บทที่ 2630 การกลับมาของเทพศักดิ์สิทธิ์ 4
หลังจากที่กู้ซีจิ่วกำจัดทหารพวกนั้นแล้ว พวกเขาก็รีบกรูเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้นฝุ่นธุลีเสียงดังตึง แต่ละคนร้องไห้อย่างขมขื่นทุกข์ทน…
กู้ซีจิ่วหลุบตามองเหล่าประชาชนที่ถูกเคี่ยวกรำจนเสื้อผ้าขาดวิ่นแทบไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ความปวดร้าววาบผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง
หากว่าเธอกลับมาเร็วกว่านี้สักครึ่งปี ทวีปซิงเยวี่ยอาจไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ได้
เธอสูดหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงก้อง
“ใช่ ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้ากลับมาแล้ว! ข้าจะทวงความยุติธรรมให้พวกเจ้า คืนความสงบสุขให้พวกเจ้า…”
เมื่อเธอเอ่ยประโยคนี้จบ ก็หันหลังกลับเข้าไปในยานบัญชาการลำนั้น
ข่าวการกลับมาของเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนมีปีกพัดกระพือ แพร่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมของทวีปซิงเยวี่ยภายในวันเดียว
เหล่านักรบผู้กล้าในแต่ละพื้นที่ของทวีปซิงเยวี่ยเหล่านั้นที่พยายามยืนหยัดปกป้องแผ่นดิน ยามที่ได้ยินข่าวนี้ก็หลั่งน้ำตาอาบหน้าในทันใด!
เดิมทีพวกเขาเหนื่อยล้ากับการยืนหยัดป้องกัน แทบจะสิ้นหวังแล้ว แต่ข่าวนี้กลับเป็นดั่งพิรุณที่ตกต้องทันเวลา ปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขาให้ฮึกเหิมขึ้นมา กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง จุดประกายความหวังขึ้นมา!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว พวกเขามีทางรอดแล้ว! ทวีปซิงเยวี่ยมีทางรอดแล้ว!
….
ภายในยาน ภาพเสมือนของนายพลคนนั้นยังอยู่ เขาจ้องเธอเขม็ง
“ทำไมเธอถึงใช้อาวุธของพวกเราเป็น? เธอเป็นมนุษย์จากยุคสมัยเดียวกับพวกเราเหรอ?!”
กู้ซีจิ่วควบคุมยานรบบัญชาการให้เหินบินขึ้นอย่างคุ้นเคย ไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับย้อนถามประโยคหนึ่ง
“พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์โลกกระมัง?! แค่สวมรอยเป็นมนุษย์เท่านั้น”
นายพลคนนั้นผงะไปแวบหนึ่ง
“พวกเราไม่เหมือนมนุษย์หรือไง?”
“เหมือนมาก แต่คุณลักษณะร่างกายของพวกเจ้าไม่ใช่ อย่างมากก็แค่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมาระยะหนึ่งแล้วเท่านั้น!”
นายพลคนนั้นสงสัยจริงๆ
“เธอมองออกจากตรงไหนกัน?”
กู้ซีจิ่วยิ้มเย้ยแวบหนึ่ง ไม่ตอบเขา
เริ่มแรกเธอนึกว่าคนพวกนี้เป็นมนุษย์โลกจากอนาคตจริงๆ จนกระทั่งจับได้ว่าตอนที่เมิ่งฮุยผู้นั้นโกรธเกรี้ยวจู่ๆ ในดวงตาก็ปรากฏขีดม่านตาในแนวตั้งขึ้น เธอถึงเริ่มสงสัยแล้ว…
ดังนั้นเธอจึงยั่วโมโหอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขู่ขวัญอีกฝ่าย
จากนั้นก็ได้พบว่าไม่ใช่แค่เมิ่งฮุยเท่านั้นที่ปรากฏขีดม่านตา แม้แต่ผู้ช่วยของเขาตอนที่ตกใจกลัวนัยน์ตาก็ปรากฏขีดม่านตาเช่นกัน…
ถึงแม้ขีดม่านตาของพวกเขาจะฉายขึ้นแวบเดียว แต่ก็ไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของกู้ซีจิ่วได้
แน่นอน เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตน เธอจึงลงมือล่าสังหารทหารเหล่านั้นในเมืองซิงเย้าด้วยตัวเอง พบว่าตอนที่คนมากมายหวาดกลัวจะปรากฏขีดม่านตาขึ้นมา คนบางส่วนที่มีกำลังรบต่ำไม่ใช่แค่ปรากฏขีดม่านตาเท่านั้น แม้แต่สีตาก็แปรเปลี่ยนไปทันที จากสีไพลินเป็นสีเหลืองทอง…
ด้วยเหตุนี้ เธอถึงเข้าใจแล้ว! คนจากโลกอนาคตเหล่านี้ความจริงแล้วไม่ใช่ ‘มนุษย์’ กล่าวให้ถูกคือ ไม่ใช่ชาวมนุษย์โลก น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว
แน่นอนว่าเป็นชาวต่างดาวที่มีสติปัญญาสูง เทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัยยิ่ง
“เฮ้ ทำไมเธอไม่ตอบ? สรุปแล้วมองออกจากตรงไหนกันแน่?”
