ซูจิ่นซีส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงเดินขึ้นรถม้า
รถม้าวิ่งไปทางทิศตะวันตก มุ่งหน้าไปยังวังตงไห่ติงเทียน
หลังจากขึ้นมาบนรถม้า ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยามีท่าทีแปลกไปอย่างมาก กองเอกสารราชสำนักวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเขา ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รอให้เยี่ยโยวเหยาสะสาง ทว่าเขาไม่จัดการสิ่งใดเลยตลอดเส้นทาง ทำเพียงมองใบหน้าซูจิ่นซีด้วยท่าทางขึงขัง
เยี่ยโยวเหยามองหน้าซูจิ่นซีจนนางนั่งไม่ติดที่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงตัดสินใจยอมใจอ่อนให้เยี่ยโยวเหยา
นางพิงด้านข้างเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส
“แหะ แหะ ท่านอ๋อง ท่านอย่ามองจิ่นซีเช่นนี้ บนใบหน้าของจิ่นซีไม่มีดอกไม้นะเพคะ! ”
นางพูดพลางหยิบเอกสารราชสำนักบนโต๊ะยัดใส่มือเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง ท่านดูเอกสารเหล่านี้ กรมพิธีการส่งมานานแล้ว จิ้นหนานเฟิงเร่งรัดมา เขาบอกว่ากรมพิธีการตามจดหมายมาหลายครั้ง รอรับสั่งอนุญาตจากท่านอ๋องเพคะ! ”
ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาจ้องใบหน้าของซูจิ่นซีอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะวางเอกสารลงบนโต๊ะ
“ไม่รีบ! ”
ซูจิ่นซียิ้มแห้ง นางหยิบเอกสารอีกฉบับยัดใส่มือเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นท่านดูฉบับนี้ นี่เป็นจดหมายจากแม่ทัพหลี่กรมกลาโหม ดูเหมือนว่า… จะเป็นเรื่องเร่งด่วน! ”
เยี่ยโยวเหยา วางมันไว้ด้านข้างอีกครั้ง
“ไม่รีบ! ”
“แหะ แหะ! ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซียิ่งแข็งทื่อ นางพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเยี่ยโยวเหยาที่จ้องเขม็งมาทางนาง แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้น
วิธีทรมานเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกลำบากใจยิ่งกว่าการฆ่านางจริงๆ เสียอีก
ซูจิ่นซีเริ่มทนไม่ไหว นางกำลังจะอธิบายเรื่องจริงให้เยี่ยโยวเหยาฟัง ทว่าในที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว
เขาค่อยๆ ใช้นิ้วมือเชยคางซูจิ่นซีขึ้น บังคับให้ซูจิ่นซีมองดวงตาของเขา
“แหะ แหะ ท่านอ๋อง ท่านเป็นอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซียิ้มแห้งให้เยี่ยโยวเหยา
ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงอย่างน่ากลัว เขาขยับแก้มที่เย็นเฉียบเข้าใกล้ใบหน้าของซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้าพูดจาเย้าหยอกกับบุรุษอื่นต่อหน้าข้า”
“พูด… เย้าหยอกหรือ? ” ลิ้นของซูจิ่นซีพันกัน
มีเรื่องเช่นนี้ที่ใดกัน?
