ตอนที่ 451 กฎเกณฑ์ โดย Ink Stone_Fantasy
มีคำเล่าลือว่าหลิวป๋อเวินแห่งราชวงศ์หมิงเป็นคนในสำนักเชียน หลังจากถูกจูหยวนจางล่วงรู้ถึงแผนการแล้ว สำนักเชียนก็สิ้นสุดลงที่รุ่นเขา นับแต่นั้นมาก็ไม่มีคนในสำนักเชียนสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้อีกเลย
ตั้งแต่เริ่มต้นราชวงศ์ชิง นักต้มตุ๋นบางส่วนในยุทธภพต่างเรียกตัวเองว่าเป็นคนในสำนักเชียนเพื่อโอ้อวดศักดา เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สายตาที่ผู้คนมองต่อสำนักเชียนจึงเริ่มเปลี่ยน และมักเอาชื่อสำนักเชียนไปเทียบเคียงกับพวกต้มตุ๋น
แต่เยี่ยเทียนกลับรู้ว่า สำนักเชียนแม้จะไม่ได้ตกต่ำไปกว่าสำนักพยากรณ์เสื้อป่านของเขา แต่ก็คงอยู่ยั้งมาอย่างยาวนาน กระทั่งปัจจุบันยังคงหลงเหลืออยู่บนโลก เพราะเยี่ยเทียนเคยติดตามนักพรตเฒ่าแล้วพบกับผู้สืบทอดสำนักเชียนในปัจจุบัน
ดังนั้นที่เปาเฟิงหลิงบอกว่าตัวเองมาจากสำนักเชียน เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ สำนักต้มตุ๋นก็คือสำนักต้มตุ๋น ไม่จำเป็นต้องลากสำนักเชียนเข้ามาเกี่ยวพันด้วย สำนักอาชีพล่างเก้าสาย ในยุทธภพพวกนี้ ไม่มีทางโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ในสมัยโบราณ ชนชั้นในสังคมแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่างอย่างละเก้าสาย ทว่าคนในยุทธภพแบ่งออกเพียงบนและล่างอย่างละเก้าสาย
อาชีพอย่างพระสงฆ์ นักพรต จิตรกร แพทย์ หมอดูฮวงจุ้ย ผู้ทำนายดวงชะตา พ่อครัว ครูอาจารย์ ล้วนเป็นเก้าอาชีพสายบน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของคนเหล่านี้จะสูงส่งมากนัก เพียงแต่ไปมาหาสู่กับสังคมหลักมากกว่า อาศัยความสัมพันธ์ก้าวหน้าได้
ทว่าเก้าอาชีพสายล่างคือนักแสดง นางทาส นางคณิกา นักเลงหัวไม้ โรงรับจำนำ โรงอาบน้ำ ช่างไม้ โจรขโมย อาชีพอย่างพวกนักต้มตุ๋นก็ถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกับอันธพาลในเก้าอาชีพสายล่างนั่นเอง
“หัวหน้าจี๋ของพวกเราเป็นผู้สืบทอดสำนักเชียนจริงๆ เขายังใช้วิชาเทพเซียนได้ด้วยครับ สหายท่านนี้ หาเงินข้ามเขตเป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ว่าผมแนะนำให้คุณปล่อยพวกเราดีกว่า ทุกคนจะได้มีสันติภาพต่อกัน!”
เมื่อพูดถึงหัวหน้าของตัวเอง เปาเฟิงหลิงดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาการระแวดระวังเมื่อครู่ล้วนหายไปจนหมด ทั้งยังกล้าออกปากข่มขู่เยี่ยเทียน
“วิชาเทพเซียน? ฉันก็ใช้วิชาเทพเซียนได้เหมือนกันนะ? จะแสดงให้ดูเอาไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนตอบอย่างหงุดหงิด “เลิกเล่นลิ้นกับฉันสักที เอาเงินออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันตัดมือแกไปข้างหนึ่ง ถ้ายังไม่เอาออกมาล่ะก็ จะให้หัวหน้าของพวกแกมารับศพ ดูสิว่าวิชาเทพเซียนของเขาจะชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตได้ไหม?!”
ขณะที่เยี่ยเทียนพูดไม่ได้กลบเกลื่อนจิตสังหารของตนเองเลยแม้แต่น้อย ไอชั่วร้ายนั้นแผ่เข้าไปยังในร่างของเปาเฟิงหลิง จนเขารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาฉับพลัน สั่นสะท้านไปทั้งเนื้อตัว
“เยี่ยเทียน นี่…”
“น้องชาย ดูเฉยๆ ก็พอ!”