นายพลคนนั้นไม่ละความพยายาม บนใบหน้าหล่อเหลาของเขาถึงขั้นที่เผยรอยยิ้ม ราวกับไม่โกรธเคืองเลยที่ถูกจับไต๋ได้
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็หันกลับไปมองเขาแวบหนึ่งแล้ว คนผู้นั้นยืนอยู่ด้านหลังเธอ ราวกับยื่นมืออกไปก็สัมผัสได้แล้ว แต่ความจริงแล้วอยู่ห่างไกลกับเธอไม่รู้กี่พันลี้
“พวกเจ้ามาที่โลกใบนี้ได้ยังไง?”
นี่คือเรื่องที่กู้ซีจิ่วอยากรู้ที่สุด
“เคยได้ยินเรื่องรูหนอนอวกาศไหม?”
นายพลคนนั้นช่างจำนรรจานัก
“รูหนอนอวกาศไม่เพียงแต่สามารถกระโดดข้ามห้วงมิติได้เท่านั้น ยังกระโดดข้ามห้วงเวลาได้ด้วย”
กล่าวก็คือ พวกเขาไม่เพียงแต่ข้ามไปมาระหว่างดวงดาวเคราะห์แต่ละดวงได้ ยังสามารถทลายเขตหวงห้ามระหว่างช่วงเวลา ทะลุไปยังแต่ละยุคสมัยได้ตามใจนึกสินะ?
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ ตอนเธออยู่ในยุคสมัยใหม่ก็เคยได้อ่านวารสารที่น่าสนใจบางอย่างเป็นครั้งคราวเหมือนกัน กล่าวไว้ในในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ไร้อารยธรรมก็เคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก แถมยังทิ้งรอยประทับบางอย่างที่ยากจะเข้าใจได้เอาไว้ด้วย
ดังนั้นการที่ทวีปซิงเยวี่ยมีชาวต่างดาวมาเยือนก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป แต่ลางสังหรณ์ของเธอบอกเธอว่า เรื่องนี้มิได้ง่ายดายเพียงเท่านี้!
….
————————————————————————————-
บทที่ 2631 ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว!
เมื่อก่อนทวีปซิงเยวี่ยไม่เคยมีชาวดาวอื่นมาเยือนเลย ราวกับเหนืออวกาศของทวีปซิงเยวี่ยมีโดมพิเศษครอบอยู่ กีดขวางคนจากต่างแดนไม่ให้บุกรุกเข้ามาได้…
และในอดีตที่เธอทะลุมิติมายังโลกนี้ได้ก็เป็นอุบัติเหตุที่อยู่เหนือความคาดหมาย…
แน่นอน หลงซือเย่และหลงฟั่นในตอนนั้นก็เป็นตัวตนที่เหนือความคาดหมายยิ่งนักเช่นกัน…
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องเหนือความคาดหมายเหล่านี้เมื่อผนวกเข้าด้วยกันแล้วไม่คล้ายว่าเป็นความบังเอิญ แต่ราวกับมีมือมืดที่มองไม่เห็นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง ควบคุมอย่างอย่างนี้ไว้
เธอจำที่หยกนภาเคยบอกได้ ด้วยฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของเธอไม่อาจออกห่างจากทวีปซิงเยวี่ยได้เกินครึ่งปี หากไปจากโลกนี้นานเกินไป จะมีเรื่องที่เลวร้ายยิ่งนักเกิดขึ้นกับทวีปซิงเยวี่ย
ตอนนี้เห็นทีว่าเรื่องเลวร้ายนี้ก็คือการที่ชาวต่างดาวเหล่านี้ (รวมถึงสิ่งมีชีวิตสติปัญญาสูงจากโลกอื่นๆ ด้วย) บุกรุกเข้ามา
มือมืดที่บงการอยู่หลังม่านจะใช่คนที่ปลอมตัวเป็นจู๋ตู๋ชิงผู้นั้นไหมนะ?
นายพลคนนั้นจ้องเธอเขม็งอยู่ตลอด จู่ๆ ก็ยิ้มแวบหนึ่ง
“เธอชื่ออะไร?”
จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็อ่อนละมุนปานแสงจันทรา
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา ควบคุมยานบัญชาการลำนี้ต่อไป
นายพลคนนั้นมองเธอควบคุมอย่างเชี่ยวชาญ
“เธอทำให้ฉันประหลาดใจมาก ตอนที่ประชากรของโลกนี้พูดถึงเธอ ฉันยังนึกว่าเธอเป็นพวกร่างทรงเทพเจ้าเสียอีก”
“ปัญญาอ่อน”
กู้ซีจิ่ววิจารณ์เพียงสามคำ
นายพลคนนั้นชะงักไปแวบหนึ่ง
“ที่แท้เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปากคอเราะร้ายแบบนี้ได้เหมือนกันเหรอ?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว
“ข้าปากคอเราะร้ายได้ยิ่งกว่านี้อีก เจ้าอยากฟังหรือไม่เล่า?”
นายพลคนนั้นถอนหายใจ
“เธอผิดไปจากที่ฉันคาดการณ์เอาไว้มาก”
“นั่นเป็นเพราะหน่วยสมองของเจ้าเล็กเกินไป ถ้าใหญ่กว่านี้สักหน่อยคงไม่อยู่เหนือความคาดหมายแล้ว”
วันนี้ไม่มีทางคุยกันได้แน่!
นายพลคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยถามเธอ
“นี่เธอกำลังจะไปไหน?”
“หาสถานที่โล่งแจ้งสักแห่ง รอต้อนรับการมาถึงของเจ้า จะได้สู้กันดีๆ สักยก”
นายพลคนนั้นเลิกคิ้ว
“เธอรู้ได้ยังไงว่านายพลอย่างฉันจะไปหาเธอ?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วสูงกว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่นั่น พูดจาไร้สาระมากมายขนาดนี้ มิใช่จะได้ระบุตำแหน่งของข้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สะดวกต่อการมาสู้กับข้าหรอกหรือ?”
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว!
สายตาที่เขามองกู้ซีจิ่วเจือแววชื่นชมไว้เล็กน้อย
“เทพศักดิ์สิทธิ์ เธอต้องรู้ไว้นะ อาศัยกำลังของเธอเพียงคนเดียวพลิกสถานการณ์ได้ยากมาก ตอนนี้ทวีป ซิงเยวี่ยถูกปกครองโดยพวกเราแล้ว เดิมทีเธอก็ไม่ใช่ชาวพื้นเมืองที่ถือกำเนิดในทวีปซิงเยวี่ยอยู่แล้วนี่ ทำไมต้องขายชีวิตให้พวกเขาด้วยล่ะ? ถ้าเธอยังอยากรักษาตำแหน่งและอำนาจของเธอในโลกใบนี้ไว้ ยังมีอยู่อีกวิธีนะ เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายด้วย”
“วิธีไหนล่ะ?”
“มาเป็นคนเคียงหมอนของนายพลอย่างฉัน แล้วนายพลอย่างฉันจะอนุญาตให้เธอปกครองโลกนี้ต่อไปเป็นกรณีพิเศษ”
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว เธอพลันยกมือขึ้น ไม่รู้ว่าเรียกกระจกบานหนึ่งออกมาจากไหนตั้งเอาไว้เบื้องหน้าภาพเสมือนของนายพลคนนั้น
“เอ้า ส่องกระจกประเมินค่าของตัวเองดูหน่อย จะได้มีสติด้วย ทั้งตัวเจ้าจากบนจรดล่างไหนเลยจะมีสักเส้นขนที่คู่ควรกับผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้า?”
นายพลคนนั้นพูดไม่ออกเลย…
แทงใจกันเกินไปแล้ว!
นายพลคนนั้นภูมิใจในเสน่ห์ความเป็นชายของตนเสมอมา ผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่หลังจากได้พบเขาแล้วกระโจนเข้าใส่ทันที คนที่อยากต่อแถวเพื่อปีนขึ้นเตียงของเขาเข้าคิวยาวไปถึงทางช้างเผือกแล้ว ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกรังเกียจเดียดฉันท์! ซ้ำยังเดียดฉันท์อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ด้วย!
เขามีนิสัยเจ้าชู้ ระหว่างที่ยกพลข้ามไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ ผู้หญิงที่ได้พบพานต่อให้ไม่ถึงพันก็มีอยู่แปดร้อยคนแล้ว แทบจะมีคนรักอยู่บนดาวเคราะห์ทุกดวงแล้ว ล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นยอดของดาวเคราะห์ดวงนั้นทั้งสิ้น
ผู้หญิงพวกนั้นนิสัยแตกต่างกันไป เก็บตัวเอย ร้อนแรงเอย เงียบขรึมเอย เย็นชาเอย ล้วนมีทั้งสิ้น…สุดท้ายแล้วล้วนมาสยบอยู่ใต้กางเกงทหารของเขาอย่างไม่มีข้อยกเว้นเลยสักราย ยิมยอมคล้อยตามเขา เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้