น ลงท้ายพวกเขาจึงล้มเลิกความคิดและนั่งเงียบอยู่บนหลังอสูร

เห็นทั้งกลุ่มกำลังควบคุมลมหายใจ ชิวหรูถามด้วยความสงสัย “พวกคุณเป็นนักรบเหมือนกันหรือ?”

เธอเคยคิดว่าคนกลุ่มนี้คือชาวบ้าน เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ปราศจากพลังปราณ ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณได้เช่นกัน?

“คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ

ชิวหรูถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ไม่เลวนี่! บอกพวกคุณให้รู้ไว้นะ ฉันเคยฝึกฝนวรยุทธมาก่อน ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในหมู่บ้าน ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบและได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า”

“ไม่เลว” เจิ้งหยางตอบรับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“คุณอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าคือผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมรดกของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนะ” ชิวหรูพูด

“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนส่งสายตาอยากรู้

“หัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าเดินทางมายังเมืองฟ่านเมื่อสมัยที่เขายังหนุ่ม และได้รับคำชี้แนะจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่นั่น แม้ตอนนี้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน น่าเสียดายที่พวกคุณไม่ได้พบเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจะชื่นชมยกย่องเขามากเหมือนกับที่ฉันยกย่อง” ชิวหรูอธิบาย

เมื่อครู่นี้ ทั้งสามได้พบแค่รักษาการณ์หัวหน้าหมู่บ้าน แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านนี้ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า เป็นเพราะเธอได้ฝึกฝนวรยุทธกับหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่า จึงประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น

“ไม่ทราบว่าเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนคืออะไร? คุณได้รับการสั่งสอนโดยปรมาจารย์หรือเปล่า?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้

แน่นอนว่ามรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนั้นย่อมเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา แม้ชิวหรูจะได้สัมผัสแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ แต่จางเซวียนก็พอดูออก

“ปรมาจารย์?” ชิวหรูขมวดคิ้ว

คำนั้นดูจะเป็นคำใหม่สำหรับเธอ

“มันคือวิชาชีพหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการถ่ายทอดความรู้และไขข้อสงสัยของคนอื่นๆ” จางเซวียนพูด

“ฉันไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน” ชิวหรูส่ายหน้า “เทคนิควรยุทธของตระกูลเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหลไปสู่คนนอกไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีใครถ่ายทอดมันให้กับคนนอก? นอกเหนือจากสำนักแห่งขงจื๊อ ก็ไม่น่าจะมีสถานที่ไหนที่จะมีใครถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้กับคนอื่นๆ พูดอีกอย่างก็คือ ฉันไม่เคยได้ยินคำว่าปรมาจารย์มาก่อน…”

หลังจากตั้งคำถามอีกสองสามคำถาม ในที่สุดจางเซวียนก็ถึงบางอ้อ

ไม่มีสภาปรมาจารย์ในร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!

ถ้าใครสักคนอยากฝึกฝนวรยุทธ ก็จะต้องรับการถ่ายทอดมรดกจากตระกูลของพวกเขา หรือหาโอกาสให้ได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ

สำนักแห่งขงจื๊อไม่ต่างอะไรกับสถาบันการศึกษาต่างๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เงื่อนไขในการจะได้เข้าไปนั้นเข้มงวดและยากเย็นมาก มีแต่อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นถึงจะได้การยอมรับให้เข้าไป แม้แต่โฉมงามของหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ไม่มีโอกาส

เหล่าสมาชิกของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้ คือเหยียนเฉว่ หนานกงหยวนเฟิง และคนอื่นๆก็ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากจากสำนักแห่งขงจื๊อทั้งสิ้น

“พวกคุณคิดจะหาโอกาสใหม่ๆในเมืองฟ่านหรือเปล่า? ให้ฉันบอกอะไรคุณสักหน่อยนะ มันไม่ง่ายแบบนั้นแน่ ฉันเคยไปที่นั่น 2-3 ครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบผู้เชี่ยวชาญสักคน” ชิวหรูพูดขณะมองจางเซวียนกับพรรคพวกด้วยแววตาที่แสดงความสมเพช

เทคนิควรยุทธเป็นสิ่งจำเป็นที่คนๆหนึ่งจะต้องใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ แต่พวกมันก็เป็นความลับสุดยอด เพียงแค่การที่ใครคนหนึ่งต้องการมัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหาพบได้โดยง่าย

เหตุผลเดียวที่เธอได้เป็นนักรบก็เพราะความปราดเปรื่องที่มีมาแต่กำเนิดและความบังเอิญอีกหลายอย่างที่เอื้อโอกาสให้

เมื่อเธอได้รู้ว่าทั้งสามคนตรงหน้ากำลังพยายามแสวงโชค ท่าทีของเธอที่มีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ด้วยเหตุนี้ การเดินทางที่เหลือจึงลงเอยด้วยความเงียบงัน

ราว 2 ชั่วโมงต่อมา เมืองขนาดมหึมาก็ปรากฏตรงหน้า

พวกเขามาถึงเมืองฟ่านแล้ว!

