บทที่ 450.1 กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตามประเพณีนิยมในเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู วันแรกของปี แต่ละบ้านจะเอาไม้กวาดตั้งกลับหัว อีกทั้งยังไม่ควรออกเดินทางไกล

เฉินผิงอันจึงบอกให้หม่าตู่อี๋ช่วยชี้แนะการฝึกตนให้กับเจิงเย่ ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมานี้ หลังจากเฉินผิงอันพิจารณาดูแล้ว ปลายปีของปีก่อนเขาจึงมอบกระดาษยันต์ที่บันทึกวิชาลับในการฝึกตนวิถีผีอย่างละเอียดให้แก่หม่าตู่อี๋ ให้นางอ่านได้ตามสบาย หากมีจุดที่ไม่เข้าใจก็สามารถสอบถามเจิงเย่ได้ เป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน ความต่างในด้านพรสวรรค์การฝึกตน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เพียงไม่นานหม่าตู่อี๋ที่เริ่มฝึกวิชาลับวิชานี้ก็ตามมาทัน ใช้เวลาแค่เดือนกว่าก็สามารถชี้แนะและคลี่คลายปมปัญหาที่เจิงเย่ไม่เข้าใจได้

โชคดีที่เจิงเย่เคยชินกับเรื่องนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ทดท้อ ผิดหวังหรืออิจฉา กลับกันยังยิ่งตั้งใจฝึกตนมากขึ้น ยิ่งตัดสินใจว่าจะใช้ความขยันมาชดเชยข้อบกพร่องของตัวเองให้จงได้

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจไม่น้อย สามารถยอมรับชะตากรรมแต่ไม่ยอมแพ้ให้แก่ชะตากรรม นี่คือนิสัยที่หาได้ยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตน ขอแค่ยืดหยัดไม่แปรเปลี่ยน การประสบความสำเร็จแม้จะล่าช้า แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่เพ้อฝันอีกต่อไป

วันนี้เฉินผิงอันนั่งอาบแดดอยู่ในลานของโรงเตี๊ยมที่ไร้ผู้คน เขาเปิดหีบหนังสือที่ตกหล่นอยู่บนพื้นหิมะออก หยิบตำราแต่ละเล่มออกมาบันทึก คิดว่าหากมีโอกาส วันหน้าจะให้เจิงเย่นำไปคืนเจ้าของเดิม ตราประทับส่วนตัวที่ประทับอยู่บนปกหนังสือล้วนเป็นสองคำว่า ‘น้ำไหลเมฆคล้อย’ และ ‘ผู้เฒ่าหลินสวิน’ ในอนาคตหากเจิงเย่คิดจะสืบสาวเบาะแสไปค้นหาตระกูลบัณฑิตที่หนีภัยลงใต้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก

ยามเที่ยงวันเฉินผิงอันก็ได้รับจดหมายกระบี่บินจากเกาะชิงเสียอีกครั้ง บอกว่ามีกระบี่บินเล่มหนึ่งมาจาภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี เนื่องจากเฉินผิงอันไม่อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน จึงได้แต่เก็บไว้ในห้องกระบี่ของเกาะชิงเสียชั่วคราว หลิวจื้อเม่าส่งกระบี่บินมาสอบถามเฉินผิงอันว่าจะให้จัดการอย่างไร เฉินผิงอันตอบกลับไปโดยการบอกสถานที่ที่พวกเขาสามคนหยุดพักในปัจจุบัน รบกวนให้เจ้าเกาะหลิวเดินทางนำกระบี่บินส่งข่าวมาให้เขาด้วยตัวเองสักครั้ง

คืนของวันที่หนึ่งหลิวจื้อเม่าก็มาถึงโรงเตี๊ยมในเมือง นำกระบี่บินส่งข่าวที่มาจากองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีมาให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันไม่ได้เปิดกระบี่บินจากภูเขาพีอวิ๋นออกต่อหน้าหลิวจื้อเม่า เซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง โดยเฉพาะก่อกำเนิดเฒ่าที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอย่างหลิวจื้อเม่าผู้นี้ ย่อมมีวิชาอภินิหารมากมายหลายอย่าง ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราว ไม่ใช่สหายกันจริงๆ ความสัมพันธ์ไม่ได้ดีถึงขั้นนั้น

คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในห้องของโรงเตี๊ยม

หลิวจื้อเม่าพูดเข้าประเด็นทันที “ตามที่ท่านเฉินกำชับไว้ก่อนออกมาจากเกาะชิงเสีย ข้าได้สลายตราผนึกบนร่างของหงซูแห่งจวนจูเสียนไปอย่างเงียบเชียบแล้ว แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายส่งตัวนางไปยังเกาะกงหลิ่วเพื่อแสดงความเป็นมิตรต่อหลิวเหล่าเฉิง ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงกับท่านเฉินเป็นพันธมิตรกัน ต่อให้เป็นสหายของสหายก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นสหายของเรา ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาะชิงเสียกับเกาะกงหลิ่วก็ถือว่าผ่อนคลายลงเพราะท่านเฉิน ถานหยวนอี้เคยมาเยือนเกาะชิงเสีย เห็นได้ชัดว่ายิ่งรู้สึกนับถือต่อท่านเฉินอีกหลายส่วน ดังนั้นครั้งนี้ข้ามาเยือนด้วยตัวเอง นอกจากจะนำกระบี่บินส่งข่าวจากต้าหลีมามอบให้แล้ว ยังนำของขวัญเล็กๆ มาให้อีกชิ้นหนึ่ง ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่ทางเกาะชิงเสียมอบให้ท่านเฉิน ท่านเฉินอย่าได้ปฏิเสธ เดิมทีนี่ก็เป็นกฎที่มีมาหลายปีบนเกาะชิงเสีย ยามเดือนแรก ผู้ถวายงานทุกคนของเกาะล้วนได้รับ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กฎเกณฑ์ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่บนเกาะชิงเสีย ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี ดังนั้นต่อให้เจ้าเกาะหลิวไม่มอบให้ ข้าก็ต้องเอ่ยเตือนเจ้าเกาะหลิวอยู่ดี”

หลิวจื้อเม่าหยิบกำไลข้อมือเมล็ดลูกท้อที่ค่อนข้างจะหลวมออกมาวงหนึ่ง ดูเหมือนว่าอายุจะมากแล้ว อีกทั้งยังเก็บรักษาได้ไม่ดีจึงมีเมล็ดลูกท้อเกือบครึ่งหล่นหายไป เหลือเพียงเมล็ดลูกท้อแปดเมล็ดที่สลักเป็นรูปขององค์เทพอย่างเทพพิรุณ เทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ ฯลฯ แต่ละเมล็ดมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เปี่ยมล้นไปด้วยความโบราณเก่าแก่ ทว่าองค์เทพยุคบรรพกาลแต่ละองค์กลับเหมือนมีชีวิตจริง หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “แค่ปลดลงมาแล้วโยนลงบนพื้น ก็สามารถออกคำสั่งแก่ลม ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เปลวเพลิง ฯลฯ ได้ พลังอำนาจหลังจากที่เมล็ดลูกท้อเมล็ดหนึ่งระเบิดออกเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนดินโอสถทองทั่วไป เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นำมาใช้ เมล็ดลูกท้อทุกเมล็ดจะถูกทำลาย เป็นเหตุให้มันไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เรือนกายและจิตวิญญาณของท่านเฉินได้รับความเสียหาย ไม่สะดวกจะลงมือเข่นฆ่ากับคนอื่นบ่อยๆ วัตถุชิ้นนี้จึงเหมาะสมพอดี”

เฉินผิงอันเก็บมันไปไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ “เป็นเช่นนี้จริง เจ้าเกาะหลิวมีใจแล้ว”

