การไล่ล่าดำเนินไปถึงหนึ่งเดือนเต็ม ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะถึงขีดจำกัดและจิตใจของเขาก็ใกล้จะหลุดลอยเต็มที พายุสายฟ้าที่ไล่ตามมาก็เริ่มแสดงอาการสลายตัว ราวกับว่าระยะเวลาการไล่ล่าของพวกมันถูกกำหนดไว้แล้ว และเวลาดังกล่าวก็ใกล้มาถึงจุดจบ หวังเป่าเล่อเริ่มใจชื้นเมื่อเห็นว่าพายุกำลังจะซาไป ชายหนุ่มใช้กำลังเฮือกสุดท้ายพุ่งตัวหนี จนกระทั่งสามวันให้หลัง สายฟ้าเส้นสุดท้ายก็สลายหายไป
หวังเป่าเล่อหันหลังไปจ้องมองจักรวาลที่ว่างเปล่า มันกลับคืนมาเงียบสงบเหมือนเก่าก่อน ชายหนุ่มมีความรู้สึกเหมือนเพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้กระนั้น ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกโทสะอันแรงกล้าเข้าครอบงำ หวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอพรใดๆ อีกต่อไปหากไม่จำเป็นจริงๆ!
“ช่างเป็นขวดที่โง่เง่าอะไรอย่างนี้!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยความโมโห ชายหนุ่มหาสะเก็ดดาวมาได้ชิ้นหนึ่งก่อนจะนั่งลงพักหายใจ เขาสัมผัสได้ว่าตนเองอยู่ใกล้เส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้วในเวลานี้
*คงต้องใช้เวลาอีกราวสามวันจึงจะไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พายุสายฟ้าพวกนั้นหายไปได้ถูกเวลาเสียจริง…*หวังเป่าเล่อถอนใจ หลังจากที่นั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ลอบมองลงไปในกระเป๋าคลังเก็บของตน ด้วงสีทองที่ยึดมาจากตันโจวจื่อกำลังพักผ่อนอยู่ภายใน มันดูใกล้จะขาดใจเต็มทน
หวังเป่าเล่อป้อนผลึกสีชาดเพื่อช่วยให้มันมีชีวิตอยู่ได้ ขณะนี้เมื่อหวังเป่าเล่อพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เขาก็ส่งดวงจิตเทพของตนเข้าไปในตัวด้วงแล้วพยายามใส่เจตจำนงของเขาเข้าไปในสิ่งมีชีวิตตัวนี้ การทำเช่นนี้เป็นการบังคับให้ด้วงคิดว่าเขาเป็นเจ้านายมันและมอบอำนาจควบคุมให้หวังเป่าเล่อ
แม้ว่าด้วงจะอ่อนแรงเพียงใด แต่จิตใจของมันก็ยังต่อต้านการรุกรานของชายหนุ่ม เขาสัมผัสได้ถึงดวงจิตอันแข็งกล้าที่ต้านทานการถูกกดขี่เอาไว้ ดูเหมือนว่าด้วงตัวนี้เตรียมใจพร้อมที่จะตายดีกว่ายอมตกเป็นทาสของหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มขัดเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง เขาถูกสายฟ้าไล่ล่ามาแรมเดือนและรู้สึกอารมณ์เสียเพราะเรื่องนั้นมากพออยู่แล้ว การต่อต้านของด้วงสีทองทำให้ชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ หวังเป่าเล่อคิดว่าต้องทำให้ด้วงเห็นว่าใครกันแน่ที่ใหญ่
“จงตื่นขึ้น…” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างใจเย็นเพื่อปลุกพลังของบทสวดแห่งเต๋า
ไม่นานนัก พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ก็พุ่งลงมาจากจุดที่ห่างไกลในอวกาศอันไกลโพ้น พลังอันยิ่งใหญ่พวยพุ่งลงมาใส่…แมลงตัวเล็กจ้อย
ด้วงสีทองที่ดื้อดึงอยู่เมื่อครู่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาทันที มันละทิ้งการต้านทานทั้งหมดก่อนจะตัวสั่นงันงก หวังเป่าเล่อที่ตอนนี้มีความสุขสุดๆ เริ่มส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปในตัวมัน
“ในที่สุดก็เข้าใจแล้วสินะว่าแถวนี้ใครใหญ่” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะโบกมือครั้งหนึ่ง ตัดสินใจออกจากสะเก็ดดาวแล้วเริ่มเดินทางต่อไป พลังของบทสวดแห่งเต๋าเริ่มจางหาย แต่ก่อนที่จะได้ออกจากสะเก็ดดาว ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเย้ยหยันอยู่ในหู
ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะลอยออกมาจากมุมที่ห่างไกลในจักรวาล ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากจักรวาลแห่งนี้ มันดูเหมือนมาจากแหล่งเดียวกันกับพลังของบทสวดแห่งเต๋า หวังเป่าเล่อตัวสั่นขึ้นมาทันที ความตื่นตกใจฉายชัดบนใบหน้า ชายหนุ่มรีบมองไปรอบกาย หัวใจเต้นระรัว
หลังจากที่ค้นหาไปทั่วจักรวาลด้วยความหวาดกลัวและกังวล สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ยกมือปาดจมูกก่อนจะเผ่นออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว เขายังคงระแวดระวังและเครียดขึงจนกระทั่งเดินทางออกห่างจากสะเก็ดดาวมาได้ระยะหนึ่ง เมื่อถึงตรงนั้นชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาได้
*ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้บทสวดแห่งเต๋าอย่างระวังสักหน่อยแล้ว ข้ารู้สึกว่า…ตัวตนปริศนาในบทสวดอาจจะตื่นขึ้นมาจริงๆ หากข้าเรียกมันต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้…*หวังเป่าเล่อหน้าจ๋อย ชายหนุ่มพยายามจะคิดเผื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาดังกล่าว หากมียุงมาบินหึ่งๆ อยู่รอบตัวขณะที่เขากำลังจะหลับ สิ่งแรกที่ชายหนุ่มจะทำเมื่อตื่นขึ้นมาก็คือ…ตบยุงตัวนั้นให้แหลกคามือไป
ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อกลัวขึ้นมาจับใจ ชายหนุ่มทอดถอนใจอยู่ซ้ำๆ ขณะเดินทางตรงไปยังเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หลายวันต่อมา เขาก็มาถึงที่หมาย หวังเป่าเล่อวางความคิดน่าเศร้าที่รบกวนจิตใจของเขาลงก่อนจะหรี่ตา มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มจ้องมองอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตรงหน้า
“ข้ากลับมาแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มถูกบีบให้หนีตาย แถมยังถูกศัตรูไล่ล่าอย่างไม่ลดละ เมื่อกลับมาครั้งนี้ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยมากมายไม่รู้จบ!
หากข้าสังหารเหออวิ๋นจื่อได้ ข้าจะได้ควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้จริงหรือ
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เก็บซ่อนความจริงอะไรเอาไว้กันแน่ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ข้าติดกับจริงๆ หรือ
มีอะไรสำคัญๆ เกิดขึ้นที่นี่ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ไหมนะ
หวังเป่าเล่อตัดสินใจแม้ว่าจะยังมีความไม่แน่ใจมากมายอยู่ในศีรษะ!
ชายหนุ่มตัดสินใจว่า…เขาจะแค่กลับมาเฉยๆ ไม่ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มได้เปรียบที่ศัตรูไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว และหากโผล่กลับมาเฉยๆ ก็จะเป็นการโยนความได้เปรียบนั้นทิ้งไป อีกแง่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ไม่ต้องการให้ทุกคนไม่รับรู้ว่าตนกลับมาแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะดูคล้ายเป็นข้อได้เปรียบ แต่ชายหนุ่มก็จะไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ เลย หากไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาแล้วเริ่มก่อเรื่องเพราะการกลับมาของเขา!
*ข้าจะต้อง…หลอมร่างอวตารแล้วเอาไปวางไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อให้คนเห็น!*หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เรื่องความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแล้วหรือไม่ ชายชราอยู่ห่างจากสำนักไปไกลพอสมควรตอนที่ตาย จึงน่าจะมีผลต่อการส่งข่าวอยู่บ้าง
ต่อให้ข่าวการตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปถึงหูสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไร เพราะสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ล่วงรู้ว่าตัวเขาตอนนี้บรรลุขั้นจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่ชั้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
แปลว่าต่อให้ร่างอวตารที่ข้าหลอมขึ้น…อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางก็ไม่สำคัญ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็คงจะไม่สงสัยอะไร เพราะอย่างไรเสีย ต่อให้คนเหล่านั้นรู้ว่าข้าแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับดาวพระเคราะห์ในยามต่อสู้ พวกเขาก็รู้ดีว่าข้าอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ควรจะหลบหนีอยู่ในตอนนี้ ต่อให้ข้าสลัดผู้ติดตามหลุดได้และกลับมาอย่างปลอดภัย…ข้าก็คงต้องสละอะไรไปมากมายเพื่อที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ การที่ข้ากลับมาในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางจึงสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง! นัยน์ตาของชายหนุ่มหรี่ลงขณะที่คิดใคร่ครวญเรื่องแผนการ แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด
หลังจากที่สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างว่องไว กายเนื้อของหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือน ก่อนจะมีร่างอวตารก้าวออกมาจากร่างเขาในอึดใจต่อมา ร่างอวตารนี้มีสารัตถะของหวังเป่าเล่ออยู่หนึ่งในสาม แม้จะดูเหมือนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง แต่พลังจริงๆ เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนในขั้นปราณเดียวกันไปมาก ต่อให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ยังสู้ไม่ได้