เนื่องจากกลัวเยี่ยโยวเหยาจะเข้าใจผิด นางจึงระมัดระวังอย่างมาก และหลีกเลี่ยงเรื่องที่ชวนให้เข้าใจผิด
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ซูจิ่นซีจะได้อธิบาย เยี่ยโหยวเหยาก็ประกบริมฝีปากเย็นชาลงมา และจุมพิตริมฝีปากสีอิงเถาของซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล
ซูจิ่นซีต้องการหลบเลี่ยง ทว่าเยี่ยโยวเหยาจับด้านหลังศีรษะของซูจิ่นซีไว้ ปิดกั้นทางหลบหนีของนาง ทั้งยังพูดเตือนด้วยใบหน้าจริงจัง
“เพราะฉะนั้น ซูจิ่นซี เพื่อปลอบประโลมหัวใจที่กำลังขุ่นเคืองของข้า เจ้าอย่าคิดต่อต้านหรือปฏิเสธ มิฉะนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจร้ายแรงมากกว่านี้”
หลังจากที่ซูจิ่นซีถูก ‘สั่งสอน’ และ ‘ตักเตือน’ เป็นเวลาหลายวัน นางก็เจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
ไม่มีความคิดที่จะขัดขืนหรือปฏิเสธ
เพราะฉะนั้น…
กลางวันแสกๆ ซูจิ่นซีจึงถูกเยี่ยโยวเหยาสำเร็จโทษด้วยไฟปรารถนาอีกครั้ง ทั้งยังกระทำบนรถม้าอีกด้วย
หลังเสร็จกิจส่วนตัว ซูจิ่นซีก็ห่อตัวด้วยเสื้อคลุมผืนใหญ่ และซ่อนตัวอยู่ตรงหัวมุม นางนับรอยจูบทั้งลึกและตื้นบนร่างกายของตน พลางแสดงสีหน้าราวกับคนที่ถูกรังแกมาอย่างหนักหน่วง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันคนหลอกลวง! ทำเช่นนี้เรียกว่าปลอบประโลมอารมณ์บูดบึ้งของท่านที่ใดกัน? เห็นได้ชัดว่าท่านหาข้ออ้างเพื่อปลดปล่อยไฟราคะและแรงปรารถนาภายในใจที่ไม่มีวันสิ้นสุดของท่านเสียมากกว่า”
โยวอ๋องจัดเสื้อผ้าของตนด้วยอารมณ์สดใส และติดกระดุมเสื้ออย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอนตัวพิงผนังรถม้าอย่างพอใจ
“ข้าขออภัย ระยะหลังข้าบำรุงมากเกินไปหน่อย ชายาที่รักโปรดเข้าใจและให้อภัยด้วย”
บำรุงมากเกินไปหน่อยหรือ?
เมื่อได้ยินเยี่ยโยวเหยากล่าวถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีพลันนึกถึงแม่นมฮวา
นางกัดฟันกรอด ‘หญิงชราโสโครกผู้นี้ให้ท่านทานอันใดกัน’
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้มด้วยความเบิกบานและยื่นมือไปทางซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี มานี่! ”
ซูจิ่นซีถูกรังแกจนอยากจะร้องไห้ นางกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น
“ไม่เอา ขอปฏิเสธ! ”
“มานี่! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดย้ำอีกครั้ง
ซูจิ่นซียังคงหดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งและปฏิเสธอย่างแข็งขัน
เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปคว้าแขนซูจิ่นซีและออกแรงฉุดเล็กน้อย ด้วยการหมุนที่สวยงาม ซูจิ่นซีที่หนีไม่พ้นจึงตกลงไปในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา จากนั้น เยี่ยโยวเหยาจึงกอดซูจิ่นซีไว้แน่น
เขากระซิบข้างใบหูของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา “ซูจิ่นซี… ”
ซูจิ่นซีกัดฟันและหันศีรษะไปทางอื่น ไม่ยอมตอบ
เยี่ยโยวเหยายังคงแย้มยิ้มมุมปากและพูดต่อ “ซูจิ่นซี ข้าอยากจะบอกว่า ท่าทีโกรธเคืองของเจ้ามีเสน่ห์ยั่วยวนอย่างมาก”
ซูจิ่นซีเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางกัดฟันกรอด “บ้าที่สุด ยังยั่วยวนอยู่อีกหรือ จะรอดหรือไม่คราวนี้! ”
……
สามวันต่อมา ทั้งสองเดินทางมาถึงชายฝั่งวังตงไห่ติงเทียน และเข้าไปด้านในตำหนักเสวียนปิงอย่างราบรื่น