หลิวจื้อเม่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นสามเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความสะท้านสะเทือนให้แก่ราชวงศ์จูอิ๋งและแคว้นใต้อาณัติทั้งหมด เรื่องหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่แฝงตัวอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนคนนั้นถูกสตรีชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดขาวไล่ล่าไปไกลพันกว่าลี้ สุดท้ายก็ร่วมมือกันสังหารเขา สตรีชุดเขียวก็คือผู้ฝึกตนไร้นามที่ก่อนหน้านี้ทำลายศาลบรรพชนบนภูเขาพุดตานในช่วงที่มีการคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพ เล่าลือกันว่าสถานะของนางก็คือหน่วยจานกานของต้าหลี ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นั้นมีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า สมบัติอาคมที่อยู่บนร่างเขาเรียกได้ว่ามากมายละลานตา ตลอดทางที่ไล่ล่ากันไป เขากลับทำเหมือนเดินเล่น ทว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้ากลับมีสภาพอเนจอนาถอย่างยิ่ง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ยิ้มมองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันถาม “เกาะหวงหลีว่าอย่างไร?”

หลิวจื้อเม่ากล่าว “หลังจากคู่สามีภรรยาเซียนดินเกาะหวงหลีทราบข่าว วันนั้นก็ได้มาเยี่ยมเยือนถานหยวนอี้ ขอร้องให้เขาช่วยปกป้อง ถือว่าหันไปสวามิภักดิ์ต่อต้าหลีอย่างจริงจังแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นข่าวดี”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่อ “เรื่องที่สองก็คือก่อนเทศกาลหยวนเซียวในเดือนหนึ่งของปีนี้ ซูเกาซานแม่ทัพใหญ่จะบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นสือหาว หากไม่ยินดีจะตายไปพร้อมกับสกุลหันแคว้นสือหาว ขอแค่ในตระกูลที่มีคนเป็นขุนนางแปะภาพเทพทวารบาลเป็นภาพของหยวน เฉาสององค์ของต้าหลีไว้บนประตูบ้านในเดือนหนึ่งก็สามารถหนีพ้นหายนะจากไฟสงครามได้ หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีทำลายกำแพงเมืองได้แล้ว ตระกูลชนชั้นสูงที่ยังไม่แปะภาพเทพทวารบาลไว้บนประตูบ้านก็จะถูกมองเป็นกากเดนของสกุลหันทั้งหมด และเมื่อกำแพงเมืองถูกตีแตกแล้ว ภายในสามวัน ชาวบ้านร้านตลาดที่เปลี่ยนมาใช้ภาพเทพทวารบาลของต้าหลีทั้งหมดก็จะสามารถหลบพ้นจากการโจมตีไปได้ หลังผ่านสามวันไปแล้ว เรือนน้อยใหญ่ที่ไม่แขวนเทพทวารบาลต้าหลีจะต้องถูกบันทึกลงในบัญชี เพื่อเตรียมไว้คิดบัญชีย้อนหลัง”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “วางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบก่อน แล้วจึงโจมตีทางด้านจิตใจ”

สีหน้าของหลิวจื้อเม่าแฝงเลศนัย “ส่วนเรื่องที่สาม หากเป็นในยุคสันติสุขก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก ทว่าเมื่อเกิดในเวลานี้กลับไม่สะดุดตาเท่าไหร่แล้ว หันจิ้งซิ่นองค์ชายที่ได้รับความรักและเอ็นดูจากฮ่องเต้แคว้นสือหาวมากที่สุดตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง สภาพศพไม่สมบูรณ์ ท่านเจิงผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หูหานบุคคลอันดับหนึ่งวิถีวรยุทธ์แคว้นสือหาวก็ถูกตัดหัวไปเช่นกัน ว่ากันว่าสวี่เม่านักกวีผู้ถือหอกได้นำหัวสองหัวเป็นสิ่งของแสดงการสวามิภักดิ์ นำไปมอบให้กับซูเกาซานแม่ทัพหลักของต้าหลีในค่ำคืนที่มีลมหิมะ จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นแม่ทัพเชียนอู่หนิวที่เป็นขุนนางระดับสี่ชั้นเอกของราชวงศ์ต้าหลี เรียกได้ว่าเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว การช่วงชิงคุณความชอบทางการทหารของต้าหลีในตอนนี้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ”

