ตอนที่ 742: เจตนาฆ่าบนเรือ (2)
เจี้ยนเฉินมองไปที่กวานหยูไค่อย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่ากวานหยูไค่คนที่หน้าหนาและเชื่อถือไม่ได้ จะมีความแข็งแกร่งมากถึงขนาดไปท้าแข่งกับสิบอันดับแรกเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 ได้
เป็นครั้งแรกที่ความคิดของเจี้ยนเฉินที่มีให้กับกวานหยูไค่นั้นเปลี่ยนไป เขาอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าสิ่งที่กวานหยูไค่พูดกับหลินไป่เกี่ยวกับว่าเขาได้บรรลุทักษะธาตุแสงแล้วเล็กน้อยเป็นเรื่องจริง แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อได้เห็นเจี้ยนเฉินทำท่าทีเฉยเมย กวานหยูไค่ก็เผยรอยยิ้มออกมาเพราะเขาเชื่อว่ามันน่าหลงไหลและหัวเราะคิกคักไปที่เจี้ยนเฉิน “เป็นไงบ้าง น้องหยางยู่เทียน ? เจ้าเชื่อข้าหรือยังทีนี้ ? ข้า กวานหยูไค่ นั้นไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่เจ้าอธิบายไว้ ถ้าเจ้าพูดคุยปรึกษากับข้าที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 ที่น่าเคารพ ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่เสียหายอะไรเท่านั้น เจ้ายังจะได้รับประโยชน์มากมายจากข้า เจ้าจะไม่เก็บเอาไปคิดให้มากกว่านี้หน่อยหรือ ? “
เจี้ยนเฉินส่ายหัวแล้วยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาก็คิดกับตัวเอง “เจ้ากวานหยูไค่ยังพูดซ้ำซากเกี่ยวกับทักษะธาตุแสงที่ยอดเยี่ยมทั้งสามอยู่อีก”
“สามเดือนที่ผ่านมานั้น ข้าได้ยินมาว่าน้องหยางยู่เทียนมีพรสวรรค์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนมาก่อนและยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับยุคนี้อีกด้วย ไม่เพียงแต่เจ้าจะสำเร็จระดับ 6 ด้วยอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น แต่ความสามารถในการฝึกทักษะธาตุแสงยังเข้าใกล้ระดับ 7 อีกด้วย ในตอนนี้ มันก็ไกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วสำหรับวันแห่งการต่อสู้เพื่อโอกาสในการสำเร็จระดับ 7 การแข่งขันเพื่อคัดเลือกจะเริ่มในอีกเดือนที่จะถึงนี้ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าน้องหยางยู่เทียนมั่นใจแค่ไหนในการติดอันดับหนึ่งในสิบ ? ” ชายชราที่ใส่ชุดหรูหราพูด เขาเป็นคนที่ควบคุมตระกูลฮัวอยู่ เขาเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6
สมาชิกที่เหลือของตระกูลซึ่งอยู่ที่โต๊ะทั้งหมดมองไปที่เจี้ยนเฉิน พวกเขาอยากฟังมากว่าเจี้ยนเฉินจะตอบคำถามนี้อย่างไร
เมื่อได้ยินคำถามของหัวหน้าฮัว กวานหยูไค่ก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา เขาจ้องเขม็งไปที่เจี้ยนเฉินและประหลาดใจในอายุและความสามารถของเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้สติในไม่ช้าและคิดกับตัวเอง “ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหยางยู่เทียนนี้ถึงได้ทำลายสิ่งที่หุ้มทักษะธาตุแสงทั้งสามเหล่านั้นได้ ความสามารถในทักษะธาตุแสงของเขานั้นใกล้เคียงกับระดับ 7 แล้วจริง ๆ แต่ข้ายังสงสัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้และเขาสามารถใช้ทักษะธาตุแสงได้ในระดับไหน”
