ตอนที่ 1281 ยื้อ โดย Ink Stone_Fantasy
ถูกต้อง อดทน
ด้านหลังค่ายเป็นเนินเรียบๆ ไปเป็นไปได้ที่พวกเขาจะฝ่ากระสุนวิ่งขึ้นไปบนยอดเขา ส่วนทีมช่วยเหลือเองก็กระจายตัวไปประจำที่ ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถเขามาช่วยเหลือได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การอดทนอยู่ที่นี่คือวิธีเดียวที่จะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มากที่สุด
เพราะว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก บวกกับในกระเป๋าด้านหลังพวกเขาล้วนแต่เป็นเสบียงอาหารและเสื้อผ้า แม้แต่ปืนกลซักกระบอกก็ไม่ได้พกมา นี่ทำให้อาวุธของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาจึงยากที่จะใช้การยิงจากระยะไกลมาชดเชยความเสียเปรียบในด้านจำนวนเหมือนเมื่อก่อนได้
50 ต่อ 1,000 ฟิชบอลพอจะนึกถึงผลลัพธ์ของมันออก
เขายอมรับว่าในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ภายในใจลึกๆ ของเขายังคงรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้ตัวเองไม่ใช่ไอขี้ขลาดที่จะเอาแต่วิ่งหนีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ความหวาดกลัวไม่สามารถสงผลกระทบต่อหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยได้
ต่อให้ต้องตายอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำให้อีกฝ่ายชดใช้ให้ได้มากที่สุด!
เห็นได้ชัดว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่จงใจลดความเร็วในการยิงลงเพื่อปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในระยะ 200 เมตร
กระสุนที่ทุกคนพกมามีจำกัด มีแต่ต้องยิ งในระยะกลางถึงระยะใกล้ถึงจะทำให้มีอัตราความแม่นยำที่ดีที่สุด
แต่แน่นอน ความแม่นยำของศัตรูก็เพิ่มขึ้นมาจากระยะทางที่หดสั้นขึ้นเหมือนกัน นี่เป็นแผนดาบสองคม กำลังใจคือสิ่งที่จะตัดสินทุกอย่าง
เนินเขานั้นช่วยชะลอความเร็วในการวิ่งเข้ามาของอีกฝ่าย ฟิชบอลรออยู่เกือบหนึ่งนาทีกว่าจะเห็นศัตรูเข้ามาในระยะ 200 เมตร — ในระยะเท่านี้ เขาสามารถใช้กล้องส่องทางไกลสองดูหน้าตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน และมันก็ช่วยตอกย้ำการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ดูสะอาดสะอ้าน ดูแล้วไม่เหมือนผู้อพยพที่ต้องตากแดดตากฝนเลย สีหน้าและความเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดูเหมือนถูกบีบบังคับมา
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะฆ่าผู้บริสุทธิ์อีกแล้ว
ฟิชบอลเหนี่ยวไกใส่ศัตรูที่ยืนอยู่หน้าสุด
เพื่อนทหารที่อยู่ข้างๆ เองก็เหนี่ยวไกขึ้นมาในเวลานี้เหมือนกัน
ทันใดนั้น เสียงปืนภายในค่ายก็ดังสนั่นขึ้นมาจนกลบเสียงปืนของอีกฝ่าย แค่พริบตาพวกศัตรูที่อยู่ด้านหน้าก็ล้มลงไปนอนกับพื้นกันเป็นแถบ การโจมตีของอีกฝ่ายหยุดชะงักลง ศัตรูที่อยู่รอบๆ พากันหมอบลงไปกับพื้นแล้วยิงตอบโต้กองทัพที่หนึ่ง ไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการรบที่พวกเขาเรียนรู้มาจากศึกก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง หรือว่าปีศาจเป็นคนสอนพวกเขาให้ทำเช่นนี้ สถานการณ์กลายเป็นการยิงตอบโต้กัน
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยิงตอบโต้กันไปมาอยู่นั้น ศัตรูที่อยู่ด้านหลังพลันเข็นรถเข็นที่มีผ้าคลุม 2 – 3 คันขึ้นมาใกล้กับตำแหน่งแนวรบด้านหน้า
รถเข็นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับฟิชบอล เมื่อเทียบกับรถที่ใช้ม้าหรือลาลากแล้ว รถเข็นที่ใช้แรงคนในการเข็นแบบนี้เหมาะที่จะให้คนธรรมดาใช้มากกว่า โดยเฉพาะเวลาที่มีการย้ายที่อยู่หรือต้องขนของเป็นจำนวนมาก เดิมเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกศัตรูเอามาเพื่อปกปิดสถานะของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เริ่มปะทะกัน อีกฝ่ายก็ยังไม่ทิ้งรถเข็นคันใหญ่พวกนั้นไปอีก
จนกระทั่งผ้าคลุมถูกเลิกขึ้นมา ฟิชบอลถึงได้พบว่าสิ่งที่รถเข็นขนมาก็คือปืนกลแม็กซิม!
