มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 693
ตอนที่หลัวซิวถูกส่งออกมาจากตำหนักเต๋า ดวงตาของเขายังคงสภาพปิดอยู่ และยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเต๋าอยู่เป็นเวลานาน

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปิดออก ตาของเขาดำสนิทล้ำลึก และเปล่งแสงสุกสว่าง

“กฎชีวิตแม้ว่าจะยังไปไม่ถึงแดนควบคุมขั้นแรก แต่ก็ใกล้ถึงเป้าหมายเต็มทีแล้ว”

ความตระหนักรู้ในระยะเวลาสามเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ หลัวซิวได้รับประโยชน์มามากมาย ตลอดมาเขาให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ในกฎแห่งความตาย ทำให้เสียโอกาสตระหนักรู้ในกฎชีวิตไปไม่น้อย จนถึงวันนี้เขากำลังจะฝึกกฎทั้งสองอย่างจนพัฒนามาอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว

“กฎแห่งความเป็นตาย ประกอบด้วยด้านเป็นและด้านตาย ด้านเป็นป้องกันการโจมตี ด้านตายสังหารศัตรู!”

เมื่อออกมาจากตำหนักเต๋าแล้ว หลัวซิวรีบมุ่งหน้าไปยังหอคอยมหาภพ

“อะไรนะ เจ้าบอกว่าหลัวซิวฝึกอยู่ในตำหนักเต๋า สามเดือนกว่างั้นหรือ และตอนนี้ผ่านด่านแล้ว?”

“เขากำลังจะไปฝ่าด่านที่หอคอยมหาภพหรือ”

ข่าวที่หลัวซิวออกมาจาก ตำหนักเต๋า และมุ่งหน้าไปยัง หอคอยมหาภพ ทันทีนั้น กระจายไปถึงหูของอัจฉริยะคนอื่นๆ อย่างรวดเร็วราวสายลม

นักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งบางคนที่ฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้ยินข่าวคราวนี้ด้วยเช่นกัน จึงพากันมุ่งหน้าไปยังบริเวณใกล้ๆ หอคอยมหาภพ

“สามเดือนก่อน หลัวซิวผ่านด่านหอคอยร่างทองชั้นสาม แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปและยังไม่สามารถเอาชนะโซนแสงทองได้ แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าแดนร่างทองของเขาได้มาถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลายแล้ว”

“ตอนนี้เขาใช้เวลาร้อยกว่าวันในการตระหนักรู้อยู่ในตำหนักเต๋า พลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างสูงลิบแน่ และไม่รู้ว่าตอนนี้แข็งแกร่งไปถึงขั้นไหน”

“ดูเหมือนว่าหลัวซิวจะยังไม่ผ่านด่านที่หอคอยมหาภพนะ ไม่รู้ว่าเขาจะผ่านด่านชั้นที่สามได้หรือไม่”

“อย่าล้อเล่นน่า สิ่งที่ต้องรับมือบนหอคอยมหาภพชั้นที่สามคือมหายุทธ์ขั้นปลายสามคน และไม่ใช่มหายุทธ์ขั้นปลายธรรมดาๆ นะ ขนาดซิงหลิงพยายามมาแล้วหลายครั้งยังไม่ผ่านเลย”

“ไม่ใช่แค่ซิงหลิงนะ แต่หวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซินก็เคยไป แต่ทุกคนก็กลับมาด้วยผลงานที่ต่ำกว่าคาด”

หลัวซิวยังไม่ทันมาถึง บริเวณหอคอยมหาภพ กลับมีคนมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่ได้มีเพียงอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่แอบล่องหนอยู่บริเวณใกล้ๆ กันนี้

“ได้ยินมาว่าเทวทูตจื่อเยียนให้ความสำคัญกับเจ้าหนุ่มคนนี้มากทีเดียว”

“การที่ได้รับความสำคัญจากเทวทูตจื่อเยียน แสดงว่าเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ดังนั้นควรค่าต่อการมาดู……”

“อีกอย่างตอนที่หนุ่มคนนี้มาถึง ได้ยินมาว่าเจ้าแดนหลิวชอบเด็กหนุ่มคนนี้มาก ถึงขั้นยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง”

ในตอนนั้นเอง ร่างๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า แล้วพุ่งตรงเข้าไปที่หอคอยมหาภพทันที

“เงาร่างเมื่อครู่นี้คือ……ซิงหลิง?”

“ซิงหลิงก็จะมาฝ่าด่าน หอคอยมหาภพ ชั้นที่สามเช่นกันหรือ”

ฝูงชนเริ่มส่งเสียงอื้ออึง เนื่องจากพวกเขาต่างพากันเดาว่าการที่ซิงหลิงเลือกมาฝ่าด่านในเวลานี้ แสดงว่าเขาจะต้องเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน

ณ ที่แห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากหอคอยมหาภพ หวูหยุนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอ่อนๆ

อีกด้านหนึ่ง ต้าวหวูซินก็เฝ้ามองมาที่หอคอยมหาภพ อยู่ห่างๆ เช่นกัน ไหนจะยังมีกุ่ยโยวที่หยุดฝีเท้าอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง

“พรสวรรค์ของซิงหลิงนับว่าหมื่นปีจะปรากฏตัวสักคน เพราะตระหนักรู้กฎพื้นฐานสามชนิดแล้ว ศิษย์พี่หวูหยุนคิดว่าเขาจะสามารถฝ่าด่านชั้นสามไปได้หรือไม่” ต้าวหวูซินหันไปมองหวูหยุน

“ผ่านแล้วอย่างไร ไม่ผ่านแล้วอย่างไร” หวูหยุนยิ้มด้วยอารมณ์สงบ

“เหอะๆ หรือว่าศิษย์พี่หวูหยุนไม่กลัวว่าหากเขาผ่านด่านชั้นสามแล้วจะสามารถกดหัวศิษย์พี่ได้งั้นหรือ” ต้าวหวูซินยังคงกล่าวต่อ

“เหตุใดข้าต้องกลัว” สีหน้าของหวูหยุนยังคงแน่นิ่ง ราวกับว่าต่อให้ซิงหลิงผ่านหอคอยมหาภพ ชั้นสี่ อารมณ์ของเขาก็จะยังคงไม่หวั่นไหว

เมื่อการหลอกถามของต้าวหวูซินนั้นไร้ประโยชน์ นางจึงไม่ถามอะไรต่อไปอีก ในใจพลางคิดว่าจิตใจของศิษย์พี่หวูหยุนผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก

ดูภายนอกเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง เขาไม่สนใจว่าซิงหลิงจะผ่านด่านชั้นสามหรือไม่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะกลัวว่าซิงหลิงจะกดหัวเขาได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเลยต่างหาก