“เอิ่ม…เจ้าหนูข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ข้าไม่กล้าพอจะทำอะไรเทพหรอกนะ! ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าทำอะไรอยู่ ข้าต้องโดนหนักแน่!”
หวังยุ่นเสวียนไม่ค่อยสบายใจ
ซือหยูยิ้มอย่างเยือกเย็น
“แผนข้าไม่ได้ทำกับเทพตำรา!ข้าจัดการพวกมันต่างหาก! หวังว่าฉินเฟยเฉินจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
‘พวกมันรึ?เท่าที่ข้าจำได้ ในโลกนี้มีเทพตำราแค่คนเดียวนะ! แล้วก็ มันเกี่ยวอะไรกับฉินเฟยเฉินกัน?’
เจิ้งหยวนชิงคิด
นางสับสนและต้องยอมรับว่านางมิอาจรู้ก้าวถัดไปของซือหยูได้เลยตั้งแต่ที่ได้เจอเขา
แม้แต่หยางไท่เองก็ยิ้มแห้งๆ เพราะเขาไม่รู้เช่นกันว่าซือหยูจะทำอะไร
“หึหึ!การแสดงดี ๆ กำลังรอพวกเราอยู่ที่งานชุมนุมเทพ!”
ซือหยูยิ้มอย่างมีเลศนัย
เจิ้งหยวนชิงกระทืบเท้าอย่างโมโห
“ทำไมเจ้าถึงเอาแต่ก่อเรื่องกัน?งานของเรายังไม่ทันเสร็จเลย!”
อะไรนะ?หยางไท่กับหวังยุ่นเสวียนตาลุกวาวเมื่อได้ยิน ทั้งสองมองซือหยูกับเจิ้งหยวนชิงหน้าฉงน
เจิ้งหยวนจิงที่รู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปรีบพูด
“อย่าเข้าใจผิดนะ!ข้าแค่ต้องทำอะไรบางอย่างกับเขา!”
จากนั้นเจิ้งหยวนชิงก็ลากซือหยูออกไป
“ข้าค้นวิญญาณเทพอสูรกระดูกโรยมาแล้วน่าแปลกที่ความทรงจำของเขาถูกคนลบออกไป ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งเขาให้โจมตีจิวโจว!”
“ฝืนลบความทรงจำรึ?” ซือหยูหรี่ตา
“เจ้านั่นจะต้องใช้วิชาวิญญาณได้ดี!”
แม้ว่าขอบเขตวิญญาณมายาของซือหยูจะมาถึงขั้นสูงแต่เขาก็มิอาจล้างความทรงจำของใครได้
“มันไม่ใช่แค่ใช้วิชาวิญญาณได้ดี!มีแค่คนที่มีวิญญาณระดับเทพเท่านั้นที่จะล้างความทรงจำได้ หรือก็คือ คนที่ทำจะต้องเป็นเทพที่ใช้วิชาวิญญาณได้!”
เจิ้งหยวนชิงกล่าว
“ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยว่ามันเป็นฝีมือของเทพเซียนคันฉ่องแต่นางไม่ใช่เทพที่ใช้วิชาวิญญาณ! แล้วก็ไม่มีเทพในพันธมิตรคนไหนที่ใช้วิชาวิญญาณได้ดี!”
ซือหยูหรี่ตานี่จะต้องเป็นฝีมือของเทพ! แต่เป็นฝีมือใครกัน? มีเทพที่ซ่อนตัวอยู่ในพันธมิตรอีกหรือ?
“ท่านแม่บอกข้าว่าคดีฉินคั่วที่พยายามช่วยชีวิตอสูรนั้นร้ายแรงมาก!เทพจะไม่มีทางลบความทรงจำอสูรธรรมดา ๆ! เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับอสูรนั่นบ้าง?”
เจิ้งหยวนชิงหรี่ตาถาม
หลังจากคิดไม่นานซือหยูตอบ
“โอ้ข้าจำได้ ตอนที่มันถูกไล่ตาม! มันขู่ว่าพ่อแม่ของมันจะมาล้างแค้นถ้าข้าฆ่ามัน แล้วตัวมันก็เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรด้วย!”