เยี่ยตงผิงไม่เคยเห็นท่าทีของลูกชายอย่างนี้มาก่อน ใช้กฎหมู่หั่นมือของคนอื่น นี่นับว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังจะออกไปเตือนสักคำ กลับถูกหูหงเต๋อรั้งเอาไว้
“ท่าน…ท่านปู่ พวกเรา…พวกเราสองคนเหลืออยู่เพียงสองล้านเท่านั้น เงินที่เหลือ ยกให้หัวหน้าจี๋ไปหมดแล้วจริง ๆ…”
บนโลกนี้คนที่สามารถต้านทานจิตสังหารของเยี่ยเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อเปาเฟิงหลิงรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้สามารถฆ่าพวกเขาได้จริงๆ จึงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป เล่าเรื่องออกมาอย่างตรงไปตรงมา
หัวหน้าจี๋ที่พวกเขาพูดถึง เป็นชาวเจียงซี ปีนี้อายุประมาณห้าสิบกว่า เปิดร้านน้ำชาอยู่ที่หนานชาง มณฑลเจียงซี แน่นอนว่าทำการค้าเพื่อบังหน้าเท่านั้น
ในความเป็นจริงหัวหน้าจี๋กลับเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมสำนักต้มตุ๋นที่กว่างตงและเซี่ยงไฮ้สองพื้นที่นี้ในมณฑลเจียงซีและหูหนาน คดีหลอกลวงต้มตุ๋นที่เกิดขึ้นในสองมณฑลนี้ โดยหลักแล้วล้วนอยู่ภายใต้สำนักของเขา
เมื่อห้าปีที่แล้ว หัวหน้าจี๋รู้สึกว่าพื้นที่หากินไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงเสาะส่ายสายตาเพ่งเล็งมายังตลาดที่ว่างทางเหนือ ส่งแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาออกมาสองคน ซึ่งก็คือเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อนั่นเอง
และสองคนนี้ก็ไม่ได้พังทลายความคาดหวังยิ่งใหญ่ของหัวหน้าจี๋ ปักหลักในเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งคนหนึ่งยังค้าขายวัตถุโบราณ ส่วนอีกคนเนื่องจากพอเป็นภาษากวางตุ้ง ในปีนั้นจึงผันตัวไปเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงผู้โด่งดัง
แรกเริ่มทั้งสองคนทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็พอหาเงินได้นิดหน่อย แต่เพียงไม่นานก็ไม่พอกิน จึงกลับมาหารือกับหัวหน้าจี๋ที่มณฑลเจียงซี แล้วจับตามองตลาดค้าวัตถุโบราณที่นับวันยิ่งเฟื่องฟู
ด้วยเงินทุนของหัวหน้าจี๋ ทำให้สองคนตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ตีสนิทพ่อค้าของเก่าในเมืองหลวงสักจำนวนหนึ่ง รอจนกระทั่งเวลาสุกงอมได้ที่ ค่อยเจรจาการค้าครั้งใหญ่แล้วบินหนีจากไป
รอเวลาถึงสามสี่ปี เปาเฟิงหลิงที่รู้สึกว่าสมควรแก่เวลา จึงเริ่มวางตาข่ายในที่สุด และคนแรกที่เข้าไปตกหลุมพรางนั้นก็คือเยี่ยตงผิง
หลังจากได้รับเงินสามสิบล้านก้อนนั้นของเยี่ยตงผิงแล้ว เปาเฟิงหลิงก็เอายี่สิบแปดล้านส่งให้หัวหน้าจี๋ทันที จากนั้นทิ้งห้องเช่าที่อยู่มาสามปี มาหลบอยู่ในโรงแรมนี้กับหลิวเหล่าเอ้อ
หลังจากฟังที่เปาเฟิงหลิงว่ามาจนจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วถาม “จากความเคยชินของสำนักต้มตุ๋นอย่างพวกแก หลังทำสำเร็จแล้วควรจะหนีไปทันทีไม่ใช่เรอะ? ทำไมผ่านไปสองวันแล้วยังอยู่ในเมืองหลวงอีก?”
เปาเฟิงหลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ พูดว่า “ตอนนั้นพวกเราวางหลุมพรางไว้ทั้งหมดห้าคน ดักคนอื่นได้อีกสองคนแล้ว พวก…พวกเราอยากจะเจรจาค้าขายให้ได้อีกก้อนหนึ่ง พอถึงเวลาค่อยกลับไป”
เรื่องเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้ พวกสำนักต้มตุ๋นนี้กระทำการหลอกคน จะไม่วางไข่ไก่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียว ต่อให้หลอกเยี่ยตงผิงไม่สำเร็จ พวกเขาก็ยังสามารถฉวยเงินจากคนอื่น
เพียงแต่ว่านี่ก็คือมนุษย์ ล้วนหลีกไม่พ้นคำว่าละโมบ สำนักต้มตุ๋นล่อลวงคนโดยใช้ประโยชน์จากความโลภของคนมาหลอก สุดท้ายแล้วกระทั่งตัวเองกลับติดอยู่ที่คำนี้
ที่สำคัญ ถ้าหากเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อบินหนีจากไปในทันที แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีความสามารถ ก็ยังยากจะเจอที่ซ่อนตัวที่แน่ชัดของพวกเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่อาจคว้าตัวออกมาได้เร็วอย่างนี้
“เหล่าหู ชื่อหัวหน้าจี๋ที่มณฑลเจียงซี คุณเคยได้ยินไหมครับ?” เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองหูหงเต๋อ เมื่อสมัยปี 80 ที่เขาตะลอนกับนักพรตเฒ่าเคยไปยังมณฑลเจียงซี แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้
“ไม่เคย เหล่าหูอย่างฉันคนนี้ออกจากเขตตะวันออกเฉียงเหนือน้อยมาก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” หูหงเต๋อส่ายหน้า
“งั้นเดี๋ยวถามศิษย์พี่เอาแล้วกัน”
เยี่ยเทียนมองยังเปาเฟิงหลิง กล่าวว่า “การกระทำของสำนักต้มตุ๋นไม่เกี่ยวกับฉัน แต่มาทำการค้าบนหัวฉัน จึงไม่เกี่ยวไม่ได้”
เมื่อเห็นพวกเปาเฟิงหลิงเผยสีหน้าตื่นตระหนก เยี่ยเทียนก็โบกมือพูด “พวกแกไม่ต้องกลัวไป โทรศัพท์หาหัวหน้าจี๋ซะ ขอเพียงเรื่องนี้จัดการเรียบร้อย สิ่งที่ฉันต้องการอย่างมากก็แค่มือข้างหนึ่งของแก ด้วยวิธีการของแพทย์ปัจจุบัน เส้นเอ็นมือที่ขาดก็ยังสามารถเชื่อมติด!”
ในยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ เมื่อทำความผิด ก็จำเป็นต้องรับโทษทัณฑ์ ต่อให้หัวหน้าจี๋นำเงินออกมา ทั้งสองคนนี้ก็ยังไม่อาจเลี่ยงถูกตัดเอ็นข้อมือ
แต่ว่าโทษทัณฑ์ที่เยี่ยเทียนพูดถึงนับว่าเบาที่สุดแล้ว ถ้าหากเผชิญกับพวกโหดเหี้ยมอำมหิตในยุทธภพเดียวกัน ย่อมหนีไม่พ้นโดนตัดแขนตัดขา
เปาเฟิงหลิงทำวงการนี้มาหลายปีแล้วเช่นกัน รู้ว่าเยี่ยเทียนพูดไม่ผิด หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ จึงพยักหน้าตอบ “ได้ ผมจะโทรศัพท์!”
“เซี่ยวเทียน เอาเสื้อผ้าให้พวกเขา!”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่กลัวว่าพวกเขาสองคนจะเล่นลูกไม้อะไร หกคนภายในห้องนี้มีสองคนที่เป็นสุดยอดกำลังภายใน เมื่อรวมกับตัวเอง ต่อให้เปาเฟิงหลิงคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้
เปาเฟิงหลิงนับว่าว่องไวมาก ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมากด ไม่นานก็โทรติด เยี่ยเทียนเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคนวัยกลางคนอยู่ภายในลำโพงโทรศัพท์
ได้ยินเปาเฟิงหลิงกัดฟันพูดภาษาจีนกลางกับคนผู้นั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ใช้ภาษาถิ่่นของพวกแกคุยก็ได้ ฉันไม่กลัวแกเล่นลูกไม้หรอก!”
ในอดีตตอนที่ติดตามนักพรตท่องไปทั่วยุทธภพ เยี่ยเทียนยังอายุน้อย เป็นช่วงเวลาเหมาะเรียนภาษา ดังนั้นพื้นฐานภาษาถิ่นซึ่งอยู่คนละทิศละทางอย่างนี้เขายังพอฟังและพูดได้
ภาษาถิ่นในแต่ละพื้นที่ของประเทศจีนล้วนแตกต่างกัน คนที่ไม่เข้าใจสำเนียงเมื่อฟังแล้วจะรู้สึกราวภาษาต่างชาติ ตอนเปาเฟิงหลิงพูดพล่ามในโทรศัพท์ เยี่ยตงผิงกับหูหงเต๋อต่างมองตากันและกัน ด้วยไม่เข้าใจสักประโยค
แต่ว่าโจวเซี่ยวเทียนเขยิบมาข้างเยี่ยเทียน กล่าวว่า “อาจารย์ เขาพูดภาษากั้นหนาน ไม่ได้เล่นลูกไม้”
“ทำไมนายถึงฟังเข้าใจล่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสะดุ้ง คำพูดนี้เขาฟังยังรู้สึกว่าเปลืองสมอง แต่โจวเซี่ยวเทียนกลับฟังออก?