“ปังๆๆๆๆ”
ห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องหยุดยิงลง ยิ่งไปกว่านั้นกระสุนที่พวกศัตรูใช้ยังเป็นกระสุนส่องวิถี ความแม่นยำของมันมีมากกว่าปืนยาวลูกเลื่อนมาก ด้านหน้าค่ายเหมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันที ดินบนทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้กระเด็นปลิวว่อนขึ้นมา ถ้าไม่เป็นเพราะมีกระสอบทรายกับกระสอบหินกันเอาไว้อยู่ เกรงว่าการยิงครั้งนี้คงทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการโจมตีกลับไปอย่างแน่นอน
ที่โชคดีก็คือรถเข็นปืนกลตั้งอยู่ไม่ห่างเท่าไรนัก ตอนนี้ระยะห่างจากแนวป้องกันถึงปืนกลอยู่ที่ประมาณ 200 เมตร กองทัพที่หนึ่งเองก็กระจายตัวได้พอสมควร นี่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสพักหายใจ
“แฮนซัน!” ฟิชบอลตะโกน
อีกฝ่ายทำสัญญาณมือเพื่อบอกว่าเข้าใจ ก่อนจะถือปืนวิ่งไปยังริมแนวกระสอบทราย
น้อยครั้งนักที่กองทัพที่หนึ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ จากข้อปฏิบัติที่ระบุเอาไว้ในคู่มือการรบ ทันทีที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สิ่งที่ควรทำคือขอให้ทหารปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหลังยิงสนับสนุน หรือไม่ก็เน้นโจมที่ไปที่จุดโจมตีของศัตรู เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้วิธีเดียวที่พวกเขาจะทำได้ก็คือให้มือสไนเปอร์ที่มีความแม่นยำไปหยุดการโจมตีของศัตรูเอาไว้
ฟิชบอลกับเพื่อนทหารฉวยโอกาสตอนนี้ปืนกลเปลี่ยนกระสุน โผล่หัวออกมากระหน่ำยิงเพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรูมาไว้ที่ตัวเอง ส่วนแฮนซันก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แค่สองนัดก็ส่งมือยิงบนรถเข็นให้นอนลงไปกับพื้นได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่คิดจะปีนขึ้นมาบนรถเข็นก็ถูกเด็ดหัวไปทีละคน
เมื่อไม่มีปืนกลคอยสร้างความกดดัน ศัตรูที่คิดจะฉวยโอกาสบุกเข้ามาเพิ่งจะก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระหน่ำยิงใส่จนต้องล่าถอยไป สถานการณ์กลับมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง ……
“บ้าเอ้ย” วิสเคาท์นาร์นอส คนของเจ้าขี้ขนาดไปหรือเปล่า ศัตรูจำนวนแค่นี้ก็ยังจัดการไม่ได้! ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อถึงตอนกลางคืน พวกเกรย์คาสเซิลมันก็หนีไปหมดแล้ว!”
ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องลงไปในสนามรบเหมือนพวกทหารรับจ้าง ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดเรื่องกฎการทำสงครามของขุนนาง จงใจยั้งมือ หรือว่าใช้เงินมาไถ่ตัวหากถูกจับเป็นเชลย…คนของเกรย์คาสเซิลไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน พวกเขาเคยเห็นท่าทีที่คนของเกรย์คาสเซิลปฏิบัติต่อขุนนางแล้ว การนำทัพบุกเข้าไปเหมือนอย่างเมื่อก่อนไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับเกียรติหรือความเคารพใดๆ ซ้ำร้ายอาจจะถูกกองทัพที่หนึ่งยิงจนพรุนด้วยซ้ำ
“พวกเขาพยายามเต็มที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย” นาร์นอสพูดอย่างไม่พอใจ “เห็นๆ อยู่ว่ามีคนเยอะที่สุด แต่กลับวิ่งอยู่ด้านหลังสุด ถ้าคนของเจ้าขยับขึ้นไปข้างหน้าอีกซัก 100 ก้าว พวกเราก็คงจะจัดการค่ายของพวกเกรย์คาสเซิลได้แล้ว”
“เจ้า…” มาร์เวนพูดอะไรไม่ออก เขาได้มองไปดูสนามรบพร้อมเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ
เอาไว้ข้ากลายเป็นราชาแห่งอีเทอร์นอลวินเทอร์เมื่อ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเอาชนะให้ได้ ถ้าไม่ชนะ สกายลอร์ดก็ไม่มีทางให้ความสำคัญกับเขาแน่
เพียงแต่เขาไม่เขาใจ ทำไมสถานการณ์ถึงได้ดูยากลำบากขนาดนี้?
ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่คิดเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ทำให้คนเกรย์คาสเซิลผิดสังเกต พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะไปซ่อนตัวอยู่ในเมือง แล้วก็ไม่ได้แบ่งกำลังเอาไว้ตามทางล่วงหน้าเพื่อโจมตีกระหนาบอีกฝ่าย เมื่ออยู่ในหุบเขานี้ แค่มองแวบเดียวก็สามารถรู้ถึงจำนวนและตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายได้ ทุกๆ รายละเอียดที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวเขาล้วนแต่คิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนพวกชาวบ้านที่อาจจะเผลอปากโป้งออกไป เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว
ซึ่งที่สิ่งเกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างที่วางแผนเอาไว้ ในตอนที่คนเกรย์คาสเซิลสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยก้าว ในสถานการณ์ที่อาวุธและจำนวนคนล้วนแต่มากกว่าอีกฝ่าย ตามหลักแล้วศึกนี้มันควรจะจบลงอย่างรวดเร็วถึงจะถูก แต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังเข้าไปในค่ายไม่ได้อีก?
ต่อให้อีกฝ่ายมีปืนคนละกระบอก อย่างมากมันก็แค่ 50 กว่ากระบอก แต่ในกองทัพพันธมิตรของพวกขุนนางมีปืนอยู่ 200 กว่ากระบอก!
มาร์เวนจินตนาการภาพเอาไว้ในหัวว่าเมื่อคนของเกรย์คาสเซิลเจอกับการกระหน่ำยิงของปืน 200 กระบอก พวกเขาก็ควรจะตกใจกลัวจนหนีไปถึงจะถูก
แต่ภาพที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันกลับแตกต่างจากที่คิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
กองทัพพันธมิตรของขุนนางถูกยิงสกัดเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาพยายามจะบุกเข้าไป แต่ก็ถูกอีกฝ่ายกระหน่ำยิงเข้าใส่จนต้องถอยออกมา ส่วนการยิงตอบโต้ของพวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของคนเกรย์คาสเซิลได้ เหมือนกับว่าศัตรูมี 3 หัว 6 แขน สามารถยิงปืนหลายๆ กระบอกพร้อมกันได้อย่างไรอย่างนั้น
ปืนที่ยิงต่อเนื่องที่เขาฝากความหวังเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลย มันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำลายขวัญและกำลังใจของคนเกรย์คาสเซิลได้ แต่หลายๆ ครั้งมันกลับยิงถูกพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำ เมื่อมองขึ้นไปจากตีนเขา เขามองเห็นบริเวณรอบๆ กับด้านหน้าปืนที่ยิงต่อเนื่องมีศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่ แล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะขึ้นไปแตะปืนนั้นอีก
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฝันอันสวยงามที่ตัวเองหวังเอาไว้ไม่กลายเป็นหมันหรอกเหรอ?
เพราะอีเทอร์นอลวินเทอร์ไม่สามารถผลิตกระสุนได้ ถ้าไม่สามารถยึดกระสุนจากอีกฝ่ายมาได้มากพอ แล้วศึกครั้งหน้าพวกเขาจะเล่นงานคนเกรย์คาสเซิลได้อย่างไร?
“ไม่ต้องร้อนใจไปท่านดยุค” ฟูลเลอร์พูดปลอบขึ้นมา “จากที่้ข้าสังเกตดูแล้ว เสียงปืนของศัตรูเหมือนจะน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มาก แสดงว่ากระสุนของพวกเขาก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ขอเพียงอดทดไปอีกหน่อย พวกเราก็จะสามารถใช้วิธีที่พวกเราถนัดที่สุดในการคว้าชัยชนะมา เพราะว่าพวกมันมีแค่อาวุธปืน แต่พวกเรามีทุกอย่าง”
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถยึดกระสุนเพิ่มจากอีกฝ่ายได้น่ะสิ มาร์เวนคิดอย่างเจ็บใจ ช่างมัน กระสุนค่อยขอจากสกายลอร์ดทีหลังก็ได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกำจัดคนเกรย์คาสเซิลกลุ่มนี้ซะ! เขาตะโกนเรียกองครักษ์คนหนึ่งมา “ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ข้าจะเพิ่มรางวัลที่สัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้อีกเท่าหนึ่ง ส่วนคนที่บุกเข้าไปในค่ายได้เป็นคนแรก ข้าจะตบรางวัลให้ 100 เหรียญทอง!”
…………………………………………………………………..