ตอนที่ 656 อำนาจของหลัวจื้อเลี่ย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งของชนเผ่าเอลฟ์ บุรุษหนุ่มรูปงามสองคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

หนึ่งในนั้นคือหลัวหมิงเฟยผู้ที่เคยพบกับฉินอวี้โม่ในเผ่าเลี่ยหยางก่อนหน้านี้และอีกคนหนึ่งคือองค์ชายรองของชนเผ่าเอลฟ์—หลัวหมิงหล่างซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของกองทัพเอลฟ์และกล่าวขานกันว่าเป็น ‘เทพบุตรสงครามแห่งชนเผ่าเอลฟ์’

“พี่รอง ข้าบอกท่านแล้วว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิใช่บุคคลที่ธรรมดาเลย เป็นอย่างไรเล่า ? ดูเหมือนว่าข้าจะคาดเดาถูก”

หลัวหมิงเฟยยิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความชื่นชม แม้เขาจะได้พบปะพูดคุยกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในระยะสั้น ๆ ทว่าเขาก็ทราบดีว่าคู่รักคู่นั้นมิใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน กอปรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเผ่าเลี่ยหยางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่ชนเผ่าเอลฟ์และต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์แสดงสัญญาณของการฟื้นตัว เขาจึงเชื่อมั่นในตัวพวกนางมากยิ่งขึ้น

“นั่นสิ…”

สีหน้าของหลัวหมิงหล่างไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและน้ำเสียงของเขาก็ฟังดูเรียบเฉยอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจอมยุทธ์ลึกลับทั้งสองคนนั้นยิ่งนัก ผู้ที่ได้รับความเคารพจากน้องสามผู้เฉลียวฉลาดของเขาจะต้องไม่ธรรมดาดังที่กล่าวอ้างอย่างแน่นอน

หากการที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์แสดงสัญญาณการฟื้นฟูอย่างกะทันหันนี้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นจริง หลัวหมิงหล่างก็หมายมั่นตั้งใจที่จะหาทางไปพบทั้งสองด้วยตัวเองให้ได้

“ทั้งสองคนมากับน้องห้าใช่รึไม่ ?”

เมื่อนึกถึงบางอย่าง หลัวหมิงหล่าวก็กล่าวถามเบา ๆ

“ใช่ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับน้องห้าพอสมควร ก่อนหน้านี้พวกเขามีปัญหากับหลัวหมิงซีที่เผ่าของน้องห้า เราต่างทราบดีว่าน้องห้าวางตัวนิ่งเฉยมาเสมอและแทบไม่เคยกระทำสิ่งใดที่ก้าวร้าวให้เห็น ทว่าการที่ครานั้นน้องห้าไม่ยอมทนและให้บทเรียนครั้งใหญ่กับหลัวหมิงซีไปถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากทีเดียว”

หลัวหมิงเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม คำเรียกของเขาแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดและความห่างเหินระหว่างพี่น้องได้อย่างชัดเจน เขาชื่นชอบหลัวหมิงฮ่าวอย่างมากและมองเป็นน้องชายที่รักมาเสมอ ในทางกลับกัน หลัวหมิงซีมักใช้สถานะของตนเองในการก่อเรื่องชั่วร้ายและไร้ยางอาย รวมถึงยังลงเรือลำเดียวกันกับพี่ใหญ่ที่มีจิตใจชั่วร้ายอำมหิตผู้นั้น หลัวหมิงเฟยจึงมองทั้งสองเป็นศัตรูไปโดยปริยาย

“ไม่เป็นไร ต่อให้น้องห้าได้เป็นราชาเอลฟ์คนใหม่ ข้าก็จะสนับสนุนเขา สิ่งที่เราทำตอนนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องการสืบหาสาเหตุที่ราชินีหมดสติไปนานเช่นนี้และทำให้คนพวกนั้นไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เราจึงต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

หลัวหมิงหล่างไม่กังวลและตัวเขาเองก็ประทับใจในตัวหลัวหมิงฮ่าวอย่างมากเช่นกัน ต่อให้องค์ชายห้าได้รับตำแหน่งราชาเอลฟ์ เขาก็จะไม่คัดค้าน

“อีกอย่าง ดูเหมือนว่าหลัวอวิ๋นซีจะถูกใจบุรุษนามว่าหานโม่ฉือนั้นมากจนอยากได้เขาเป็นสามี ทว่าหานโม่ฉือไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อยและปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย ฉินอวี้โม่เองก็มิใช่สตรีที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย หากหลัวอวิ๋นซีไม่ฉลาดพอและไม่หลบซ่อนไปให้ไกล เกรงว่าฉินอวี้โม่ไม่เอานางไว้แน่ ฮ่า ๆ ๆ”

