[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 54 ความดีความชอบและชื่อเสียง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เหล่าซุนเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง เขาไม่ชอบพิธีอะไรพวกนั้น เขารู้สึกว่ามันทำให้เขาเสียเวลา แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขากลัวไข้ทรพิษเข้ากระดูก มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สะอาดพอ มักจะคิดว่าแมลงตัวเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพวกนั้นยังคงเกาะอยู่บนตัวเขา 

 

 

ดูจากการที่เขาอาบน้ำวันละแปดครั้งก็รู้ น้ำร้อนจนน่ากลัว แค่มือของอวิ๋นเยี่ยจุ่มเข้าไปยังถูกน้ำร้อนลวกจนเป็นตีนหมู แต่เหล่าซุนกันชายร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้นกัดฟันสู้ ทุกครั้งที่เห็นภาพนี้ อวิ๋นเยี่ยก็จะรู้สึกเสียใจ เมื่อก่อนเหล่าเต้าไม่เคยดื่มเหล้า แต่สองสามวันมานี้กลับดื่มเหล้าแรงอย่างสุดชีวิต เหล้าที่แรงที่สุดของตระกูลอวิ๋น เขาจะต้องดื่มวันละหนึ่งไห ชายร่างใหญ่พวกนั้นก็เช่นกัน เขารู้ดีว่าเหล่าซุนไม่ได้กำลังดื่มเหล้า แต่เขากำลังใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคในท้อง บอกเขาว่าทำเช่นนี้มันไม่มีประโยชน์ แต่เหล่าเต้าก็ยังยิ้มหัวเราะและทำเหมือนเดิม 

 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าวัคซีนยังต้องการเขา เขาก็คงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว ดูจากสายตาที่เขามองดูกองไฟที่แผดเผา อวิ๋นเยี่ยก็ดูออกว่าเขาอยากจะกระโดดลงไปในกองไฟ ซวยแล้ว การใช้คนทดลองแค่ครั้งเดียวทำให้เหล่าซุนเป็นถึงขนาดนี้ 

 

 

ชายร่างใหญ่พวกนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสับสนงงงวย ดังนั้นความกลัวของพวกเขาจึงมีจำกัด แต่มันต่างจากเหล่าซุน เขารู้ตั้งแต่รากเหง้า เขารู้ว่าไข้ทรพิษอยู่ในรูปแบบไหนและผลที่ตามมานั้นเลวร้ายเพียงใด ดังนั้นความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่ทนอยู่ของเขาจึงมีมากกว่าชายร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้น 

 

 

เรื่องพวกนี้ต่อไปค่อยช่วยเหล่าซุนคลี่คลายก็ได้ แต่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือเรื่องจริง หลี่ซื่อหมิน จั่งซุน เหล่านายท่าน เหล่าขุนนาง แล้วยังมีซินเย่วกับท่านย่ากำลังรออยู่ที่ประตูวัง แต่ตัวเองกลับปล่อยให้ตัวเอกของเรื่องหายตัวไป คิดดูก็รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะโมโหขนาดไหน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการซื้อหัวใจคน 

 

 

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่หยวนฉี่ได้พูดคุยกับอวิ๋นเยี่ย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยมาปรากฏตัวต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเป็นคนโหดเ**้ยม ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนอันตราย อยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะถูกตัดหัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือไม่ก็ถึงขั้นฆ่าฟันทั้งโคตรเหง้า ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางที่เป็นกังวลของอวิ๋นเยี่ยเขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ 

 

 

รีบพากองทัพกลับไปยังฉางอันอย่างรวดเร็ว มาถึงเร็วเท่าไหร่ก็ปัดเป่าความซวยออกได้ไปเร็วเท่านั้น เขาตัดสินใจว่าหากไม่มีเรื่องอะไรเขาจะไม่มีทางกลับไปฉางอันง่ายๆ อยู่ที่นั่น แม้แต่ตัวเขาเองยังเทียบตั๊กแตนไม่ได้ 

