ตอนที่ 654 พลังความมืดอันน่าสะพรึงกลัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ท่านจอมยุทธ์ พวกเราขออภัยที่เข้าใจพวกท่านผิดไป”

ชาวเผ่าเลี่ยหยางล้วนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา เมื่อทราบความจริงว่าพวกเขาเข้าใจกลุ่มของฉินอวี้โม่ผิดไป พวกเขาก็กล่าวขอโทษทันที

หลัวจื้อเลี่ยไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดอีกต่อไปและเพียงส่งตัวบุรุษผู้นั้นให้ฉินอวี้โม่จัดการด้วยตัวเอง

ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนที่จะลงโทษเขาทว่าสั่งให้อสูรมายาทั้งหลายของตนพาตัวเขาเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนขอโทษแล้ว เราก็ไม่ติดค้างกับวาจาให้ร้ายที่ทุกคนกล่าวมาก่อนหน้านี้ ทว่าข้าอยากจะบอกทุกคนให้พึงระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่เห็นอาจมิใช่ความจริงเสมอไป”

หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไปหายตัวไปจากที่นี่ทันที

หลัวจื้อเลี่ยเองก็ผิดหวังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้และทำเพียงกวาดสายตามองทุกคนทิ้งท้ายก่อนจากไปพร้อมกับฉินอวี้โม่

* 恨铁不成钢 เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า อุปมาว่า ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้ การตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคน ๆ นั้นเพื่อหวังว่าคนนั้นจะได้ดิบได้ดีแต่ก็ไม่สำเร็จ

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่มองบุรุษผู้ที่ให้การช่วยเหลือตู้ซีรั่วก่อนหน้านี้และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าชอบตู้ซีรั่วใช่รึไม่ ?”

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว บุรุษผู้นั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยทันทีและความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้า

“โอ้ การชื่นชอบใครสักคนมิใช่เรื่องผิด ทว่าการชอบคนผิดนั้นถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ คนอย่างตู้ซีรั่วไม่คู่ควรกับความรู้สึกของเจ้าและไม่คุ้มค่าที่เจ้าจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อนาง แม้แต่ชนเผ่าของตนเอง นางก็ยังคิดคดทรยศได้ สตรีที่เอาแต่คิดหาทางกดขี่ข่มเหงผู้อื่นไม่คู่ควรกับบุรุษใด ๆ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ และไม่มีความคิดที่จะสังหารบุรุษผู้นี้ เขาเพียงช่วยตู้ซีรั่วเพียงเล็กน้อยและไม่สร้างปัญหาที่วุ่นวายเกินไปสำหรับพวกนาง ในทางกลับกัน การกระทำของเขาก็มีส่วนส่งผลให้แผนการของพวกนางดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเอาความทรงจำของหลัวจื้อเลี่ยกลับคืนมาจากตู้ซีรั่วได้สำเร็จ

“หากเจ้าชอบนางจริง เจ้าก็ควรหยุดนางให้ได้ มิใช่ช่วยเหลือส่งเสริมเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าหากเราชื่นชอบใครสักคน เราก็ควรขัดขวางมิให้คนผู้นั้นเดินไปในเส้นทางที่ผิด”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวแสดงความคิดในมุมมองของเขา การมีความรู้สึกชื่นชอบใครสักคนมิใช่ต้องอดทนและยอมช่วยเหลือเท่านั้น หากแต่เป็นความกล้าหาญในการขัดขวางพวกเขาจากการกระทำสิ่งที่ผิดพลาด หากปล่อยให้อีกฝ่ายก่อความผิดที่มิอาจให้อภัยได้ ความรู้สึกชื่นชอบนั้นก็จะไม่มีความหมายใด ๆ อีก

เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ บุรุษผู้นั้นก็มองเขาอย่างใช้ความคิดทันที

“หากข้าเป็นเจ้าและชื่นชอบนางจริง ๆ ข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งนาง ทว่าหากหยุดนางไม่ได้จริง ๆ ข้าก็จะเลือกสังหารนางเสียและฆ่าตัวตายตามไป”

ฉินอวี้โม่เองก็มีทัศนคติด้านความรักที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับหานโม่ฉือ ความรักหรือความชอบพอที่แท้จริงมิใช่แค่การอดทนทำตามเท่านั้น ทว่าเป็นการขัดขวางเช่นกัน

“เจ้าไปเถอะ”

ทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดอีกและสั่งให้เสี่ยวเฮยส่งตัวเขาออกไป ในขณะที่นางและหานโม่ฉือแยกไปพักผ่อนในห้อง

หลังจากอยู่ในเผ่าเลี่ยหยางนานหลายวันและหลัวจื้อเลี่ยจัดการความเรียบร้อยต่าง ๆ จนเสร็จสิ้น เขาก็นำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปสู่ภูเขาเอลฟ์ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ตั้งของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์

เพื่อความปลอดภัย ฉินอวี้โม่ก็สั่งให้อสูรหลายตัวของตนจับตาดูความเรียบร้อยอยู่ที่เผ่าเลี่ยหยาง หากเกิดเรื่องใดขึ้นในเผ่า พวกมันจะได้ยื้อเวลาไว้นานมากพอให้นางกลับมา

‘ภูเขาเอลฟ์’ คือภูเขาที่สูงที่สุดในชนเผ่าเอลฟ์ ภูเขาดังกล่าวไม่มีอสูรมายาใดดำรงอยู่ ทว่ามีสมุนไพรวิญญาณและวัตถุดิบหายากสำหรับหลอมโอสถมากมาย

เนื่องจากเป็นที่ตั้งของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จึงมิใช่ทุกคนที่สามารถขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ได้ นอกเหนือจากสมาชิกระดับสูงของชนเผ่าเอลฟ์ก็แทบไม่มีผู้ใดที่ขึ้นไปบนภูเขาและเข้าใกล้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้

หลังจากเดินทางนานสามวัน กลุ่มคนทั้งห้าก็ปรากฏตัวที่เชิงเขาของภูเขาเอลฟ์

บริเวณเชิงเขาถูกคุ้มกันด้วยผู้พิทักษ์สองกลุ่มซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันหน้าค่ายกลเคลื่อนย้าย แน่นอนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายดังกล่าวก็คือช่องทางที่นำไปสู่ภูเขาเอลฟ์

ทั้งภูเขาเอลฟ์ถูกปกคลุมไปด้วยผนึกทรงพลังอย่างมาก หากผู้ใดต้องการฝ่าผ่านผนึกของมันเข้าไป คนผู้นั้นอาจถูกพวกเอลฟ์ค้นพบก่อนที่จะทำได้สำเร็จด้วยซ้ำ

“คารวะท่านผู้อาวุโส”

เมื่อพบหน้าหลัวจื้อเลี่ยและคณะ ผู้พิทักษ์ทั้งสองกลุ่มก็กล่าวพร้อมคำนับอย่างเคารพ แทบไม่มีผู้ใดในชนเผ่าเอลฟ์ที่ไม่รู้จักผู้นำหลัวจื้อเลี่ยผู้ทรงพลังและเลื่องชื่อผู้นี้ สำหรับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แม้ผู้พิทักษ์เหล่านี้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกนางเป็นใคร พวกเขาก็คาดเดาได้ว่าผู้ที่อยู่กับหลัวจื้อเลี่ยจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอก”

หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะก่อนนำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย

“นายท่าน ช้าก่อนขอรับ”

ทว่าก่อนจะเข้าไปใกล้ ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาขวางหน้าทุกคนและมองหลัวจื้อเลี่ยด้วยสีหน้าแววตาประหม่าเป็นกังวล

“มีอะไรรึ ?”

หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามทันที น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความดุดันและหนักแน่น

“นับตั้งแต่ที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มแห้งเหี่ยว องค์ชายใหญ่ก็สั่งกำชับมิให้ผู้ใดเข้าไปข้างในโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตขอรับ”

บุรุษผู้นั้นสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลัวจื้อเลี่ยและหลังจากกล่าวประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงประหม่า เหงื่อก็เริ่มผุดทั่วหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว

“เหอะ ข้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าชนเผ่าเอลฟ์ของเรามีกฎเช่นนั้นอยู่ ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่มีสิทธิ์สั่งการข้าได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?!”

หลัวจื้อเลี่ยแค่นเสียงเย้ยหยันและไม่เห็นหัวหลัวหมิงรุ่ยแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงองค์ชายใหญ่ของเอลฟ์เท่านั้นและหลัวจื้อเลี่ยไม่สนใจคำสั่งของเขาแม้แต่น้อย

ทัศนคติที่หนักแน่นของหลัวจื้อเลี่ยทำให้เหล่าผู้พิทักษ์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที หากเปิดทางให้หลัวจื้อเลี่ยผ่านไปได้ มันจะเป็นการละเมิดคำสั่งขององค์ชายใหญ่โดยตรง ด้วยลักษณะนิสัยของหลัวหมิงรุ่ย เกรงว่าเขาจะไม่ปล่อยผู้พิทักษ์เหล่านี้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน

“พวกเจ้าจงอย่าลืมว่าข้าเป็นใคร !”