เมื่อนึกถึงบางอย่างที่น่าขันสำหรับเขา จู่ ๆ หลัวหมิงเฟยก็หัวเราะออกมา ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่น่าสนใจเป็นที่สุด หากมิใช่เพราะนางมีคู่ครองข้างกายอยู่แล้ว เขาก็อาจคิดเกี้ยวพานนางก็เป็นได้ การได้มีสตรีที่ทั้งงดงามและมากฝีมือเช่นนั้นอยู่ข้างกายย่อมเป็นเรื่องที่บุรุษทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน

“ข้าเริ่มสนใจเกี่ยวกับแม่นางฉินอวี้โม่ผู้นั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยากจะปรากฏให้เห็นของผู้เป็นน้องชาย หลัวหมิงหล่างก็อดยกยิ้มมุมปากและกล่าวเชิงหยอกล้อไม่ได้

“หึ หากท่านสนใจนัก เราไปที่เมืองราชวงศ์ด้วยกันเถอะ จากที่คำนวณดู…ตอนนี้ท่านลุงของเราและฉินอวี้โม่ก็คงจะกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่น เราเองก็จะได้ถือโอกาสนี้ตรวจดูสถานการณ์ของท่านแม่ด้วย”

หลัวหมิงเฟยเป็นคนที่ชาญฉลาดยิ่งนัก เขาคาดการณ์การเคลื่อนไหวต่อไปของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายและเสนอเชิญชวนพี่ชายทันที

“เอาล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ”

หลัวหมิงหล่างพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนเตรียมความพร้อมอย่างง่ายและรีบมุ่งหน้าไปในทิศทางของเมืองราชวงศ์พร้อมกับหลัวหมิงเฟยโดยเร็ว

องค์หญิงเล็กหลัวอวิ๋นซีทราบข่าวนี้เช่นกันทว่านางไม่ได้เคลื่อนไหวออกไป นางจะต้องเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีและหมายมั่นว่าหานโม่ฉือจะต้องเป็นของตนในไม่ช้าก็เร็ว ฉินอวี้โม่ที่น่าเกลียดชังผู้นั้น ข้าจะฉีกหน้านางให้ได้ !

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคณะไม่ทราบความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ หลังจากเดินทางยาวนานห้าวัน พวกนางก็มาถึงบริเวณประตูเมืองของเมืองราชวงศ์แห่งชนเผ่าเอลฟ์

ณ หน้าประตูเมืองในตอนนี้มีผู้พิทักษ์หลายกลุ่มที่ทำหน้าที่คุ้มกันและพวกเขาทุกคนเข้มงวดอย่างยิ่ง สืบเนื่องมาจากการหมดสติอย่างกะทันหันของราชินีเอลฟ์ ทั้งเมืองราชวงศ์จึงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดและอึมครึม เมืองที่เคยมีชีวิตชีวาของชาวเอลฟ์กลับกลายเป็นหดหู่มาจนถึงทุกวันนี้

หลัวจื้อเลี่ยนำทางฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่ามุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองอย่างรวดเร็ว

ทว่าทันทีที่มาถึงประตูเมือง เขาก็ถูกขัดขวางไว้โดยผู้พิทักษ์หลายคน

“โอ้ การที่ข้าไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่หลายปี ไม่คิดเลยว่าจะมีคนกล้าขัดขวางข้าเช่นนี้ !”

หลัวจื้อเลี่ยหัวเราะเบา ๆ ขณะกวาดสายตามองกลุ่มคนที่ก้าวออกมาขวางหน้าพวกตนด้วยสีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง

เหล่าผู้พิทักษ์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองเขาอย่างพินิจพิจารณา ทว่าจู่ ๆ ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเดินตรงเข้ามาทันที

เมื่อเห็นใบหน้าของหลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน สีหน้าของผู้บัญชาการก็กลายเป็นความเคารพในทันที เขารีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างและกล่าวอย่างเคารพ “ท่านราชาเลี่ย !”