 

 

ฟังเสียงต้อนรับที่ถล่มทลายอยู่นอกหน้าต่าง อวิ๋นเยี่ยเอาหัวกระแทกกับรถม้าอย่างแรง หากเป็นลมไปมันก็คงจะดี การไม่ได้เจอหน้าหลี่ซื่อหมินคือเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยตั้งหน้าตั้งตารอ 

 

 

ไม่ว่ารถม้าจะแล่นไปช้าแค่ไหน แต่มันก็ต้องไปให้ถึงอยู่ดี อวิ๋นเยี่ยกระโดดออกจากรถม้า เอาจดหมายของซุนซือเหมี่ยววางไว้บนรถม้า ตัวเองไปมุดหลบอยู่ด้านหลังรถม้า ไม่อยากให้หลี่ซื่อหมินมองเห็นตัวเอง 

 

 

เมื่อรถม้ามาถึง ขุนนางกรมพิธีกรรมก็ตะโกนและบรรเลงดนตรี ทันใดนั้นก็มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งเป่าแตรนำทาง หลี่เซี่ยวกงที่สวมชุดเกราะสีทอง คร่อมม้านำทาง ทหารสวมชุดเกราะสองคนถือแส้ยาวตามมาข้างหลัง สาวใช้ที่ถือกระถางธูปและสาวใช้ที่ถือพัดก็เดินเข้ามาล้อมรถม้าไว้อย่างรวดเร็ว 

 

 

ฝางเสวียนหลิงโผล่ขึ้นมาตรงด้านหลังของอวิ๋นเยี่ยแล้วหัวเราะ ตบที่ไหล่อวิ๋นเยี่ยอย่างแรง ทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจแทบตาย เขาทำหน้าร้องไห้และพูดกับฝางเสวียนหลิงว่า “ฝางเสวียน ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้านะ” 

 

 

“วันดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงได้พูดจาอัปมงคลเช่นนี้ เจ้าทำความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทต้องให้รางวัลแก่เจ้า เขาไม่มีทางลงโทษเจ้า” 

 

 

“ข้าปล่อยให้ซุนซือเหมี่ยวหนีไปแล้ว เขาพาคนลองยาไปเก็บยาที่ภูเขาฉินหลิ่ง ข้าตามหาเขาไม่เจอ หากฝ่าบาทอารมณ์เสียเจ้าต้องช่วยข้าด้วยนะ” 

 

 

สีหน้าของฝางเสวียนหลิงเปลี่ยนไปทันที และก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นี่คือพฤติกรรมที่คนมีศีลธรรมควรทำ เรียบร้อยแล้วก็สะบัดเสื้อหนี ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ความดีความชอบและชื่อเสียงของตัวเอง ไม่มีจิตใจที่ดีเช่นนี้ จะมีความดีความชอบเช่นนี้ได้เช่นไร ข้าอยากจะไปให้ถึงระดับนั้นของซุนซือเหมี่ยว แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน“ 

 

 

พูดคุยกันอยู่ก็มาถึงที่ประตูวัง หลี่เซี่ยวกงตะโกนเสียงดัง “เจินเหรินซุนเต้าจั่งมาถึงแล้ว!” เสียงตะโกนนั้นดังออกไปไกล ประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ มีดนตรีดังออกมา ฟังดูดีๆ ที่แท้ก็เป็นบทเพลง ‘อายุมั่นยืนยาว’ นี่คือบทเพลงต้อนรับเทพเจ้า เสียงกลอง ปี่ ขลุ่ย กลองเจี๋ยกู่ กลองต้าไท่ กลองต้าเจิงก็ค่อยๆ ดังขึ้นมา  

 

 

หลี่ซื่อหมินสวมชุดราชสำนักและสวมหมวกฮ่องเต้ หัวเราะและก้าวขาออกไปต้อนรับที่ประตู จั่งซุนถือถาดชีผาน ข้างบนมีจอกสีทองที่เต็มไปด้วยเหล้าสีเหลืองอำพัน แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา 