โจวเซี่ยวเทียนเกาหัวแกรก บอกว่า “บ้านเก่าผมอยู่กั้นหนานครับ ตอนเด็กๆ พ่อผมพูดสำเนียงนี้บ่อยๆ”
เยี่ยเทียนหัวเราะ “ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ตระกูลโจวของพวกนายเป็นเจ้าถิ่นมณฑลเจียงซูนี่นา”
ขณะที่เยี่ยเทียนคุยกับโจวเซี่ยวเทียนอยู่นั้น เปาเฟิงหลิงใช้มือหนึ่งปิดไมค์โทรศัพท์เอาไว้ กล่าวว่า “ปู่เยี่ยครับ หัวหน้าจี๋ของเราอยากคุยกับท่าน!”
“ไม่จำเป็น นายกับเขาคุยกันก็พอ” เยี่ยเทียนโบกมือ หัวหน้าจี๋คนนั้นเพียงอยากสนทนาต่อรองกับเขาด้วยถ้อยคำซ้ำซากในยุทธภพ เยี่ยเทียนเบื่อจะคุยไร้สาระกับเขา
“หลังจากนี้สามวัน พบกันที่เทียนจิน ไม่รู้ว่าคุณเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ไหม?” เปาเฟิงหลิงพูดใส่โทรศัพท์อีกครั้ง แล้วเงยหน้ามองเยี่ยเทียน
“กลัวว่ามาเมืองหลวงแล้วจะถูกฉันจัดหนักหรือไง?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ “เอาตามที่หัวหน้าจี๋ของพวกแกบอก สามวันหลังจากนี้ พบกันที่เทียนจิน ช้าไปหนึ่งวันก็ตัดแขนหนึ่งข้าง ถ้าหากช้าไปห้าวันล่ะ พวกแกสองคนคงต้องเลือกระหว่างน้องชายข้างล่างหรือสมองแล้ว”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำเอาหลิวเหล่าเอ้อที่เวลานี้ยังเปลือยกาย ลนลานหนีบขาทั้งสองข้าง ลูกผู้ชายถ้าไม่มีสิ่งนี้ หากต้องอยู่ต่อไปสู้ตายดีกว่า
หลังจากวางสาย เปาเฟิงหลิงวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะอย่างว่าง่าย กล่าวว่า “ปู่เยี่ย หัวหน้าของพวกเราบอกว่าข้ามเขตแดนครั้งนี้ ต้องขออภัยท่านด้วย เที่ยงตรงสามวันหลังจากนี้ พบกันที่ร้านน้ำชาเทียนโฮ่วกง ไม่พบไม่เลิกรา!”
“ได้ พวกแกสองคนเก็บของซะ สองวันนี้ติดตามฉันมา!” เยี่ยเทียนพยักหน้า ขบคิดอยู่ภายในใจ จะเอาสองคนนี้ส่งไปอยู่ไหนสักสามวันดี?
เห็นเยี่ยเทียนดูไม่เหมือนคนไร้เหตุผล เปาเฟิงหลิงจึงกล้าเอ่ยปากถามว่า “ปู่เยี่ย มีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากท่านสักหน่อย ท่านตามหาตัวพวกเราเจอได้อย่างไร?”
ได้ยินเปาเฟิงหลิงถามขึ้นมาอย่างนี้ เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “ฉันก็อยากจะถามแกเหมือนกัน สำนักต้มตุ๋นกระทำการส่วนใหญ่ไม่เผลอเรออย่างนี้นี่? เอาเงินปลอมยี่สิบกว่าใบมาหลอกลวงพ่อฉัน ไม่กลัวความแตกเอาหรือไง?”
“เงิน…เงินปลอมเหรอ?”
เปาเฟิงหลิงได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้น ถีบลงไปบนตัวหลิวเหล่าเอ้อ ด่าว่า “ไอ้บัดซบ ให้แกไปแลกเงินฮ่องกงยังจะโดนคนเขาหลอก ข้าจะล้วงปอดเอ็ง!”
…..