มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 691
ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้ม นักยุทธ์ส่วนมากมักเข้าใจว่าควบคุมพลังแห่งกฎได้แล้ว ก็หมายความว่าสามารถควบคุมแดนแห่งกฎขั้นแรกได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอยู่ไกล

อีกทั้งในทุกๆ แดนของพลังแห่งกฎ ก็มีความแตกต่างที่ห่างกันค่อนข้างมาก นี่เองคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อฝึกตนไปถึงช่วงปลายแล้ว การข้ามแดนจึงยากจนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เพราะโดยทั่วไปแล้วคนที่สามารถฝึกตนจนตระหนักรู้แดนแห่งกฎได้ล้วนเป็นตระกูลอัจฉริยะ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกัน ความเป็นไปได้ที่จะข้ามขั้นก็จะยิ่งลดน้อยลงไปด้วย

“การฝึกตนของข้าอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่แล้ว หากข้าไปที่ตำหนักเต๋าแล้วเลือกเอาสมบัติที่มีร่องรอยแห่งกฎชีวิต และสามารถตระหนักรู้กฎการเวียนว่ายตายเกิดจนสามารถควบคุมแดนขั้นแรกได้นั้น ไม่รู้ว่าพลังของข้าจะสามารถข้ามไปถึงหอคอยมหาภพ ชั้นสามได้หรือไม่”

แววตาของหลัวซิวส่องประกาย เขารู้ดีว่าการที่ เทวทูตจื่อเยียน เสนอข้อเสนอนี้ออกมาแสดงว่าจะต้องไม่สามารถทำสำเร็จได้ง่ายอย่างแน่นอน อีกอย่างเขาเคยได้ยินมาว่าหอคอยมหาภพเป็นหอคอยการฝึกฝนที่ยากที่สุดในบรรดาหอคอยทั้งสี่

อีกเรื่องหนึ่งคือกฎแห่งความเป็นตายไม่สามารถแสดงออกมาพร้อมกันได้ ในเมื่อเขาแสดงพลังแห่งความตายของตัวเองออกมาแล้ว นั่นหมายความว่าเขาจะต้องซ่อนพลังแห่งชีวิตเอาไว้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เทพแห่งวัฏจักรเคยเตือนเขาเอาไว้ ในตอนที่พลังของเขายังไม่ได้รับการยอมรับ ไม่สามารถแสดงกฎแห่งความเป็นตายออกมาพร้อมกันได้

เพราะตามที่เทพแห่งวัฏจักรเคยได้บอกเอาไว้ หากเรื่องที่ผู้ฝึกกฎแห่งความเป็นตายพร้อมกันรั่วไหลไปถึงหูของผู้แข็งแกร่งบางพวก พวกเขาจะต้องนึกโยงไปถึงลูกแก้วความเป็นตาย เพราะมีเพียงแค่ผู้ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าของจากลูกแก้วความเป็นตายเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกกฎแห่งความเป็นตายพร้อมกันและไม่ได้รับการโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกฎทั้งสอง

แล้วพลังแบบไหนถึงจะได้รับการยอมรับจากเทพแห่งวัฏจักร เรื่องนี้หลัวซิวเองก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะว่าโดยปกติแล้วเทพแห่งวัฏจักรไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเท่าไหร่นัก

หลัวซิวหยุดความคิดของตัวเองแล้วเดินออกมา โดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองศิลาสลักชื่อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

เพราะสำหรับเขา การจัดลำดับชื่อไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อได้รู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ต้องทำตามความต้องการของเทวทูตจื่อเยียน ให้ได้เท่านั้น

……

หอคอยฝึกฝนทั้งสี่ เป้าหมายของหลัวซิวตอนนี้มีเพียงแค่ผ่านหอคอยเทพจิตชั้นสอง หอคอยร่างทองชั้นสาม ตามกฎของหอคอยฝึกฝนนั้น เขาจะได้รับเวลาฝึกฝนตำหนักเต๋าทั้งหมด 55 วัน

ระยะเวลาเท่านี้สำหรับอัจฉริยะทั้งยี่สิบคนนั้้นไม่ถือว่าเยอะ เพราะพวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนจากหอคอยฝึกฝนทั้งสี่แห่งมาแล้วหนึ่งรอบ ทุกคนต่างได้รับเวลาฝึกฝนตำหนักเต๋าอยู่ที่สองเดือนขึ้นไป

แม้ว่าระยะเวลาสองเดือนสำหรับนักยุทธ์ธรรมดานั้นจะไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ แต่สำหรับอัจฉริยะขั้นสูงที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น กลับเพียงพอที่จะทำความเข้าใจจากร่องรอยแก่งกฎจนได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลได้

“ไปที่หอคอยเสวียนเทียนก่อนเถิด”

หลัวซิวกังวลว่าเวลาของตัวเองจะไม่พอ จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปยังตำหนักเต๋า แล้วไปที่หอคอยเสวียนเทียนแทน

หอคอยเสวียนเทียนต่างจากหอคอยฝึกฝนที่เหลืออีกสามแห่ง ที่หอคอยฝึกฝนแห่งนี้ กายหยาบของนักยุทธ์จะไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ต้องดึงตัวสำนึกบางส่วนออกมาเพื่อใช้เข้าไปในหอคอย หลังจากนั้นตัวสำนึกส่วนหนึ่งจะได้รับแรงเสริมจากค่ายกลในหอคอยเสวียนเทียนจนสามารถฝึกพลังจิตแท้ได้เช่นเดียวกับกายหยาบ

การฝึกตนของหลัวซิวอยู่ที่แดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ดังนั้นเมื่อตัวสำนึกของเขาเข้าไปในหอคอยฝึกฝนแล้ว สิ่งที่จะได้รับคือการฝึกพลังจิตแท้ของมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ส่วนแดนร่างเนื้อกับแดนตัวสำนึกก็จะถูกพรากไป

เนื้อหาในการฝึกฝนที่หอคอยเสวียนเทียน คือการทดสอบพลังในการต้านทานการโจมตีของนักยุทธ์ ซึ่งก็คือระดับความแข็งแกร่งของพลังจิตแท้ เพราะสำหรับนักยุทธ์คนหนึ่งนั้น หากพลังจิตแท้ไม่หนักแน่นพอ ต่อให้พลังจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็จะพบกับความยากลำบากในการต่อสู้เอาได้ง่ายๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายได้ง่ายๆ