 

 

“เจินเหรินยอมเสี่ยงตายเพื่อข้า ช่างเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างหาเทียบมิได้ โปรดรับคำนับจากหลี่ซื่อหมินด้วยเถิด” เห็นหลี่ซื่อหมินและฮองเฮาโค้งคำนับให้กับรถม้า อวิ๋นเยี่ยพยายามกลอกตาให้เป็นลม แต่เขาก็ไม่เป็นลมสักที หากพวกเขารู้ว่าเหล่าซุนไม่ได้อยู่ที่นี่ ช่วงเวลาที่โชคร้ายของตัวเองก็จะมาถึง 

 

 

ฝางเสวียนหลิงรอให้หลี่ซื่อหมินและฮองเฮาโค้งคำนับเสร็จ ถึงได้บอกหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท เจินเหรินคิดว่าการช่วยฝ่าบาทแก้ไขปัญหาความยากลำบากให้กับโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เขาควรทำ เขาไม่กล้ารับรางวัลใหญ่ของฝ่าบาท เขาจึงฝากจดหมายมาให้ฝ่าบาท แต่ตัวเขาเองกลับไปหายาสมุนไพรที่ส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ช่างเป็นคนที่สูงส่งเสียจริง” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหมือนถูกผึ้งสี่ตัวต่อยเข้ามาที่ตัว ไม่จำเป็นต้องบอก พวกเขาทั้งสองคนกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาที่โกรธแค้น เขาตัวสั่นไปหมด หยิบจดหมายออกมาจากรถม้าและใช้มือสองข้างยื่นไปมอบให้กับหลี่ซื่อหมิน 

 

 

หลังจากที่หลี่ซื่อหมินอ่านจดหมายเสร็จ สีหน้าที่หงุดหงิดของเขาก็ค่อยๆ สงบลง เขาโค้งคำนับไปที่รถม้าที่ว่างเปล่าอีกครั้งแล้วพูดกับเหล่าขุนนางว่า “คนโบราณกล่าวว่า ห้าร้อยปีถึงจะมีนักบุญปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่ง ตอนนี้ต้าถังของเรามีผู้มีศีลธรรมสูงส่งปรากฎขึ้นตลอดไม่มีที่สิ้นสุด ช่างเป็นบุญบารมีของเราเหลือเกิน แล้วยังเป็นบุญบารมีของเหล่าราษฎร ทุกคนรู้เรื่องไข้ทรพิษ มันรุนแรงกว่าเสือร้าย อันตรายกว่างูพิษ คนที่โชคร้ายติดเชื้อจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบสองปี คนที่รอดชีวิตมาได้ส่วนใหญ่ก็พิการกันไปหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยแผล มองดูไม่เหมือนคน ไม่ต่างอะไรจากผีร้าย ทุกคนอาจจะเคยได้ยิน ลูกสาวของผู้ว่าการโซ่วโจว สุดท้ายแล้วเลือกที่จะฆ่าตัวตาย คนทั้งตระกูลไม่มีใครหนีพ้นได้ 

 

 

สิ่งที่ทำให้ทั้งตระกูลของพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็คือไข้ทรพิษ โรคนี้เป็นเหมือนนกร้ายที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าต้าถังของเรา หากไม่ระวัง มันก็จะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถชดเชยได้ให้กับต้าถังของเรา ความเกลียดชังนี้ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ 

 

 