โฉมงามของหมู่บ้านได้พรรณนาไว้ว่ามันเป็นเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างน่าทึ่ง แต่เพราะได้เห็น ความอลังการของทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้ว จางเซวียน เจิ้งหยาง และเว่ยหรูเหยียนจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

ในแง่ขนาด เมืองฟ่านเทียบอะไรไม่ได้เลยกับเมืองพยัคฆ์มังกรของตระกูลจาง หรือแม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ อย่างมากที่สุดที่พอจะเทียบได้ก็คือกับเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนเท่านั้น

มีการตรวจสอบบริเวณทางเข้า แต่ทั้งกลุ่มก็ผ่านเข้าเมืองไปได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ พวกเขาเดินไปตามถนน ก่อนในที่สุดจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านพักขนาดใหญ่

ชิวหรูชี้ไปที่บ้านพักและพูดว่า “นี่คือที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ มีผู้คนมากมายมาเคาะประตูไม่เว้นแต่ละวันเพื่อหวังจะได้พบกับความโชคดี ดูนั่นสิ นั่นคือผู้คนที่ปรารถนาจะร่ำเรียนศิลปะของพวกเขา แต่ก็น่าสมเพชที่ความฝันของคนเหล่านั้นไม่มีวันเป็นจริงได้ ต่อให้พักค้างอ้างแรมอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้อะไรกลับไป!”

จางเซวียนมองดูอาณาเขตรอบนอกของที่พัก ผู้คนกลุ่มใหญ่กำลังคุกเข่าอยู่โดยรอบ

มีตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยรุ่น ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างกันไป บ่งบอกว่าพวกเขามาจากดินแดนอันไกลโพ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือแววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

บางคนคุกเข่าอยู่นานเสียจนทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด พวกเขาหมดความอดทนแล้ว แต่ก็ยังกัดฟัน และบีบบังคับตัวเองให้อดทนต่อไป

เห็นภาพนั้น จางเซวียนย่นหน้าผาก

มีผู้คนมากมายที่ปรารถนาความรู้และยอมทำทุกอย่างเพื่อมัน แต่ประตูบานใหญ่ของบ้านพักก็ยังคงปิดตายโดยไม่มีทีท่าจะเปิด ราวกับว่าคำสวดภาวนาของพวกเขาคงไม่มีวันได้รับการตอบสนอง

“คำสอนของปรมาจารย์ขงให้คุณค่ากับสิทธิในการได้รับการศึกษา ในเมื่อทั้งร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เป็นลูกศิษย์ของเขา แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่เต็มใจจะถ่ายทอดเทคนิควรยุทธของตัวเองให้คนอื่นๆ?” จางเซวียนไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น

เป็นเพราะความเมตตากรุณาของปรมาจารย์ขงที่ทำให้เขากลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก และในเมื่อเชื้อสายของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มีต้นกำเนิดโดยตรงมาจากปรมาจารย์ขง ทำไมพวกเขาถึงยังคงรักษามรดกตกทอดของตัวเองไว้อย่างเข้มงวด ไม่ยอมแบ่งปันให้ใคร?

แอ๊ดดดด!

ขณะที่จางเซวียนยังคงครุ่นคิด ประตูบานใหญ่ของบ้านพักก็เปิดออก ร่างผอมสูงหลายร่างเดินออกมา

มีวัยรุ่น 3 คนกับชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง วัยรุ่นกลุ่มนั้นดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ ส่วนชายวัยกลางคนมีคิ้วดกหนา

“นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่” เจิ้งหยางพึมพำ

ชายวัยกลางคนเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่เด็กวัยรุ่นทั้งสามเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แน่นอนว่าทั้งสี่คืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง

“การทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อเต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น จำคำสอนของผมให้ขึ้นใจ แล้วทำให้ดีที่สุด!” ชายวัยกลางคนกำชับเด็กวัยรุ่นทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า

“ขอรับ!” ทั้งสามพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“สำนักแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำที่คุ้นหู

“นั่นคือหัวหน้าตระกูลฟ่านคนปัจจุบันและบรรดาศิษย์น้องของเขา พวกเขากำลังจะไปที่สำนักแห่งขงจื๊อเพื่อเข้ารับการทดสอบหรือ? น่าทึ่งจริงๆ!”