เจิ้งหยวนชิงตกใจ
“ไม่แปลกเลยที่ฉินคั่วพยายามช่วย!จะต้องมีเทพมนุษย์ที่เป็นพ่อหรือไม่ก็แม่ของเขา!”
เป้าหมายในการค้นหาถูกจำกัดมากขึ้นเทพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องเป็นมนุษย์!
“ทำไมเจ้าไม่บอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับข้าตั้งแต่แรก?”
เจิ้งหยวนชิงพูดด้วยความโมโห
ซือหยูตอบด้วยความอับอาย
“ก็ข้าไม่เคยคิดมาก่อนน่ะสิ!” แต่อันที่จริงการบอกข้อมูลทีละน้อยนั้นจะทำให้นางเข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น มันดียิ่งกว่าบอกข้อมูลทั้งหมดในคราเดียว
“ข้าไม่มีอะไรแล้วข้าจะประกาศเรื่องนี้และสิ่งที่เจ้าทำวันนี้กับท่านแม่!”
เจิ้งหยวนชิงกระทืบเท้าจากไปด้วยความกังวล
หวังยุ่นเสวียนกับหยางไท่สบตากันและยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสองกล่าวลาซือหยู
“นี่!เจ้าหนู ข้ารู้ว่าเจ้าจะทำเรื่องน่าตื่นเต้นกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าต้องกลับแล้ว น่าเสียดายนัก!”
หวังยุ่นเสวียนกล่าว
หยางไท่พูดขึ้นบ้าง
“พวกเราเป็นทายาทเทพจำเป็นต้องเข้าร่วมงานชุมนุมเทพพร้อมกับเทพ เราต้องบอกลาเจ้าก่อน!”
“เจอกันพรุ่งนี้!” ซือหยูบอกลาทั้งคู่จากนั้นหวังยุ่นเสวียนกับหยางไท่ก็กลับไป
ซือหยูลูบคางพลางมองขุนพลเทพยักษ์
“สายลับทมิฬจงออกมา!”
ฟึ่บ!
ภูติผีตนหนึ่งปรากฏต่อหน้าซือหยู
“ขอรับนายท่าน!”
ฟึ่บ!
ซือหยูโยนรายการวัตถุดิบล้ำค่าให้กับภูติผี
“ให้สายลับเจ้าสอดส่องดูวัตถุดิบโลหะ และแร่พวกนี้ ถ้าหากหาเจอ จงซื้อมันด้วยเงินที่เราแอบเอาไว้ ส่วนพวกวัตถุดิบธรรมชาติ เจ้าต้องซื้อที่เติบโตแล้วมาทั้งหมด หากไม่มีที่เติบโต ก็จงเอารากหรือเมล็ดมา!”
“ขอรับ!”
ภูติผีตอบและจากไปพร้อมกับรายการ
เทพไม้กลอกตาสีมรกต “เจ้ากำลังบ่มเพาะกองกำลังทมิฬทั้งหมดเป็นภูติผีใช่ไหม? จริงด้วย! พวกมันเป็นสายลับได้ดีที่สุด!”
“แล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
ซือหยูหันไปพูด
เทพไม้ตาลุกวาว
“ขอข้า…ร่วมด้วยได้ไหม?”
นางพูด
“เจ้าจะให้หนูอยู่ในถังข้าวสารเจ้าหรือไม่?”
ซือหยูตอบกลับ
เทพไม้ทำแก้มป่อง
“เจ้ามาเปรียบเทพีน่ารักๆ เป็นหนูได้ยังไง?”
“ขออภัย!ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรเปรียบเจ้ากับหนู! ข้าควรขออภัยหนูทุกตัวที่ข้าเหยียดหยามพวกมัน!”
เทพไม้เงียบกริบ เทพไม้จ้องซือหยูอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยดวงตาสีมรกตนางนั้นความชั่วร้ายก็แสดงผ่านแววตา
“ข้าเกือบลืมว่าเจ้าเป็นคนร่ำรวยที่สุด!ข้าจะเป็นลูกน้องเจ้าทำไมกัน?”