หลิวจื้อเม่าหยิบถ้วยเหล้าสองใบมาวางบนโต๊ะ เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วคลี่ยิ้ม หลิวจื้อเม่าจึงเก็บถ้วยเหล้าใบหนึ่งไปอย่างรู้กาลควร ทั้งๆ ที่รู้ดีว่านักบัญชีตรงหน้าไม่มีทางดื่มเหล้าจากถ้วยของตน ทว่ากฎในวงเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ข้อนี้ก็ยังต้องมี เฉินผิงอันรินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าหนึ่งถ้วย ส่วนตัวเองดื่มเอาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าเกาะหลิวไม่ต้องสงสัยแล้ว ฆ่าเป็นคนสังหารพวกเขาเอง ส่วนศีรษะทั้งสองนั้น สวี่เม่าเป็นผู้ตัดเอาไป ข้าไม่ฆ่าสวี่เม่า เขาช่วยข้าแบกรับความยุ่งยากเอาไว้ ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”

“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “แคว้นสือหาวจะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก สามารถมาชนปลายกระบี่ของท่านเฉินได้ก็คงเป็นชะตากรรมของหันจิ้งซิ่นที่ชีวิตนี้ไม่มีทางได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทว่าบอกตามตรง ในบรรดาองค์ชายหลายคน หันจิ้งซิ่นถูกฮ่องเต้แคว้นสือหาวฝากความหวังไว้ให้มากที่สุด ตัวเขาเองก็มีอุบายลึกล้ำ เดิมทีโชควาสนาของเขาก็ดียิ่งกว่าใคร น่าเสียดายที่เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตายเอง ช่วยไม่ได้จริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิว มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ ราชวงศ์จูอิ๋งมีแคว้นใต้อาณัติมากมายขนาดนี้ ทำไมพวกเขาแต่ละแคว้นจึงเลือกจะงัดข้อกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีให้ถึงที่สุด อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ในฐานะของแคว้นใต้อาณัติที่พึ่งพาราชวงศ์ใหญ่ เดิมทีไม่ควรทำอย่างนี้ถึงจะถูก ในราชสำนัก เสียงคัดค้านก็ไม่ควรจะเบาขนาดนี้ นับตั้งแต่แคว้นหวงถิงใต้อาณัติของต้าสุย มาจนถึงแถบทางเหนือของสำนักศึกษากวานหู พื้นที่แถบเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป…”

เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะ “มีเพียงที่นี่ที่ไม่ปกติ”

หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่เล็กน้อยก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เมธีร้อยสำนักต่างก็มีเดิมพันเป็นของตัวเอง แม้แจกันสมบัติทวีปจะเล็ก แต่ต้าหลีสามารถครอบครองสายหลักของสำนักโม่ สำนักหยินหยาง สำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีปที่มีภูเขาเจินอู่เป็นผู้นำ ฯลฯ พวกเขาเลือกสกุลซ่งต้าหลี ถ้าเช่นนั้นราชวงศ์จูอิ๋งที่มีฐานะเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากสายใหญ่และสายรองของสำนักต่างๆ ในบรรดาเมธีร้อยสำนักก็ถือว่าถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว เท่าที่ข้ารู้มาการสนับสนุนหลักๆ ที่สำคัญก็มีสำนักกสิกรรม สำนักโอสถ สำนักการค้า และสำนักจ้งเหิง ฯลฯ ราชวงศ์จูอิ๋งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เรียกได้ว่าโชควาสนาโชติช่วง อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะเจออุปสรรคที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เขายกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น หลิวจื้อเม่าก็ยกถ้วยเหล้า ต่างคนต่างดื่ม

หลิวจื้อเม่าสวมชุดผ้าป่านสีขาว มองดูเหมือนธรรมดาเรียบง่าย ประหนึ่งผู้ฝึกตนยากจนที่เก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ในป่าเขา แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่ามีมาดของคนตระกูลเซียนที่เป็นเอกลักษณ์