เจี้ยนเฉินยิ้ม “หัวหน้าฮัวใจดีเกินไปแล้ว มันแค่เป็นเพราะข้าโชคดีเท่านั้นที่สำเร็จระดับ 6 ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันการคัดเลือกที่จะถึงในอีกเดือนหนึ่งนี้ ข้าไม่มั่นใจว่าข้าจะติดหนึ่งในสิบ แต่ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
“ข้า เจิ้งเจียน เชื่อว่าน้องหยางยู่เทียนต้องติดหนึ่งในสิบแน่ เพราะว่าความสามารถของหยางยู่เทียนในทักษะธาตุแสงเกือบจะทัดเทียมเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ซึ่งเกินกว่าพวกเราไปมากแล้ว ข้ามั่นใจเหลือเกินว่าตำแหน่งหนึ่งในสิบนั้นคงไม่ยากเกินไปสำหรับน้องหยางยู่เทียน ทีนี้เรามาฉลองล่วงหน้าในกับน้องหยางยู่เทียนในการติดอันดับหนึ่งในสิบภายใต้ชื่อของตระกูลเจิ้ง” ชายวัยกลางคนที่สุภาพเรียบร้อยของตระกูลเจิ้งพูด ในขณะที่เขายกจอกสุราหันไปทางเจี้ยนเฉิน
หลังจากดื่มสุรา เจิ้งเจียนก็พูดต่อ “น้องหยางยู่เทียน ข้ามีข้อเสนอ ในการแข่งคัดเพื่อคัดเลือกที่จะถึงในอีกเดือนหนึ่งนี้ ทำไมเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ ? แบบนั้น โอกาสที่พวกเราทั้งคู่จะติดหนึ่งในสิบจะเพิ่มขึ้นมาก ข้าสงสัยเหลือเกินว่าน้องหยางยู่เทียนคิดเห็นเช่นไร ? “
“น้องหยางยู่เทียน ข้อเสนอของเจิ้งเจียนนั้นค่อนข้างดี แต่ถ้าเราร่วมมือกัน โอกาสในการติดหนึ่งในสิบของพวกเราจะต้องเพิ่มมากขึ้น” หลังจากที่เจิ้งเจียนสิ้นสุดสิ่งที่เขากำลังพูด ชายชราก็พูดออกมาต่อ
หัวหน้าฮัวเริ่มหัวเราะ “เมื่อไรก็ตามที่มีการแข่งขันเพื่อการคัดเลือกเกิดขึ้น ตระกูลใหญ่ทั้งแปดของเมืองแห่งเทพเจ้าส่วนมากจะร่วมมือกันเสมอ น้องหยางยู่เทียน ทำไมเจ้าไม่มาร่วมมือกับพวกเราล่ะ ? แบบนั้นโอกาสที่จะรอดในการแข่งขันจะมากกว่าตอนที่เจ้าตัวคนเดียวนะ”
หลังจากนั้น คนที่เหลือจากตระกูลต่างต่างก็พูดเพื่อเชิญให้เจี้ยนเฉินเข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขารู้ว่าความสำเร็จของเจี้ยนเฉินในอนาคตต้องเกินกว่าพวกเขาไปแน่ ถ้าดูจากความสามารถของเขา
เจี้ยนเฉินไม่ได้ตอบรับคำเชิญของคนจากตระกูลทั้งแปดตระกูลใหญ่ เขาลังเลสักครู่ในตอนนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำที่ท่านประธานเคยกล่าวไว้ว่า “ในตอนนี้ จักรวรรดิไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่สงบสุข ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดเกินไปกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสามตระกูลใหญ่”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เจี้ยนเฉินก็ตัดสินใจได้ เขาพูดอย่างขอโทษกับทุก ๆ คน “ข้าเข้าในดีว่าทุกคนนั้นหวังดี แต่ในการต่อสู้ที่จะถึงในอีก 1 เดือนนี้ ข้ามีแผนการของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจะเข้าร่วมกับทุกคนไม่ได้”