หลังจากตรวจตราโดยละเอียด ร่างสารัตถะที่แท้จริงก็หวังเป่าเล่อก็จางหายกลายเป็นหมอก รัศมีที่ปล่อยออกมาถูกซุกซ่อนเอาไว้จนหมด
ชายหนุ่มเข้าควบคุมร่างอวตารก่อนจะเร่งความเร็วเต็มที่ มุ่งตรงไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะที่เร่งความเร็วเข้าไปยังอารยธรรมนั้น เขายังพยายามซ่อนตัวตนของร่างอวตารอย่างลวกๆ แน่นอนว่าการซ่อนตัวเช่นนี้ย่อมไม่พ้นหูพ้นตาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ไปได้ อาจหลบเลี่ยงได้บ้างหากอีกฝ่ายกำลังเสียสมาธิ แต่ทันทีที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่งสัมผัสสวรรค์ออกตรวจทั่วอารยธรรม ก็ย่อมพบหวังเป่าเล่ออย่างแน่นอน
หวังเป่าเล่อรออยู่ชั่วขณะก่อนค่อยๆ นำร่างสารัตถะที่แท้จริงเข้าไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ไปคนละทางกับร่างอวตารซึ่งตอนนี้ราวกับเปลวไฟ ยิ่งมันลุกไหม้โชติช่วงเพียงใด ก็ยิ่งดึงความสนใจจากคนอื่นๆ ได้มากเท่านั้น และช่วยให้ร่างจริงปลอดภัยมากขึ้นพอกัน!
ทว่าต่อให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ระมัดระวังตัวและสัมผัสถึงร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางของหวังเป่าเล่อไม่ได้ เป้าหมายของชายหนุ่มที่จะซ่อนร่างสารัตถะของตนเอาไว้ก็คงจะสำเร็จลุล่วงอยู่นั่นเอง
นั่นเพราะหวังเป่าเล่อไม่แน่ใจสถานการณ์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขณะนี้ แถมยังไม่อาจเชื่อใจปรมาจารย์มหาทัณฑ์หรือใครคนใดในอารยธรรมได้เลย ชายหนุ่มจึงต้องส่งร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางไปเป็นตัวล่อ ในขณะที่ร่างจริงนั้นเคลื่อนที่มุ่งไปหาดารานิรันดร์
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าใกล้ดารานิรันดร์มากเกินไป เขาสัมผัสได้ว่ามันได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็ตั้งค่ายอยู่บนนั้นด้วย ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อไปซ่อนอยู่ในสะเก็ดดาวชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ดารานิรันดร์ จากนั้นเขาจึงส่งสมาธิทั้งหมดไปควบคุมร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง
ชายหนุ่มจะส่งเหยื่อล่อตัวนี้ออกไป เพื่อล่อปลาตัวใหญ่ให้มากินเบ็ด!
หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ตัวว่าข้าได้กลับมาแล้ว ข้าก็จะส่งร่างอวตารไปหาปรมาจารย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การไปปรากฏต่อหน้าตรงๆ อาจจะน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่เป็นไร!
แต่หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รู้สึกถึงร่างอวตารของข้าแล้วพยายามจับกุม ก็ถือเป็นโอกาสที่จะได้เห็นว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์มีท่าทีอย่างไร การต่อสู้ที่ตามมาจะทำให้ข้ารู้ว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร!
เมื่อวางแผนเสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็ซ่อนทั้งรัศมีของร่างสารัตถะและร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเอาไว้ ขณะที่ปล่อยร่องรอยของร่างอวตารให้แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล ขณะที่ตัวเขาเองสำรวจสถานะปัจจุบันของอารยธรรม
การสืบหาว่าสถานการณ์ปัจจุบันในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเช่นไรสำหรับหวังเป่าเล่อแล้วไม่ใช่เรื่องยาก ร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางของเขาสามารถแปลงกายได้ ในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เขาจากอารยธรรมนี้ไป สงครามระหว่างกองกำลังร่วมสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องหยุดลงชั่วคราวเพราะแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
แต่พวกเขายังคงอยู่ในสภาวะสงคราม อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แตกแยกเป็นสอง ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ภายในอารยธรรมและหลอมวงแหวนปราณป้องกันรอบดวงเนตรดารานิรันดร์เอาไว้ ความช่วยเหลือระลอกสองของอารยธรรมครามทองคำยังไม่ปรากฏ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ยังไม่ถูกเปิดเป็นครั้งที่สอง