ตอนที่ 2014 เทียนฉีกับเฮ่อเหยียน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ดูเหมือนว่าเปลวไฟเหล่านี้จะร่วงโรยลงมาอย่างช้าๆ ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเปลวไฟนั้นจึงตกลงกระทบลงบนร่างชาวเผ่ามารที่อยู่ด้านล่างทั้งหมด แม้แต่ชายมีปีกที่หนีเอาตัวรอดสุดชีวิต ก็ไม่สามารถหนีหายนะครั้งนี้ได้

พรึ่บ พรึ่บ เสียงเปลวไฟโหมกระหน่ำ ในขณะนี้ชาวเผ่ามารกำลังถูกเปลวไฟสีชมพูเผาไหม้ แสงสีแดงแสบตาปะทุขึ้น ภายในชั่วพริบตาทุกอย่างก็กลายเป็นกลุ่มควันสีครามหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ใกล้กับจุดเชื่อมต่อ เหลือเพียงเงามารสูงใหญ่เท่านั้นที่ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง

มันมองไปยังต้นไม้เปล่งแสงประกายระยิบระยับในอากาศด้วยแววตายากที่จะเชื่อ จากนั้นเขาจึงทำความเคารพโดยไม่ลังเล

“คารวะใต้เท้าเป่าฮวา เค่ออวิ๋นยังมีชีวิตได้คารวะท่าน ในชีวิตนี้ไม่มีความเสียใจอีกต่อไป” เงามารเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเด้นแปลกประหลาด

“เค่ออวิ๋น ครั้งสุดท้ายที่เจ้าเห็นข้าคือเมื่อหลายปีก่อนกระมัง” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังออกมาจากที่ว่าง ต้นไม้ค่อยๆ ผันผวน ร่างขาวดำสองร่างปรากฏขึ้นพร้อมกัน

นั่นคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาในชุดชาววังสีขาวและชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำ

เป่าฮวาก้มลงมองเงามารที่อยู่ด้านล่าง ใบหน้าแสดงอารมณ์นิ่งเฉย

“ใต้เท้า เป็นท่านจริงๆ หลายคนบอกว่าท่านเสียชีวิตแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของใต้เท้า แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้าย แต่ท่านจะไม่มีวิธีเอาชีวิตรอดได้อย่างไร” เมื่อเงามารเห็นร่างที่แท้จริงของหญิงสาวในชุดชาววัง เขาก็ตอบกลับอย่างตื่นเต้นทันทีโดยปราศจากความสงสัยใดๆ

“อืม แม้ว่าสองคนนั้นจะรวมพลังช่วยข้าในปีนั้น แต่ระดับขั้นก็ถูกทำลาย และยังถูกบังคับให้ทำลายมิติ จากนั้นก็พาลูกน้องบางส่วนหลบหนีไปยังแดนวิญญาณ ข้าค่อนข้างรู้สึกดีที่หน่วยลับของพวกเจ้าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาโดยตลอด แต่เพื่อเป็นการป้องกัน ข้าจึงต้องตรวจสอบจิตสัมผัสของเจ้า” เป่าฮวาพูดพลางจ้องไปยังดวงตาคู่งามของเงามาร

“ขอรับ ใต้เท้า! นี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ อิทธิฤทธิ์ของทั้งสองนั้นไม่ได้ด้อยกว่าใต้เท้ามากนัก หากข้าถูกพวกเขาแอบวางเขตอาคม ก็มิอาจล่วงรู้ได้” เงามารตัวสั่นเทา ทว่ากลับตอบกลับอย่างเห็นด้วย

“เอาล่ะ เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ลุกขึ้นเถิด”

เป่าฮวามีท่าทางที่นุ่มนวลกว่าเดิม เท้าขาวราวกับหยกค่อยๆ ลอยลงมาจากอากาศ ส่วนชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำติดตามมาอย่างใกล้ชิดโดยไม่พูดอะไร