วันนี้เจินเหรินได้พัฒนายาวิเศษขึ้นมา หลังจากได้รับยานี้ก็จะปลอดภัยไปทั้งชีวิต ไม่ต้องกลัวไข้ทรพิษอีกต่อไป ซุนเจินเหรินเสี่ยงอันตรายมาแล้วหลายครั้งเพื่อสิ่งนี้ ครั้งนี้เขาเป็นคนทดลองยาเอง ข้าอยากจะถามทุกคนว่านอกจากต้าถังของเราแล้ว ที่ใดยังจะมีคนที่มีเมตตาเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้เราและเหล่าขุนนางทั้งหลายได้แสดงความยินดีให้กับคนทั้งโลก แสดงความยินดีกับซุนเจินเหริน” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนับถือการพลิกแพลงสถานการณ์ของหลี่ซื่อหมินมาโดยตลอด เขาสามารถทำให้เรื่องที่น่าอับอายเปลี่ยนเป็นเรื่องที่น่ายกย่องได้ในชั่วพริบตา นี่น่าจะเป็นความสามารถโดยกำเนิดของฮ่องเต้ ไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้ 

 

 

ถือโอกาสตอนที่คนอื่นกำลังตื่นเต้น เขาแอบเดินมาอยู่ข้างๆ จั่งซุนแล้วกระซิบว่า “ฮองเฮา ข้าน้อยก็มีความดีความชอบเช่นกัน เหตุใดไม่พูดถึงข้าน้อยเลยเล่า” 

 

 

จั่งซุนมองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกและพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ตอนที่ซุนเต้าจั่งกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในถ้ำ เจ้าวาดภาพเต่าอยู่นอกถ้ำ ได้ยินมาว่าฝีมือการวาดภาพไม่ธรรมดา มองดูภาพที่เจ้าเอามาให้ฝ่าบาทก็รู้ว่าฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ ในเมื่อเจ้าชอบเต่านัก เจ้าก็หดคอลงไปในกระดองของเจ้าซะ ไม่ต้องมาอิจฉาริษยาเขา” 

 

 

ยังต้องพูดอะไรอีก พูดต่อไปตัวเองคงจะกลายเป็นเต่า ไม่มีความดีความชอบก็ไม่มีความดีความชอบ มันก็แค่นั้นข้าไม่ได้ต้องการอะไร เมื่อครู่แค่กลัวว่าเหล้าดีๆ จะสูญเปล่าถึงได้พูดออกไป ไม่เช่นนั้น ใครจะอยากอยู่กับพวกเจ้าสองคน เดี๋ยวข้าก็จะกลับบ้าน ข้ายังต้องกักบริเวณอีกสองสามวัน 

 

 

ไม่มีตัวเอก หลี่ซื่อหมินก็กลายเป็นตัวเอกตามธรรมชาติ หลังจากได้รับคำประจบสอพลอที่นับไม่ถ้วนแล้ว หลี่ซื่อหมินและและฮองเฮาของเขาก็กลับไปยังพระราชวังหลวงอย่างมีความสุข อวิ๋นเยี่ยกำลังจะหนีออกไป แต่กลับถูกต้วนหงจับเอาไว้และพาตัวไปที่วังหลัง 

 

 

คิดไม่ตกจริงๆ ลูกผู้ชายอย่างตัวเองมักจะถูกพามาสั่งสอนที่วังหลัง สั่งสอนที่ตำหนักไม่ได้หรือ วังหลังมักจะมีพวกผู้หญิงที่น่าเบื่อยืนอยู่หน้าประตูชี้มาที่ตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งยังพูดถึงลูกของพวกนางเอง ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและสั่งสอนลูกของพวกนาง 

 

 

หลี่เฉิงเฉียนมีข้อจำกัดในการเข้ามาที่วังหลัง หลี่ไท่และหลี่เค่อต้องนัดหมายล่วงหน้า หากหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนอยู่ที่วังหลัง พวกเขาก็ไม่มีทางเรียกให้ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก 

 

 