หลัวจื้อเลี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งจนเหล่าผู้พิทักษ์ไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและหลีกทางให้หลัวจื้อเลี่ย ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ผ่านเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที

ในชนเผ่าเอลฟ์แห่งนี้ นอกเหนือจากราชินีเอลฟ์ ผู้นำเผ่าเลี่ยหยาง—หลัวจื้อเลี่ยคือผู้ที่มีสถานะสูงสุด สิ่งนี้ประจักษ์ต่อเอลฟ์ทุกชีวิตในชนเผ่าเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงบารมีและกิตติศัพท์ของหลัวจื้อเลี่ยก็สูงส่งยิ่งกว่าราชินีผู้ปกครองเอลฟ์เสียอีก หากมิใช่เพราะเขา ชนเผ่าเอลฟ์ก็คงจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา

เมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษผู้นี้ คำสั่งจากองค์ชายใหญ่มิใช่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงด้วยซ้ำ

เมื่อก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ฉินอวี้โม่และทุกคนมองก็เห็นเพียงแสงสว่างจ้าก่อนสิ่งแวดล้อมโดยรอบจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ สภาวะพลังที่เคยน้อยนิดในตอนแรกก็หนาแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน ภูเขาแห่งนี้มีความสูงไม่มากนักทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ณ ยอดเขาตรงหน้าทุกคนเวลานี้ก็มีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าปรากฏอยู่ซึ่งดูแข็งแกร่งและลึกลับอย่างยิ่ง

ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้คือต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชนเผ่าเอลฟ์และมันก็เป็นตัวแทนของความอยู่รอดของชาวเอลฟ์ทั้งชนเผ่าเช่นกัน

“เฮ้อ สภาวะพลังที่ภูเขาแห่งนี้เจือจางลงกว่าก่อนหลายเท่าตัวนัก”

หลัวจื้อเลี่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ คราสุดท้ายที่เขามาที่ภูเขาเอลฟ์แห่งนี้คือเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขายังจำได้ดีว่าครานั้นสภาวะพลังบนภูเขาแห่งนี้อุดมสมบูรณ์อย่างที่สุดและมีทรัพยากรที่วิเศษวิโสอยู่มากมาย ทว่าภูเขาเอลฟ์ในวันนี้ แม้ยังคงมีสภาวะพลังที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอก ทว่ามันก็ลดน้อยลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก

ขณะก้าวเดินตรงไปยังยอดเขา ฉินอวี้โม่และทุกคนก็พบกับวัตถุดิบหายากสำหรับหลอมโอสถตามสองข้างทางมากมาย วัตถุดิบหลากหลายชนิดที่หาไม่ได้จากโลกภายนอกกลับมีอยู่อย่างมหาศาลและพบได้ทั่วไปในภูเขาแห่งนี้ เพียงแต่สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากบางสิ่งบางอย่างและฉินอวี้โม่มองเห็นร่องรอยของพลังสีดำประหลาดเจือปนอยู่บนพวกมัน

“นายหญิง สิ่งนี้เหมือนจะเป็นพลังความมืด”

ทันใดนั้น ร่างของเสี่ยวม่านก็ปรากฏข้างกายของฉินอวี้โม่และกล่าวตอบข้อสงสัยของนาง แน่นอนว่าอสูรพฤกษาอย่างมันทราบเรื่องเหล่านี้ดีที่สุด มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อบอุ่นสบายตัวอย่างยิ่งในภูเขาแห่งนี้ เพียงแต่มันมีกลิ่นอายสกปรกบางอย่างที่ปนเปื้อนในกลิ่นอายที่อบอุ่นเหล่านั้นจนกลายเป็นความรู้สึกที่อึดอัดอย่างมาก

คำพูดของเสี่ยวม่านทำให้ฉินอวี้โม่คาดเดาบางอย่างในใจได้ทันที สิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชนเผ่าเอลฟ์และต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่น่าหวาดหวั่นบางอย่างของฝ่ายมารและนั่นก็คือบุปผาแห่งความมืดที่ยังเบ่งบานไม่เต็มที่นั่นเอง