ในหมู่เอลฟ์ หลัวจื้อเลี่ยจะมีชื่อเรียกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่ นั่นก็คือ ‘ราชาเลี่ย’ ตำแหน่งนี้ถูกมอบให้โดยราชินีเอลฟ์เองและเป็นสถานะที่กล่าวได้ว่าเทียบเท่ากับราชินีเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้น เกียรติยศบารมีของหลัวจื้อเลี่ยในหมู่เอลฟ์ก็มิได้ด้อยไปกว่าหลัวจื๋อยินเลยสักนิด ในความคิดของหลาย ๆ คน พวกเขาก็มองหลัวจื้อเลี่ยเป็นราชาเอลฟ์ เพียงแต่ไม่ได้รับการสถาปนาก็เท่านั้น

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของผู้บัญชาการและได้ยินคำเรียกดังกล่าว สีหน้าของเหล่าผู้พิทักษ์ก็เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดต่อไปและคุกเข่าลงพื้นเพื่อคำนับต่อหลัวจื้อเลี่ยอย่างเคารพนอบน้อม

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก”

หลัวจื้อเลี่ยผายมือให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นก่อนกล่าวต่อ “พาข้าไปที่พระราชวัง ข้ามาที่นี่เพื่อมาดูน้องสาวข้า”

สายตาของเขาบรรจบลงที่ผู้บัญชาการและกล่าวด้วยน้ำเสียงฉงนสงสัย “ข้าจำได้ว่าเจ้าคืออี้หานเทียน—ผู้บัญชาการที่ภักดีที่สุดของน้องสาวข้า เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะคุ้มกันความปลอดภัยอยู่ข้างกายนาง ?”

เมื่อได้ยินวาจาของหลัวจื้อเลี่ย ผู้บัญชาการคนนั้นก็ยิ้มเจื่อนทันที ในขณะที่นำทางคนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังทิศทางของพระราชวัง เขาก็กล่าวอธิบายถึงเรื่องราวต่าง ๆ “นับตั้งแต่องค์ราชินีหมดสติไป อำนาจการปกครองของพระราชวังก็ตกเป็นขององค์ชายใหญ่เป็นการชั่วคราวขอรับ คำสั่งแรกขององค์ชายใหญ่ก็คือย้ายพวกเราที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวขององค์ราชินีออกไปคุ้มกันหน้าประตูเมือง ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายใหญ่ก็ยังจัดการกับเหล่าผู้อาวุโสที่เคยภักดีต่อราชินี แม้เราต้องการปกป้องคุ้มกันความปลอดภัยอยู่ใกล้ตัวองค์ราชินี พวกเราก็มิอาจขัดคำสั่งขององค์ชายใหญ่ได้ เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องมาประจำอยู่หน้าประตูเมืองขอรับ”

พวกเขาได้รับคำสั่งจากหลัวหมิงรุ่ยให้มาเป็นผู้พิทักษ์คุ้มกันเมือง ทว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการทำแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม องค์ชายใหญ่ก็ใช้สมาชิกครอบครัวของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการข่มขู่และยังใช้วิธีการโหดร้ายอย่างมากเพื่อปราบปรามผู้ที่ไม่ยอมจำนน ในสภาวะเข้าตาจนเช่นนี้ พวกเขาจึงจำต้องยอมรับและมาคุ้มกันหน้าประตูเมืองด้วยหวังว่าราชินีเอลฟ์จะทวงคืนความยุติธรรมให้พวกตนเมื่อนางฟื้นขึ้นมา

“บัดซบนัก !”

เมื่อได้ยินคำอธิบายจากอี้หานเทียน สีหน้าของหลัวจื้อเลี่ยก็กลายเป็นเยือกเย็นทันที เขาไม่เคยทราบเลยว่าสถานการณ์ในพระราชวังย่ำแย่ถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ข้างกายหลัวจื๋อยินคงมีเพียงพรรคพวกของหลัวหมิงรุ่ยเท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้มีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับนางก็ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้

“ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปในพระราชวังเอง พวกเจ้าเป็นองครักษ์ส่วนตัวของน้องสาวข้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์สั่งให้เจ้าออกมาประจำที่นี่ !”

หลัวจื้อเลี่ยออกคำสั่งให้คนเหล่านั้นติดตามตนเข้าไปในพระราชวังทันที

อี้หานเทียนก็รู้สึกประหลาดใจทว่าพึงพอใจเมื่อได้ยินวาจาเด็ดขาดของหลัวจื้อเลี่ย เขาเรียกสหายทั้งหลายของตนและเดินตามหลัวจื้อเลี่ยเข้าไปในพระราชวังทันที

ภายในพระราชวังเอลฟ์ แน่นอนหลัวหมิงรุ่ยได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว เขาและหลัวหมิงซีพร้อมด้วยหยางเสวียนจึงออกมาต้อนรับคณะของหลัวจื้อเลี่ยด้วยตัวเอง สำหรับท่านลุงของเขาที่เป็นบุคคลผู้ทรงพลังและเป็นตำนานของชนเผ่าเอลฟ์ แม้แต่เขาเองก็ยังหวาดหวั่นไม่น้อย

ทันทีที่มาถึงบริเวณหน้าประตูพระราชวัง หลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ ก็พบว่าหลัวหมิงรุ่ยและหลัวหมิงซีออกมารออยู่ก่อนแล้ว