เทพไม้ทำหน้าชั่วร้าย
“หากเจ้าไม่แต่งงานและหย่ากับข้าเพราะเจ้าไม่อยากจะแบ่งเงินกับข้าข้าก็ต้องแสดงคมเขี้ยวออกมาบ้างแล้ว! ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าข้าจะปล้นเจ…”
“โอ้?เจ้าไม่อยากไปงานชุมนุมเทพพรุ่งนี้สินะ? เจ้าจะได้แหล่งพลังเทพที่สะสมมาเกินกว่าล้านปี พวกมันมากพอที่จะพื้นพลังเจ้าให้สมบูรณ์ ถ้าเจ้าคิดจะแยกทางกับข้าตอนนี้ ข้าก็จะให้เงินเจ้าสักหน่อย แล้วเจ้าก็ไปให้พ้นเสีย!”
“นี่เจ้า!พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าพูดตอนไหนว่าจะแยกทางกับเจ้า?”
เทพไม้พูดพลางกระพริบตาไร้เดียงสาสีหน้าชั่วร้ายของนางหายไปแล้ว
“ใครพูดว่าจะแสดงคมเขี้ยวออกมากัน?”
“ก็คงจะเป็นหนูนั่นแหละ!”
“แล้ว..ใครกันที่พูดว่าจะปล้นข้า?”
“เอ๋?ข้าว่าคงเป็นคนตาบอดบัดซบที่ควรจะถูกฟ้าผ่านั่นล่ะ!”
ครืน!
ครืน!
เสียงสายฟ้าคำรามบนท้องนภากระจ่างใส
เทพไม้ยังคงยืนมองเขาอย่างสง่างามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“คนหน้าด้านอย่างเจ้ามีชีวิตรอดบนโลกได้ยังไงกัน?”
ซือหยูถอนหายใจจากนั้นเขาก็บินไปทางโลกเทพกระเรียนตามลำพัง
เทพไม้บินตามเขาและถาม
“เล่าเรื่องงานชุมนุมเทพที่เจ้าพูดถึงให้ข้าฟังหน่อยสิ!”
“แมว”
“เมี้ยว!เมี้ยว! เมี้ยว!”
เทพไม้ร้องเสียงแมวอย่างไม่ลังเลราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทั่วไป
“สุนัข!”
โฮ่ง!โฮ่ง! โฮ่ง!
“เจ้ามันเป็นเทพที่แปลกจริงๆ!”
ซือหยูถอนหายใจอีกครั้ง
งานชุมนุมเทพหรืองานเซ่นสังเวยเทพนั้นจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองแก่เทพผู้ล่วงลับและจะจัดขึ้นในทุกสิบปี
คนนับไม่ถ้วนได้ก่อตั้งพันธมิตรบูรพาขึ้นมาจากความว่างเปล่าด้วยความยากลำบาก
เทพนับไม่ถ้วนตายในระหว่างการต่อสู้กับสัตว์อสูร!
เทพนับไม่ถ้วนตายในระหว่างการรุกรานจากเผ่าอสูร! เทพนับไม่ถ้วนตายในระหว่างสงครามระหว่างตระกูลและสำนักบนโลก!
ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของพันธมิตรนั้นมีรากฐานจากความเสียสละของเทพเหล่านั้น
เทพผู้ล่วงลับทั้งมวลถูกฝังบนโลกที่ตั้งอยู่ณ ใจกลางพันธมิตร
โลกใบนั้นนับเป็นหลุมฝังร่างของเทพทุกคน
เพื่อที่จะแสดงความเคารพต่อเทพเหล่านั้นเทพแห่งพันธมิตรจะจัดงานเฉลิมฉลองในทุกสิบปี
แม้เทพเหล่านั้นจะหมดลมหายใจไปแล้วแหล่งพลังเทพของพวกเขาก็ยังคงอยู่ ทุกความเลื่อมใสจะทำให้แหล่งพลังเทพส่งพลังลงมายังโลกและทำให้พันธมิตรบูรพายิ่งใหญ่กว่าที่เคย
เทพบางคนได้เสียแหล่งพลังเทพไปแต่พวกเขาก็พยายามที่จะทำประโยชน์แก่พันธมิตร
งานเฉลิมฉลองนั้นค่อนข้างยิ่งใหญ่เทพทุกคนที่อยู่ในพันธมิตรสมควรที่จะเข้าร่วม ห้ามหนีหาย
เช้าวันต่อมาเทพจิงได้มาบอกให้ซือหยูไปร่วมพิธีกับเขา