เมื่อเข้าใกล้ยอดเขาโดยไม่เผชิญกับอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางใด ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มองเห็นต้นไม้ใหญ่ทึบและสูงตระหง่านได้อย่างชัดเจน ลำต้นของมันมีขนาดใหญ่จนแม้แต่คนสิบคนก็โอบรอบจนมิดไม่ได้ กิ่งก้านแต่ละกิ่งของมันหนาใหญ่เท่ากับตัวคน แม้แต่ใบของมันก็มีขนาดใหญ่จนดูเหมือนใบกล้วย ลักษณะทุกอย่างของต้นไม้ต้นนี้ดูน่าตื่นตาอย่างที่สุด

“ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์นี้คงอยู่เคียงคู่มาตั้งแต่ชนเผ่าเอลฟ์ของเราถือกำเนิด แม้แต่ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันดำรงอยู่มานานเพียงใด ทว่าตอนนี้การที่มันกำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานครั้งใหญ่ หากบรรพบุรุษของเรารู้เข้า เกรงว่าพวกเขาคงโทษว่าพวกเราดูแลรักษามันได้ไม่ดีพอ…”

หลัวจื้อเลี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจขณะลูบไล้ตามลำต้นหนาด้วยความกังวล

“นายหญิง ท่านเห็นรึไม่ว่าใบของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและกิ่งก้านเริ่มแสดงสัญญาณของการเหี่ยวแห้งโรยรา มันน่าจะเป็นเพราะถูกปนเปื้อนโดยพิษบางอย่าง”

เสี่ยวม่านวนรอบลำต้นเพื่อสำรวจดูลักษณะต่าง ๆ พักใหญ่ก่อนเหาะขึ้นกลางอากาศและพบความประหลาดของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันก่อนมองกลับไปที่ต้นไม้และกล่าว “มันน่าจะเกี่ยวข้องกับบุปผาแห่งความมืด ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้คงจะแปดเปื้อนไปด้วยพลังความมืด”

เป็นจริงดังที่คิดไว้ คำกล่าวที่ว่าบุปผาแห่งความมืด บุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์เป็นพืชสามชนิดที่อยู่ในระดับสูงสุดของพืชทั้งปวง และเพียงแค่การที่ฝ่ายมารให้ความสำคัญกับบุปผาแห่งความมืดอย่างมากก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงข้อนี้เช่นกัน

“บุปผาแห่งความมืด ? สิ่งนั้นกลับมาอีกแล้วรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ หลัวจื้อเลี่ยก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาทราบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับบุปผาแห่งความมืด การที่จู่ ๆ ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยแข็งแกร่งกลับโรยราอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาตั้งข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ไว้มากมาย ทว่าไม่คิดว่าจะเป็นเพราะบุปผาแห่งความมืด หากเป็นเพราะบุปผาแห่งความมืดจริง สิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือว่าสมเหตุสมผลทีเดียว

ถึงอย่างไร หลัวจื้อเลี่ยก็เคยสัมผัสกับความน่าสะพรึงกลัวของบุปผาแห่งความมืดมาก่อน ถึงแม้ว่าต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จะมีอายุยาวนานกว่าพันปี มันก็มิใช่คู่ต่อสู้ของบุปผาแห่งความมืด

“เมื่อพันปีก่อน ฝ่ายมารพึ่งพาพลังของบุปผาแห่งความมืดในการต่อสู้กับฝ่ายเราได้อย่างไม่เสียเปรียบ หากมิใช่เพราะเทพมายารวมพลังกับราชินีเหมันต์และผู้แกร่งกล้าคนอื่น ๆ ในดินแดนเพื่อกำจัดบุปผาแห่งความมืดให้ได้ก่อน การต่อสู้ในครานั้นก็ยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะคว้าชัยชนะ”

เมื่อพันปีก่อน ด้วยการอาศัยพลังอันชั่วร้ายของบุปผาแห่งความมืด ขุมกำลังมารร้ายก็เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือกว่า ด้วยการที่มีบุปผาแห่งความมืด พลังมายาของพวกเขาก็จะได้รับการเติมเต็มอย่างต่อเนื่องจนไม่รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงแม้แต่น้อย

“ถ้าเช่นนั้นเราจะแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร ?”

หลัวหมิงฮ่าวกล่าวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในเมื่อสถานการณ์เลวร้ายถึงเพียงนี้ การคิดหาทางแก้ไขมันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

.