“ผู้ที่ได้ผ่านประตูสำนักแห่งขงจื๊อเข้าไปคืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุด ถ้าผมได้รับคำชี้แนะสักคำจากคนระดับนั้น ความพยายามของผมก็ไม่สูญเปล่าแล้ว!”

“น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธของตัวเองให้กับคนนอก และด้วยสถานภาพของพวกเรา ไม่มีทางที่เราจะไปแตะต้องพวกเขาได้เลย!”

…..

ฝูงชนออกความเห็นกันเซ็งแซ่

ชื่อนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อเป็นเพียงชื่อที่ตั้งให้สมเกียรติ ส่วนชื่อจริงของเขาคือฟ่านฉู่ ตระกูลฟ่านที่ฝูงชนกำลังพูดถึงก็คือตระกูลของผู้สืบเชื้อสายของเขา

“ดี ผมขอให้พวกคุณทำให้ดีที่สุดนะ!” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับโบกมือ

ฟึ่บ!

วัยรุ่นทั้งสามโผขึ้นสู่กลางอากาศและบินหายลับไป เพียงครู่เดียว พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เห็นร่างของวัยรุ่นทั้งสามหายไปแล้ว เจิ้งหยางมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ “ท่านอาจารย์…”

“อือ ตามพวกเขาไป ผมคิดว่าสำนักแห่งขงจื๊อน่าจะมีกุญแจไขความลับทั้งหมดที่พวกเราสงสัยมานาน” จางเซวียนพูด

ก่อนหน้านี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มาจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ แทนที่จะมัวตั้งคำถามกับโฉมงามของหมู่บ้านที่ไม่ได้งดงามสักเท่าไหร่ การติดตามวัยรุ่นสามคนนั้นไปน่าจะดีกว่า

ได้ยินคำนั้น โฉมงามของหมู่บ้านคำราม “ตามพวกเขาไป? พวกคุณกินยาผิดหรือไง? พวกนั้นเป็นนักรบระดับเซียนนะ ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกเขาน่ะ ต่อให้อสูรวิเศษของฉันบินเต็มกำลังก็ยังตามไม่ทัน พวกคุณไม่มีทางได้เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา…”

เธอเองก็ปรารถนาจะได้เรียนรู้จากวัยรุ่นสามคนนั้น แต่คนกลุ่มนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับวัยรุ่นทั้งสามเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะขอคำชี้แนะจากพวกเขา ต่อให้วิ่งไปด้วยพละกำลังเต็มพิกัดก็ไม่มีทางตามวัยรุ่นทั้งสามทัน!

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความตื่นเต้นของจางเซวียยกับพรรคพวกที่ได้เห็นผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม แต่พวกเขาควรจะนึกถึงความเป็นจริงบ้าง ถ้ามัววาดวิมานกลางอากาศอยู่แบบนี้ ก็ไม่มีวันทำสิ่งใดสำเร็จ

“ขอบคุณมากที่พาพวกเรามา แต่เราจะไม่ขี่อสูรวิเศษของคุณกลับหรอกนะ ลาก่อน!” จางเซวียนประสานมือและขัดคำพูดของชิวหรู ก่อนจะยิ้มให้และหันหลังจากไป

ฟึ่บ!

เขาโผขึ้นสู่กลางอากาศ และราวกับทะลุมิติได้ จางเซวียนหายตัวไปทันที

“คุณ…”

นัยน์ตาของโฉมงามของหมู่บ้านแทบทะลุออกจากเบ้าเมื่อเห็นจางเซวียนหายไปในชั่วพริบตา เธอรีบหันไปมองเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียน เห็นทั้งสองยิ้มให้

ฟึ่บ!

พวกเขาหายวับไปเช่นกัน

พลั่ก!

ชิวหรูล้มลงก้นกระแทกพื้นขณะยังคงจังงังและพูดไม่ออกกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

เธอนึกว่าคนเหล่านี้อ่อนแอ แต่กลับตรงกันข้าม พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ…ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดที่เหนือชั้นกว่าที่เธอจะจินตนาการได้!