สิ่งที่เจี้ยนเฉินพูดทำให้หลายคนที่อยู่ที่โต๊ะเปลี่ยนท่าที แม้แต่บรรยากาศที่แสนดีก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นแทนที่ในเวลานี้ ดาดฟ้าเรือเงียบขึ้นอย่างผิดปกติ และแม้แต่เสียงเข็มตกลงพื้นก็ยังสามารถได้ยินได้
สักพักถัดมา บรรยากาศที่หนักอึ้งก็ได้ถูกทำลายลง “น้องหยางยู่เทียน เจ้าต้องคิดให้ดีนะ การที่เจ้าตัวคนเดียวนั้นมันอันตรายมาก ทำให้มันยากมากที่จะติดหนึ่งในสิบในตอนท้าย” มันเป็นชายชราที่พูดขึ้นมา เขามาจากตระกูลเทพเจ้าแห่งไฟ
เจี้ยนเฉินปฏิเสธเขาไปโดยไม่ลังเล “ข้าขอบคุณในความหวังดีของทุก ๆ คนมาก แต่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้น ไม่มีอะไรจะต้องพูดอีกแล้ว”
ที่โต๊ะทานอาหารนั้น ท่าทีของคนสองสามคนเกรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสายตาที่เย็นชาของคนอื่น ๆ
ในตอนนี้ เสือขาวที่กำลังนั่งหลับอยู่ที่ไหล่ของเจี้ยนเฉินอยู่ดี ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา และจ้องเขม็งไปที่ผิวของแม่น้ำ
ทันใดนั้นเอง ผิวน้ำที่สงบนิ่งก็กระจายออก คน 30 คนในชุดดำพุ่งออกมา และพุ่งมาที่โต๊ะด้วยความเร็วดุจสายฟ้าในขณะที่แสงที่เปล่งออกมาของพวกเขาแต่ละสีมาจากพลังเซียนแต่ละธาตุ ไม่มีใครไม่เป็นเป้าหมาย แม้แต่เจี้ยนเฉิน กวานหยูไค่ และคนของตระกูลใหญ่ทั้งแปดล้วนเป็นเป้าหมายทั้งนั้น
“ปกป้องหัวหน้าฮัว ! “
“ปกป้องนายน้อย ! “
..
บนเรือนั้น ผู้คุ้มกันของตระกูลใหญ่ทั้งแปดได้พุ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้าแล้วถอยไปรวมตัวอย่างรวดเร็วที่นายของพวกเขา ในขณะที่บางคนพุ่งขึ้นไปปะทะกับชายในชุดดำในการต่อสู้ที่ดุเดือด
“บ้าเอ้ย เซียนสวรรค์ตั้ง 30 คน ! ช่างมายมายอะไรแบบนี้ ! ” กวานหยูไค่ร้องเตือนออกมา บอลเมฆสีขาวถูกสร้างขึ้นมาใต้ขาของเขา และเขาก็ได้หายไปในพริบตาเดียว เขาหนีไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
ในเซียนสวรรค์ทั้ง 30 คนนั้น ประมาณ 20 คนพุ่งเป้าหมายไปที่ตระกูลใหญ่ทั้งแปด ที่เหลือทั้งหมดพุ่งเป้าหมายไปที่เจี้ยนเฉิน ตระกูลใหญ่ทั้งแปดทั้งหมดมีเซียนสวรรค์คอยคุ้มกันนายของพวกเขาอย่างแน่นหนาและรวมกันอยู่ที่ดาดฟ้า ในขณะที่พวกเขาคอยป้องกันการโจมตีของชายชุดดำ
ทุกคนจากแปดตระกูลแสดงท่าทีเคร่งครึม พวกเขาพาเซียนปฐพีมาด้วยเป็นจำนวนมาก แต่มันก็มีเซียนปฐพีแค่สิบกว่าคน ซึ่งจำนวนนั้นแตกต่างมากจากพวกที่พยายามที่จะมาฆ่าพวกเขา ไม่นานหลังจากที่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนจากตระกูลทั้งแปดก็ถูกกดดันอย่างช้า ๆ จนร่นถอยกลับมาในเรือ มีผู้คุ้มกันจำนวนมากที่เลือดอาบและได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี
ทันใดนั้นเอง ลูกบอลแสงก็ได้ส่องสว่างจ้าขึ้นบนท้องฟ้าที่ดำสนิท ทำให้ท้องฟ้าสีดำหายไปเกือบทั้งหมด เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 2-3 คนของตระกูลก็ออกมา แต่ละคนร่ายทักษะธาตุแสงออกมาจากมือของพวกเขาและมุ่งหมายไปที่ชายชุดดำ
ในตอนนี้ ผู้คนจากตระกูลทั้งแปดถูกกดดันให้ถอยลงมาใต้ดาดฟ้าของเรือจากนักฆ่าทั้ง 20 คน ในขณะที่เจี้ยนเฉินยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างสงบนิ่งและเก็บข้อมูล ในขณะที่เขาพอใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ รอบ ๆ ตัวของเขา มีชายสิบกว่าคนหมายตามาที่เขาและพุ่งเข้ามาใกล้เขาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
หลังที่มหาศาลกระเพื่อมขึ้นที่ข้างหลังของเขา นักฆ่าสามคนเข้ามาใกล้เจี้ยนเฉินก่อนและพุ่งเข้าไปที่เขา ด้วยอาวุธเซียนที่ส่องแสงไปตามสีของธาตุ มันเต็มไปด้วยพลังเซียน
มุมปากของเจี้ยนเฉินยิ้มย่างเยาะเย้ย เขาเอียงหัวของเขาแล้ววางจอกสุราชั้นดีลง เขาไม่มองไปข้างลังเลย เขาพูดเบาเบา “โล่พลังเซียนธาตุแสง ! “
พลังเซียนธาตุแสงรอบ ๆ เริ่มที่จะมารวมตัวที่เจี้ยนเฉินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อและก่อตัวเป็นโล่สีเงินเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตรซึ่งได้ป้องกันการโจมตีที่ด้านหลังเจี้ยนเฉินไว้
แม้ว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 คนอื่นกำลังต่อสู้อยู่กับนักฆ่า แต่พวกเขาก็ยังมองผ่านแวบ ๆ มาที่เจี้ยนเฉิน เมื่อพวกเขาได้เห็นความเร็วในการทำให้โล่พลังเซียนธาตุแสงแข็งตัว พวกเขาก็ประหลาดใจ ความเร็วของเจี้ยนเฉินในการดึงเอาพลังเซียนธาตุแสงมานั้นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้แม้ใช้กำลังเต็มที่แล้วก็ตามและเมื่อเห็นท่าทางของเจี้ยนเฉินที่ไม่สะทกสะท้าน มันเหมือนว่าเขายังไม่ได้ใช้กำลังที่มีทั้งหมดเลยแม้แต่น้อย
“หยางยู่เทียนนี้มีความสามารถในทักษะธาตุแสงใกล้เคียงกับระดับ 7 อย่างแท้จริง ด้วยความเร็วของเขาในการรวบรวมโล่พลังเซียนธาตุแสงซึ่งไวกว่าพวกเรามาก” เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 หลายคนคิดกับตัวเอง
ในตอนนี้ อาวุธเซียนของเซียนสวรรค์ 3 คนนั้นก็กระแทกไปที่โล่พลังเซียนธาตุแสงของเจี้ยนเฉินพร้อมกันและทำให้เกิดพลังที่มหาศาลกระเพื่อมออกมา โล่พลังเซียนธาตุแสงคือพลังเซียนธาตุแสงที่ควบแน่นอยู่นั้นดูเหมือนชิ้นเหล็กที่มีความแข็งแกร่งมาก แต่ละครั้งที่มันถูกโจมตีมันจะมีเสียงเหมือนเหล็กถูกตี เสียงที่ออกมาดังมากออกมา ดังจนรู้สึกเจ็บหู
แม้ว่าโล่พลังเซียนธาตุแสงจะป้องกันการโจมตีของเซียนสวรรค์ทั้งสามคนได้พร้อมกัน แต่มันก็มีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมอยู่ที่โล่ หลังจากนั้นไม่นาน เจี้ยนเฉินก็ชี้อย่างอ่อนโยนไปที่โล่และมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงด้วยเสียงอันดัง มันกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยและพุ่งไปที่เซียนสวรรค์สามคนนั้นประดุจดั่งสายฝนที่รวดเร็ว