ต้นไม้เปล่งประกายระยิบระยับในอากาศ กลายเป็นแสงสีชมพูหาบวับเข้าไปในร่างของหญิงสาว

เงามารลุกขึ้น และยืนทำความเคารพอยู่ที่เดิม

ในขณะนี้ปราณมารบนร่างกายของเผ่ามารระดับสูงถูกนำออกไป และร่างกายที่แท้จริงๆ จึงค่อยๆ ปรากฏขึ้น

แท้จริงแล้วเขาคือชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่มีใบหน้าสี่เหลี่ยมและมีเขาสีดำสนิทอยู่บนหัวหนึ่งคู่

บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาไม่พูดพร่ำทำเพลง ครั้นเมื่อนางเดินไปถึงด้านหน้าของเงามาร นางยกนิ้วเรียวยาวขึ้นชี้ไปยังกึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขา

หลังจากเสียงดังฟู่ เส้นใยแวววาวก็ออกมาจากปลายนิ้วและหายวับเข้าไปในระหว่างคิ้วของชายฉกรรจ์

จากนั้นเป่าฮวาจึงค่อยๆ หลับตาลง

ชายฉกรรจ์เริ่มแสดงอาการเจ็บปวด เมื่อแสงในแววตาของเขาหายไป สติของเขาก็หลุดลอยในทันที

ในขณะที่เส้นใยแวววาวสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง ชายฉกรรจ์ยังคงมีสีหน้าเหม่อลอย

เวลาผ่านไปสักพัก

ทันใดนั้น หญิงสาวในชุดชาววังจึงค่อยๆ ขมวดคิ้ว เส้นใยแวววาวในมือกลายเป็นแสงสีทองอร่าม จากนั้นคลื่นประหลาดก็พุ่งออกมาจากเส้นใยแวววาวพลันหายวับเข้าไปในหัวของชายฉกรรจ์

ชายฉกรรจ์ร้องโหยหวน เลือดออกางหูและจมูกของเขา ทว่ามันกลับแห้งเหือดไปในทันทีอย่างน่าประหลาด ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวสักพัก จากนั้นแสงสีเทาขนาดเท่าเมล็ดถั่วก็พุ่งออกมาจากหูและจมูกบินวนไปมา ท้ายที่สุดก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

“หยุด!”

ใบหน้าหยกของเป่าฮวาขรึมลง และยกมือหยกอีกข้างขึ้นพลางชี้ไปยังกลุ่มแสงนั่นเบาๆ

ทันใดนั้นเส้นใยแวววาวที่เหมือนเดิมกับก่อนหน้านี้ก็พุ่งออกมากมายหลายเส้นนับไม่ถ้วน และทะลุผ่านกลุ่มแสงเหล่านั้น จากนั้นพวกมันก็ม้วนกลับเข้ามาที่แขนเสื้อ

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของหญิงสาวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น นางกวาดสายตาไปทั่วไปหน้าของชายฉกรรจ์ และพบว่าจุดแสงสีชมพูหลายจุดที่อยู่ระหว่างคิ้วของชายฉกรรจ์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ขณะนี้เส้นใยแวววาวได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นแสงสีขาวเล็กๆ และหายไปในที่สุด

ชายฉกรรจ์มีท่าทางที่เปลี่ยนไป ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกพลันเกิดแสงสว่างวาบ และเขาก็ฟื้นคืนสติในทันที

“ใต้เท้าเป่าฮวา ข้า…”

“เจ้าถูกพวกมันควบคุมอย่างร้ายกาจ แต่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว การควบคุมถูกข้าแก้ไขแล้ว ข้าแทนที่ด้วยการควบคุมปลอม พวกเขาทั้งสองจะไม่พบสิ่งผิดปกติ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบร่างกายของเจ้าด้วยมือของพวกเขาเอง” หญิงสาวในชุดชาววังกล่าวอย่างเฉยเมย

“ขอบคุณใต้เท้ามากที่ช่วยข้า ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจ ทว่าเหตุใดใต้เท้าจึงปรากฏกายที่นี่ แม้ว่าที่นี่จะไม่มีผู้ใดคุกคามใต้เท้าได้ แต่ถ้าหากข่าวรั่วไหลออกไป อาจจะส่งผลเสียต่อใต้เท้า” เงามารกล่าวขอบคุณและกล่าวต่อไปด้วยความกังวล