ครั้งก่อนที่ระเบิดพระราชวัง เห็นสาวงามเปลือยกายสองสามคน หลี่ไท่บอกให้อวิ๋นเยี่ยรีบลืมมันไป ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้คนอื่นและตัวเองเดือดร้อน เพราะเรื่องนี้ เขาทั้งสองคนทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง หลี่ไท่จะปกป้องชื่อเสียงนางสนมของพ่อตัวเอง แต่อวิ๋นเยี่ยกลับคิดว่านางสนมในวังหลังของฮ่องเต้ต้องยกระดับขึ้นกว่านี้ พวกนี้ล้วนแต่เป็นเด็กน้อย รูปร่างไม่ต่างอะไรจากแผ่นไม้กระดานสักผ้า ยืนอยู่ไกลๆ ยังดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ท่ามกลางการโต้แย้งที่รุนแรง หลี่ไท่ต่อยเข้าที่ตาอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ถูกอวิ๋นเยี่ยต่อยล้มลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหาจุดของความสามัคคีจนเจอ นั่นก็คืออวิ๋นเยี่ยไม่วิพากษ์วิจารณ์วังหลังอีกต่อไป หลี่ไท่ก็สาบานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป ทั้งสองคนต่างก็ชอบอกชอบใจ 

 

 

ต้วนหงรู้สึกดีกับอวิ๋นเยี่ยมากโดยตลอด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เกิดการระเบิดขึ้น เขาปฏิเสธที่จะคบค้าสมาคมกับอวิ๋นเยี่ยต่อไปอย่างชาญฉลาด ทักทายกันครั้งแรกก็ถูกแรงระเบิดส่งไปที่ต้นไม้ จนถึงวันนี้เป้าของเขายังเจ็บอยู่เลย เขาไม่อยากสูญเสียอะไรที่น่าสงสารกว่านี้ในการทักทายกันครั้งที่สอง 

 

 

จั่งซุนที่มักจะกลายเป็นฮองเฮาและเสด็จแม่ที่ดีตลอดเมื่ออยู่กับหลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินเขียนฎีกาอะไรอยู่ข้างหน้า นางก็ยืนบดหมึกอยู่ข้างๆ บดหมึกให้พอดีกับความสั้นยาวของฎีกาที่หลี่ซื่อหมินเขียน พอเขียนฎีกาเสร็จ หมึกก็หมดลงพอดิบพอดี สองสามีภรรยามาถึงขั้นที่รวมหัวสมรู้ร่วมคิดกันแล้ว 

 

 

หลี่ซื่อหมินไม่บอกให้ทำตัวตรง อวิ๋นเยี่ยก็ต้องโค้งคำนับต่อไป โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้เสียมารยาท เขาไม่ได้ก้มเกินไป ตอนนี้เลยทนโค้งตัวได้อยู่ 

 

 

เวลาธูปหนึ่งดอกผ่านไป หลี่ซื่อหมินถึงได้เงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปที่อวิ๋นเยี่ยและถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าแก้ไขปัญหาเรื่องไข้ทรพิษได้แล้ว” 

 

 

“ไม่ได้ขอรับ วัคซีนแค่ป้องกันได้ แต่รักษาไม่ได้ คนที่ติดโรคไข้ทรพิษตอนนี้ก็คงต้องยอมจำนนต่อโชคชะตาขอรับ” 

 

 

“หมายความว่าตอนนี้ต้องให้ทุกคนได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด?” 

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนเยอะถึงเพียงนั้นขอรับ ไม่มีหมอ ไม่มีวัว ไม่มีเงิน ไม่มีช่องทาง แต่กระหม่อมรับรองได้ว่ามีให้คนในพระราชวังและคนในตระกูลของกระหม่อม นี่คือประสิทธิภาพสูงสุดของห้องปฏิบัติการสำนักศึกษาแล้วขอรับ” 

 

 

“ไม่เลว ยังนึกถึงพระราชวัง ข้าคิดว่าเจ้าจะนึกถึงสำนักศึกษาก่อนเสียอีก ถือว่าเจ้ายังมีจิตใจที่ดี” จั่งซุนเงยหน้าขึ้น เก็บพู่กันและพูดออกมา 

 

 

“กราบทูลฮองเฮา ตอนนี้ที่สำนักศึกษาได้เริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว กระหม่อมหมายความว่ามีวัคซีนที่เหลือจากสำนักศึกษา จึงจะเอามาให้พระราชวังกับตระกูลกระหม่อมขอรับ”