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นอย่างสะท้อนใจ “โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเกาะหลิวคือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยเหล้าเนิบช้าอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ เขามองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นว่าบนสันหลังคานอกหน้าต่างมีหิมะทับถม ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าก็เกือบลืมไปแล้วว่าท่านเฉินมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิง”

เฉินผิงอันพลันโน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นส่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปให้เขา หลิวจื้อเม่าอึ้งตะลึง ก่อนจะใช้ถ้วยเหล้าชนกับเขาเบาๆ

เฉินผิงอันกระดกดื่มคำใหญ่ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดผิดไป เจ้าและข้าถือว่าเป็นคนรู้ใจกันครึ่งตัวจริงๆ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นสหายกันหรือไม่”

หลิวจื้อเม่าดึงถ้วยเหล้ากลับมา ไม่ได้รีบร้อนดื่มเหล้า เขาจ้องมองคนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวนิ่ง รูปร่างของอีกฝ่ายเริ่มผ่ายผอมหนักขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงดวงตาที่ใสกระจ่างดุจแสงจันทราคู่นั้นที่นับวันก็ยิ่งมืดลึก แต่กลับไม่ใช่ความมืดที่ขุ่นมัว ไม่ใช่คลื่นใต้น้ำของคนที่มีอุบายลึกล้ำ หลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ไม่รบกวนท่านเฉินทำเรื่องสำคัญแล้ว หากทะเลสาบซูเจี่ยนมีจุดจบที่ดี ระหว่างเจ้าและข้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกันเลย หวังเพียงว่าในอนาคตเมื่อพบเจอกันอีกครั้ง พวกเรายังจะมีโอกาสได้นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกันอีก ดื่มเสร็จแล้วก็แยกย้าย พูดคุยกันคำสองคำ สาแก่ใจแล้วก็จากลา ปีหน้าพบกันใหม่ก็ค่อยดื่มใหม่ แค่นี้เท่านั้น”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อจากลากันที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หากเจ้าเกาะหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ได้เจอกับฟ้าดินแบบใหม่ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้สึกเช่นนี้อีก”

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “การฝึกจิตใจของท่านเฉิน หนึ่งวันไปได้พันลี้ ถึงเวลานั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้สึกเช่นนี้อีก”

คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คนรู้ใจก็เป็นเช่นนี้”

……

หลังจากหลิวจื้อเม่าจากไป หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็เดินมานั่งบนเก้าอี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ

หลิวจื้อเม่าทั้งไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารของเซียนสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมาสกัดกั้น แล้วก็ไม่ได้จงใจปิดบังบทสนทนาระหว่างเขากับเฉินผิงอัน

ดังนั้นหม่าตู่อี๋และเจิงเย่จึงพอจะได้ยินเสียงสนทนากลั้วเสียงหัวเราะที่ดังแว่วๆ ไปจากห้องนี้

หม่าตู่อี๋มีสีหน้าซับซ้อน

ส่วนเจิงเย่ก็มีสีหน้ากังขาไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงแค่ถามเรื่องด่านในการฝึกตนของเจิงเย่ แล้วไล่อธิบายให้เด็กหนุ่มฟังไปทีละข้ออย่างละเอียด นอกจากจุดที่อธิบายอย่างละเอียดแล้ว บางครั้งก็เอ่ยสองสามประโยคเป็นการถกปัญหา แสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่สูงกว่าย่อมควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าหม่าตู่อี๋จะช่วยขัดเกลาฝึกฝนให้เจิงเย่ ถึงขั้นสามารถช่วยไขข้อข้องใจให้เจิงเย่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว นางก็ยังมีส่วนที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง อย่างน้อยเฉินผิงอันก็รู้สึกเช่นนี้ ทว่าคำพูดที่เฉินผิงอันคิดว่าธรรมดาไร้ความอัศจรรย์ เมื่อดังเข้าหูหม่าตู่อี๋ที่มีพรสวรรค์ดีกว่าเจิงเย่แล้วก็เหมือนเปิดสมองของนางให้โล่งกว้าง กระจ่างแจ้ง