“ข้ามาที่นี่เพราะความตั้งใจของข้า ข้าถามเจ้าก่อน เมื่อสักครู่มีคนผ่านจุดเชื่อมต่อด้านหลังเจ้าไปใช่หรือไม่” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวามองไปยังปากทางเข้าช่องทางสีเทา พลางถามด้วยท่าทางซับซ้อน

“มีกลุ่มมนุษย์ต่างเผ่าบุกรุกเข้าไป ครึ่งหนึ่งเป็นเผ่ามนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นเผ่าวิญญาณ และพวกเขาทั้งหมดยังอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป ข้าจึงไม่กล้าขัดขวางพวกเขา” ชายฉกรรจ์รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยิน ทว่าตอบกลับด้วยความสัตย์จริง

“เท่านี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะมอบหมายงานให้เจ้าปกปิดเรื่องที่มนุษย์ต่างเผ่าบุกรุกเข้าไปในจุดเชื่อมต่อ อย่าให้แดนศักดิ์สิทธิ์รับรู้เรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังไปได้ตลอด แต่ก็ปิดบังไว้ให้นานที่สุด เจ้าสามารถทำได้หรือไม่” นางออกคำสั่งอย่างเย็นชา หลังจากที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาครุ่นคิดสักครู่

“แม้ว่าเรื่องนี้ยากที่จะทำได้สักหน่อย แต่ผู้ตรวจตราข้าอีกคนหนึ่งถูกใต้เท้าฆ่าตายไปแล้ว ที่นี่จึงมีข้าเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้จึงน่าจะซ่อนได้นานหลายปี” แม้ว่าชายฉกรรจ์จะไม่ค่อยเข้าใจในเหตุการณ์มากนัก ทว่าเขากลับพูดอย่างมั่นใจ

“ดีมาก เฮยเอ้อ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” หลังจากที่หญิงสาวในชุดชาววังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางจึงออกคำสั่งโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา พร้อมทั้งเหาะไปยังปากทางเข้าจุดเชื่อมต่อ

การกระทำนี้ ทำให้สีหน้าของชายฉกรรจ์และเฮยเอ้อเปลี่ยนไปในทันที

หลังจากทั้งสองขยับปาก แต่ท้ายที่สุดกลับไม่พูดอะไรและแสดงทีท่ายินดี แววตาของอีกคนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และกัดฟันตามไปอย่างเงียบๆ

เมื่อเสียงกรีดร้องในจุดเชื่อมต่อดังขึ้นสองครั้ง หญิงสาวในชุดชาววังและชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำก็หายไปที่ปากทางเข้าอย่างไร้ร่องรอย

ชายฉกรรจ์จ้องมองไปยังปากทางเข้า ทว่าเมื่อกวาดสายตามองรอบๆ กลับพบเพียงความว่างเปล่า รอยยิ้มแห้งๆ จึงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ทันใดนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นพลางส่งเสียงคำราม

เมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง ทะลายหิน ทะลุฟ้า

เวลาผ่านไปสักครู่ ร่างในเมฆดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละคน และเผ่ามารที่กำลังขี่อสูรมารก็ค่อยโผล่ออกมาเช่นกัน

เมื่อชายฉกรรจ์เห็นเช่นนั้น จึงต้อนรับร่างที่อยู่ภายใต้อากาศสีดำอย่างไม่ลังเล

แดนมารที่ปลายจุดเชื่อมต่ออีกด้านหนึ่ง หลังจากเกิดความผันผวนระลอกหนึ่ง ร่างของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาและเฮยเอ้อปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงสีเทาอย่างเงียบๆ ทว่าทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว พวกเขาก็ถูกรายล้อมด้วยฝูงเผ่ามารเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

เมื่อเห็นเผ่ามารระดับกลางและระดับล่างที่ส่วนใหญ่มีบาดแผลบนร่างกาย หญิงสาวในชุดชาววังจึงพูดเบาๆ กับชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำว่า “ให้เป็นหน้าที่เจ้า” แล้วร่างของนางก็หายวับไปในอากาศ

เหลือเพียงชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำ เขากวาดสายตามองเผ่ามารที่อยู่รอบๆ และเมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ระดับผสานอินทรีย์ เขาจึงหัวเราะอย่างน่าสยดสยอง ปราณมารพลันพุ่งออกจากตัวของเขาและกระจายไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งกาน้ำชา บนเขาไม่ทราบชื่อที่ห่างออกไปกว่าหลายหมื่นลี้ เฮยเอ้อตามเป่าฮวาที่หายตัวมาอีกครั้ง พร้อมทั้งยืนทำความเคารพอยู่ข้างๆ นาง

“เจ้ากำลังกังวลว่าข้าจะพาเจ้ากลับไปแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ!” หญิงสาวในชุดชาววังมองป่าเขาที่มืดครึ้ม พลางถามออกมาอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ

“ข้ามิบังอาจ! นายท่านต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้” ชายฉกรรจ์ตื่นตระหนก และตอบกลับด้วยความหวาดกลัวในทันที

“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะมีความกลัวอยู่ในใจ แม้ว่าครานี้ข้าจะกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเสี่ยงอันตรายและอาจจะตายได้ ท้ายที่สุดนอกจากหลิ่วจี๋และคนผู้นั้น เทียนฉีและเฮ่อเหยียนสองคนนี้เกลียดชังข้ามาตลอด หากพบว่าข้ากลับแดนศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะไล่ล่าสังหารข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าทั้งสองจะไม่ใช่ปฐมบุรุษ แต่พลังยุทธ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า อิทธิฤทธิ์สามารถควบคุมข้าได้ และด้วยตัวข้าในตอนนี้ หากลงมือเพียงคนเดียว ข้ามิอาจมีชีวิตรอดเป็นแน่ ทว่าหากสองคนร่วมมือกัน อันตรายก็มีมากเช่นกัน” เป่าฮวาเหลือบมองเฮยเอ้อ พลางพูดอย่างใจเย็น

“ในเมื่อนายท่านรู้เช่นนี้ แต่ยังจะเสี่ยงอันตรายเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับผลการทำนายครั้งล่าสุด” เฮยเอ้อลังเลอยู่สักพัก จากนั้นจึงตอบกลับอย่างระมัดระวัง

“ถูกต้อง แต่เนื่องจากการทำนายไม่สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่กระนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้ลางสังหรณ์อะไรจากการทำนายครั้งนี้” หญิงสาวในชุดชาววังจ้องไปยังเฮยเอ้อ ด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ข้ารู้จักการทำนาย แต่กลับไม่มีความเข้าใจเลย นายท่านโปรดอธิบายให้ชัดเจนด้วย…” เฮยเอ้อตกตะลึง พลางยิ้มแห้งๆ ขณะพูด

“หากเจ้าไม่อยากเดาก็ไม่เป็นไร ไม่รู้ผลของการทำนายก็ไม่เป็นไร เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าก่อนที่กลุ่มคนด้านหน้าจะไปถึงจุดหมาย เจ้าจงอย่ารบกวนพวกเขา และอย่าให้พวกเขาเจอพวกเรา ปล่อยให้พวกเขาไปถึงที่หมายอย่างราบรื่น ยากจะพูดว่า พวกเรายังต้องแอบช่วยเหลือพวกเขา” แสงสีเงินในดวงตาของเป่าฮวาสว่างวาบ และนางก็พูดบางสิ่งออกมาที่ทำให้เฮยเอ้อตะลึงจนอ้าปากค้าง

“ในเมื่อนายท่านพูดเช่นนั้น ข้าก็จะทำ!” ท้ายที่สุดชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำยังคงเก็บความสงสัยไว้ในใจ

“อืม คราวนี้เจ้าออกมาทำงานอย่างหนักกับข้า ตราบใดที่ยังพยายามอย่างเต็มที่ต่อไป หากในภายภาคหน้าพบคอขวดในการบรรลุระดับมหายาน หลังจากที่ข้าฟื้นคืนพลังยุทธ์ได้ ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน” เป่าฮวาจ้องเข้าไปในดวงตาของเฮยเอ้อ และเป็นครั้งแรกที่นางมีสีหน้าจริงจัง