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ องค์ชายสี่ก็ลอบมองทั้งสองพร้อมพยักศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย

“หลานผู้นี้ขอคารวะท่านลุงขอรับ”

หลัวหมิงรุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งประดับบนใบหน้า เขาทราบดีว่าหลัวจื้อเลี่ยมีจุดประสงค์ใดในการมาที่นี่ และหลังจากหารือวิธีการตอบโต้กับหยางเสวียน พวกเขาก็ได้ข้อสรุปเพียงว่าตอนนี้ยังทำได้เพียงอดทนให้ผ่านพ้นไปก่อน ถึงอย่างไรหลัวจื้อเลี่ยก็คงจะไม่อยู่ในพระราชวังเป็นเวลานาน เมื่อคนเหล่านี้กลับไป อำนาจในพระราชวังก็จะตกเป็นของเขาอีกครั้ง

“เอาล่ะ ไม่จำเป็น ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในชนเผ่าเอลฟ์แล้ว ข้าคงรับความสุภาพเช่นนี้จากเจ้าไม่ได้”

แม้กล่าวเช่นนั้น ทว่าสีหน้าแววตาของหลัวจื้อเลี่ยก็มิได้ถ่อมตนแม้แต่น้อย เขาไม่เคยชอบหน้าหลานชายผู้นี้มาตั้งแต่ต้น บัดนี้ยิ่งได้ทราบแผนการสมคบคิดของเขาแล้ว หลัวจื้อเลี่ยก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม

เพียงแต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสม มิฉะนั้นเขาคงจับตัวหลัวหมิงรุ่ยผู้นี้ไปนานแล้วและไม่ปล่อยให้เขาทำเรื่องชั่วร้ายต่อไปอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุงก็พูดไปขอรับ ตอนนี้ราชินียังคงหมดสติ ในฐานะองค์ชายใหญ่ของชนเผ่าเอลฟ์ ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องคอยปกป้องดูแลความปลอดภัยของชาวเอลฟ์ขอรับ”

วาจาเสียดสีถากถางของหลัวจื้อเลี่ยทำให้หลัวหมิงรุ่ยขุ่นเคืองใจอย่างยิ่ง ทว่าเขาตระหนักดีว่าไม่สามารถฉีกหน้าหลัวจื้อเลี่ยได้ เขาจึงทำได้เพียงกล่าวตอบออกไปเช่นนี้และระงับโทสะในใจไว้

“เข้าไปข้างในและพูดคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเถอะ”

หลัวจื้อเลี่ยไม่เกรงใจและเตรียมเดินตรงเข้าไปพร้อมคณะของตนทันที

“ช้าก่อน อี้หานเทียน เจ้าถูกส่งไปคุ้มกันหน้าประตูเมืองมิใช่รึ ? เหตุใดจึงเข้ามาเสนอหน้าในพระราชวังเช่นนี้ ?”

เมื่อสังเกตเห็นอี้หานเทียนและองครักษ์คนอื่น ๆ หลัวหมิงรุ่ยก็ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวถามทันที คนเหล่านี้คือองครักษ์ที่จงรักภักดีและเป็นผู้ที่มารดาของเขาไว้วางใจมากที่สุด การที่ก่อนหน้านี้เขากำจัดคนเหล่านี้ออกไปให้ไกลจากมารดาได้สำเร็จและส่งไปประจำอยู่ที่หน้าประตูเมือง เขาไม่มีทางปล่อยให้คนเหล่านี้กลับเข้ามาง่าย ๆ อย่างแน่นอน

“ข้าพาพวกเขากลับมาเอง พวกเขาเป็นองครักษ์ที่แม่ของเจ้าไว้ใจมากที่สุดและนางก็สั่งให้พวกเขาคอยคุ้มกันนางอยู่ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดที่จะส่งหรือย้ายพวกเขาไปที่ใดได้ทั้งสิ้น การที่เจ้าสั่งให้พวกเขาไปคอยคุ้มกันอยู่หน้าประตูเมืองนั้น หากแม่ของเจ้ารู้เข้า นางจะต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่ !”

หลัวจื้อเลี่ยกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าหลัวหมิงรุ่ยแม้แต่น้อย

“แต่ว่า…”

หลัวหมิงรุ่ยกำลังจะกล่าวโต้แย้งกลับไป ทว่าเมื่อเห็นหยางเสวียนขยิบตาส่งสัญญาณ เขาก็เพียงพยักศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์นักทว่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อ

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สังเกตเห็นการท่าทางของหยางเสวียนและปฏิกิริยาของหลัวหมิงรุ่ยอย่างชัดเจน ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยอย่างเข้าใจตรงกัน หยางเสวียนผู้นี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

.