จากนั้นซือหยูกับเทพจิงก็ได้ออกจากโลกเทพกระเรียนไปยังสุสานของเหล่าเทพผู้ล่วงลับ
ในโลกใบนี้จะมีเทพร้อยคนวางเสาศิลาเอาไว้ที่ศูนย์กลางซึ่งสื่อถึงตัวแทนโลกทั้งร้อยใบในพันธมิตร
ซือหยูบินลงไปยังเสาศิลาของตระกูลเทพกระเรียนจากนั้นเขาก็เริ่มมองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขาพบเทพมากกว่าสี่สิบคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือนั้นยังไม่มา
ซึ่งในขณะนี้นั้นเทพเกินครึ่งของพันธมิตรไม่ได้อยู่ในพันธมิตร หากเผ่าอสูรเข้าบุกมาด้วยพลังทั้งหมด พันธมิตรจะตกอยู่ในอันตายครั้งใหญ่! ซือหยูมองรอบ ๆ เมื่อคิดเช่นนี้กับตัวเอง
เสาศิลาถูกวางตามลำดับของเทพทั้งร้อยคนเสาศิลาของซือหยูกับเทพจิงนั้นใกล้กัน
ในบรรดาเทพเก้าคนที่ยืนอยู่เสาศิลาแถวแรกซือหยูรู้จักแต่เพียงเทพกระบี่ ส่วนเทพอีกแปดคนนั้นไม่คุ้นหน้า
จากนั้นซือหยูก็เห็นเจิ้งหยวนชิงยืนอยู่ข้างสตรีที่มีแสงเทพสีเทารอบกายเขารู้ว่านางจะต้องเป็นเทพเจิ้งที่อยู่ในอันดับสาม
หยางไท่ยืนอยู่ด้านหลังเทพที่รอบกายปกคลุมไปด้วยเหรียญเทพซือหยูรู้ว่าเขาจะต้องเป็นเทพการค้าที่ครอบครองความร่ำรวยหนึ่งในห้าของพันธมิตร
หวังยุ่นเสวียนยืนอยู่ด้านหลังเทพลงพุงที่อยู่ในอันดับยี่สิบเทพคนนี้จะต้องเป็นเทพอุปกรณ์
พร้อมกันนั้นซือหยูยังพบคนที่คุ้นหน้าบนเสาศิลาหนึ่ง ฉินเฟยเฉิน!
หากเทพคนใดไม่อยู่ในพันธมิตรทายาทของเทพผู้นั้นจะต้องมาเข้าร่วมงานแทน
“อันดับเทพตำราไม่ได้ต่ำเลย!”
ซือหยูคิดกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ามีเทพในยี่สิบอันดับแรกมองมาที่เขาเขาเห็นหญิงชราที่ยืนข้างเทพเซียนคันฉ่อง นางอายุราวแปดสิบปี นางเหลือบมองซือหยูและละสายตาในทันที
ผู้คุมกฎคันฉ่องรึ?ซือหยูคิดในใจ
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นแสงเทพได้ปรากฏบนท้องนภา เทพอีกคนที่ปกคลุมไปด้วยแสงอันอ่อนโยนได้บินลงมา แสงเทพอันอ่อนโยนของนางทำให้ผู้คนในบริเวณรู้สึกเบาสบาย
จากระยะที่ซือหยูเห็นนางที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงขาวดูสง่างามน่าเลื่อมใส
นางร่อนลงที่เสาศิลาเสาแรกจากนั้นนางจึงหันหลังมองพ้อมกับพยักหน้าให้เหล่าเทพและทายาท
ท่าทางของนางดูอ่อนโยนสง่างาม และเคร่งขรึม!
ด้วยลักษณะเช่นนี้ผู้คนบอกได้ไม่ยากว่านางเป็นเทพที่มีเมตตาเพียงใด
ฑากิณีรึ?ซือหยูตกใจ
สตรีวัยกลางคนผู้นี้คือฑากิณีที่เป็นเทพอันดับหนึ่งแห่งพันธมิตรบูรพา!
ไม่มีใครเรียกนางว่าเทพแต่ทุกคนรู้ว่าฑากิณีคือเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรบูรพา บางคนแอบเรียกนางว่าราชานีแห่งเหล่าเทพ!
นางคือราชินีของเทพทั้งมวลในพันธมิตรบูรพา!