หลังจากเยี่ยโยวเหยาได้รับการถอนพิษหมุดกร่อนรักแล้ว เขาก็ยึดอำนาจตำหนักเสวียนปิงมาจากมือของฮูหยินปิงจี ตอนนี้ตำหนักเสวียนปิงอยู่ในความดูแลของเยี่ยโยวเหยา
หากต้องการน้ำอมฤต ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
ซูจิ่นซีได้น้ำอมฤตมาอย่างง่ายดาย
ก่อนจากไป ซูจิ่นซีสนใจสัตว์เทพซื่อฉิงที่อยู่ในสระอู๋ฉิง
สัตว์เทพซื่อฉิงเป็นสัตว์เทพโบราณในตำนาน แม้ไม่ได้ทรงพลังเท่าสัตว์เทพกิเลน ทว่ามันอาจมีประโยชน์ในช่วงเวลาวิกฤตก็เป็นได้ นางจึงเรียกมันเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
ก่อนที่ทั้งสองจะรีบออกจากตำหนักเสวียนปิงในทันที
ตอนที่นางมาถึงวังตงไห่ติงเทียน ซูจิ่นซีได้รับจดหมายจากนกอินทรีส่งสารที่ส่งมาจากมู่หรงฉี
เมื่อเปิดจดหมายอ่าน สีหน้าของก็ซูจิ่นซีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมอง ใบหน้าของเขาปรากฏความเคร่งขรึมไปชั่วขณะ ทว่าไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหารือกับเยี่ยโยวเหยา “มู่หรงฉีกล่าวว่า มู่หรงอวิ๋นไห่ป่วยด้วยโรคประหลาดที่อันตรายถึงชีวิต แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียด พวกเราไปเมืองเย่หลินกันก่อนดีหรือไม่? ”
“คำพูดของมู่หรงฉีในจดหมายนี้น่าเชื่อถือเพียงใด นอกจากนั้น ยังไม่แน่ใจว่าจดหมายฉบับนี้ส่งมาจากมู่หรงฉีจริง หากเป็นกับดักของผู้อื่นจะทำอย่างไร”
“กระดาษที่ใช้เขียนจดหมายนี้ มีเพียงมู่หรงฉีเท่านั้นที่ใช้ แม้พื้นผิวของกระดาษจะเหมือนกระดาษทั่วไป แต่เนื้อกระดาษมีความแตกต่างอย่างชัดเจน”
ซูจิ่นซีหยิบขวดยาจากระบบถอนพิษออกมาเพื่อพิสูจน์ให้เยี่ยโยวเหยาเห็น
“กระดาษจดหมายของมู่หรงฉีอาบด้วยน้ำยาชนิดพิเศษเพื่อปกปิดลวดลายทั้งสี่มุมของกระดาษ หากข้าใช้น้ำยาพิเศษทาลงไป ลวดลายบนกระดาษจะปรากฏขึ้นมาทันที”
ซูจิ่นซีพูดพลางทาน้ำยาลงบนกระดาษ แน่นอนว่ามีลวดลายปรากฏขึ้นทั้งสี่มุมของกระดาษ
“นอกจากนั้น ตอนที่กลับไปแคว้นหนานหลีครั้งล่าสุด ข้าพบว่ามู่หรงอวิ๋นไห่มีท่าทีแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เขาอารมณ์หงุดหงิดง่าย แตกต่างไปจากบุรุษเจ้าเล่ห์เมื่อก่อนมาก ข้าสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ”
อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้ มู่หรงอวิ๋นไห่จอมเจ้าเล่ห์ก็พยายามให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวหยาหย่าขาดกัน และส่งตัวนางไปอภิเษกกับแคว้นเป่ยอี้
ในทางกลับกัน หากเป็นเมื่อก่อน มู่หรงอวิ๋นไห่คงหลอกใช้ซูจิ่นซีเพื่อฆ่าเยี่ยโยวเหยา และจัดการกับแคว้นเป่ยอี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มู่หรงอวิ๋นไห่ก็คือบิดาของซูจิ่นซี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าซูจิ่นซีจะตัดสินใจอย่างไร เยี่ยโยวเหยาก็ไม่คัดค้าน เขาจึงเห็นด้วยกับซูจิ่นซี
หลังจากที่ทั้งสองคนออกจากวังตงไห่ติงเทียน พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองเย่หลินแคว้นหนานหลี
มู่หรงฉีได้รับข่าวจากทั้งสองคนล่วงหน้า เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมืองเย่หลิน มู่หรงฉีจึงมาต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง
“สถานการณ์เป็นอย่างไร” ซูจิ่นซีถามด้วยใบหน้าจริงจัง
มู่หรงฉีมีท่าทางเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เข้าไปในวังหลวงกับข้าก่อน เจ้าก็จะรู้เอง”