ประหนึ่งมีเซียนเหรินผู้หนึ่งชักนำน้ำตกมาให้ ส่วนนางและเจิงเย่ก็แค่ต้องยืนอยู่ใต้น้ำตก แล้วใช้ชามหรือไม่ก็อ่างมารองรับน้ำดื่มดับกระหาย

หลังจากหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่กลับไป เฉินผิงอันถึงได้เปิดตราผนึกของกระบี่บินจากภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีออก

เป็นข่าวที่เหนือความคาดคิด

รองเจ้ากรมพิธีการสกุลซ่งต้าหลีคนหนึ่งเดินทางมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตัวเอง นอกจากจะตรวจตรางานในศาลบุ๋นบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ยังมาเยี่ยมเยือนเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนืออย่างลับๆ เป็นการส่วนตัว แล้วให้ข้อเสนออย่างใหม่แก่เขา

ช่วงนี้ราชสำนักต้าหลีได้ ‘ไถ่คืน’ ภูเขาที่กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนทอดทิ้งมาได้อีกหลายลูก จึงอยากจะอาศัยโอกาสนี้มาทำการค้าครั้งใหญ่กับเฉินผิงอัน เงินเหรียญทองแดงแก่นทองส่วนที่ต้าหลียังติดค้างเฉินผิงอัน เฉินผิงอันสามารถอาศัยสิ่งนี้มาซื้อภูเขาที่ ‘สุกงอม’ ซึ่งตระกูลเซียนทั้งหลายซื้อมาไว้แล้วบุกเบิกที่ทาง หรือแม้กระทั่งค่ายกลคุ้มกันภูเขาก็ยังสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หากเฉินผิงอันตอบตกลง บวกกับภูเขาที่มีในครอบครองก่อนหน้านี้อย่างภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเจินจูแล้ว เฉินผิงอันจะได้อาณาเขตของภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกในเขตการปกครองหลงเฉวียนไปเกือบสามส่วนรวดเดียว ไม่พูดถึงปราณวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาจากภูเขาว่ามีมากน้อย พูดถึงแค่ขนาดของพวกมัน ‘เจ้าของที่รายใหญ่’ อย่างเฉินผิงอันก็แทบจะทัดเทียมกับอริยะหร่วนฉงได้แล้ว

ในจดหมายลับเว่ยป้อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ก็มีภัยแฝงที่ไม่เล็กซุกซ่อนอยู่ ความพัวพันระหว่างเฉินผิงอันกับสกุลซ่งต้าหลีจะยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กันก็ไม่ง่ายเหมือนสกุลสวี่นครลมเย็นที่ก่อนหน้านี้เห็นท่าไม่ดีก็ขายต่อภูเขาเปลี่ยนมือไปให้คนอื่น ราชสำนักต้าหลีเองก็กล่าวไว้แล้วว่า หากเฉินผิงอันได้ครอบครองอาณาเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ตกลงมากลายเป็นพื้นที่มงคล ถึงเวลานั้นก็จำเป็นต้องลงนามในสัญญาพิเศษ โดยมีภูเขาพีอวิ๋นทางทิศเหนือเป็นคู่สัญญา ราชสำนักต้าหลี เว่ยป้อ เฉินผิงอัน ทั้งสามฝ่ายจะต้องร่วมลงนามพันธมิตรแห่งขุนเขาที่ถือว่ามีระดับสูงเป็นขั้นที่สองของราชสำนัก พันธมิตรแห่งขุนเขาที่สูงที่สุดคือองค์เทพทั้งห้าขุนเขาปรากฏตัวพร้อมกัน อีกทั้งยังต้องประทับตราลัญจกรของฮ่องเต้ต้าหลี และร่วมกับการเป็นพันธมิตรกับผู้ฝึกตนบางท่าน ทว่าพันธมิตรที่มีระดับขั้นเช่นนี้ก็มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเท่านั้นที่ถึงจะลงนามได้ เพราะมีเพียงเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่ง จึงจะทำให้ต้าหลีระดมพลยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้

—–