ท่าทีของเซียนสวรรค์เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังเซียนที่แข็งแกร่งก็พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขาและรวมตัวเป็นเกราะป้องกันเพื่อรับเศษโล่นั้น
“โล่พลังเซียนธาตุแสงใช้แบบนั้นได้ด้วย มันช่วยเปิดหูเปิดตาของข้ามากขึ้นจริง ๆ ในวันนี้ น้องหยางยู่เทียนนี้ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ที่สามารถคิดวิธีโจมตีแบบนั้นได้” กวานหยูไค่จ้องเขม็งไปที่เจี้ยนเฉินจากที่ลับ และถอนหายใจอย่างชื่นชม
“แต่น้องหยางยู่เทียนจำเป็นที่จะต้องรับการโจมตีจากเซียนสวรรค์สิบกว่าคนพร้อมกันในครั้งเดียว เขาจะทนได้หรือไม่ ? ข้าควรจะไปช่วยเขารึเปล่า ? ” กวานหยูไค่คิดซักครูก่อนที่จะพูดออกไป “ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าข้า กวานหยูไค่ จะมีความแข็งแกร่งพอตัว แต่ข้าก็ไร้ประโยชน์ต่อหน้าเซียนสวรรค์หลาย ๆ คน และในเมื่อน้องหยางยู่เทียนดูเหมือนจะมั่นใจขนาดนั้น ดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่าและดูความแข็งแกร่งของน้องหยางยู่เทียนไปพร้อมกันเลยในทีเดียว”
“กระบี่พลังเซียนธาตุแสง !” เจี้ยนเฉินไม่หยุดอยู่เฉย เมื่อโล่พลังเซียนธาตุแสงที่ได้เปลี่ยนเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งไปที่เซียนสวรรค์ทั้งสามคนนั้นแล้ว กระบี่ใหญ่ยาว 2 เมตรก็ควบแน่นมาปรากฏขึ้นข้างหน้าเขา ด้วยการกวัดแกว่งของเขา กระบี่ใหญ่นั้นกลายเป็นแสงสีขาวและพุ่งไปที่นักฆ่าชุดดำคนอื่น ๆ
นักฆ่าไม่ได้สนใจกระบี่พลังเซียนธาตุแสงเท่าไรนัก สำหรับเขา แม้ว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 จะมีระดับความสามารถในการโจมตีอยู่บ้าง แต่ไม่ก็ไม่มากพอที่จะทำอันตรายให้กับเขาได้ และยิ่งเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีแบบนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบี่พลังเซียนธาตุแสงกระทบกับอาวุธเซียนของนักฆ่า มันก็เกิดเสียงดังมากขึ้น ท่าทีของชายนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากและเขาก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกับกระเด็นถอยไปด้วยพลังของกระบี่พลังเซียนธาตุแสง
แค่การใช้กระบี่พลังเซียนธาตุแสงของเจี้ยนเฉินเพียงครั้งเดียวได้ทำให้เซียนสวรรค์ที่ทรงพลังถึงกับกระอักเลือดและถอยกลับไปได้ นี้ทำให้นักฆ่าคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เจี้ยนเฉินประหลาดใจและจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างเหลือเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่กระบี่พลังเซียนธาตุแสงมันแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ! ” นักฆ่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และร้องอุทานเสียงดังออกมา