ตอนที่ 360 เหวินซื่อโดนซ้อม

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

รอยยิ้มบนในหน้าของเมิ่งซื่อหายไป อ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิม

 

 

คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะมารับตัวเด็กๆ ไป

 

 

พระชายาเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งซื่อ เมื่อพูดจบ จึงไม่กล้ามองสีหน้าของนาง แต่กลับก้มหน้าทำเป็นว่ากำลังโอ๋หลาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเปิดปากพูด แต่เมิ่งซื่อได้สติกลับมาก่อน “พระ พระชายา พวกนางเพิ่งจะกลับมาอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้นเอง ตามหลักแล้ว อย่างไรก็ควรจะอยู่ถึงเดือนนะเจ้าคะ”

 

 

พระชายาไม่สนธรรมเนียม ใบหน้าเผยความเหนียมอายเล็กน้อย ยิ้มกระอักกระอ่วน “ในจวนอ๋องของเราไม่มีธรรมเนียมเช่นนั้นหรอก วันนี้ให้ข้ารับพวกนางกลับไปด้วยกันเถิด”

 

 

เมิ่งซื่ออ้าปากค้าง ราวกับมีเรื่องจะพูด แต่เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพระชายาแล้ว คำที่อยากจะพูดออกมาก็ถูกกลืนลงไป

 

 

อย่างไรก็เป็นแม่ของตนเอง เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปากช่วยแม่พูด

 

 

แต่ครานี้เมิ่งซื่อกลับตอบรับออกมา “ก็ได้ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเก็บของให้พวกนางสักหน่อย”

 

 

น้ำเสียงหม่นหมองของเมิ่งซื่อทำให้พระชายาอดใจไม่ไหว พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เจ้าเองก็ไปเก็บของตัวเองด้วยเถิด ไปจวนอ๋องกับข้า มีเด็กสองคนข้าดูแลคนเดียวไม่ไหวหรอก”

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้า “ได้ๆๆ ข้าจะรีบไปเก็บของเดี๋ยวนี้ ท่านรอสักครู่” พูดจบ ก็หันหลังกลับเข้าห้องตนไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังไป โอบไหล่ของนาง พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ หากท่านไม่เต็มใจ ข้าจะอยู่ที่บ้านต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งซื่อตบมือของนาง “สุขภาพของเจ้าแม่ก็ยังไม่มั่นใจ ข้ากังวลมาตลอดว่าหากเจ้าคลอดลูกสาวออกมา พระชายาและท่านอ๋องจะไม่ชอบใจเจ้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะรักเด็กๆ ถึงเพียงนี้ เช่นนี้แม่ก็วางใจแล้ว อย่างไรเสียแม่ก็ต้องไปจวนอ๋องทุกวัน ขอเพียงได้พบหน้าเจ้าและหลานทุกวันก็พอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไป ค่อยๆ คลายมือที่โอบคอเมิ่งซื่ออยู่ลง ยืนหลบอยู่อีกด้าน มองดูเมิ่งซื่อเก็บของใช้ของเด็กๆ

 

 

เมิ่งซื่อยิ้มพร้อมเดินมาตรงหน้านาง และพูดเสียงเบาว่า “ฝีมือเย็บปักของแม่ดีว่าพระชายาเป็นไหนๆ หากมิใช่เพราะสองคนนี้คลอดออกมาเร็วกว่ากำหนด แม่ก็คงเอาของพวกนี้ออกมาตั้งนานเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ถือเอาไว้ในมือของตน เดินกลับไปยังห้องเด็กอ่อนพร้อมเมิ่งซื่อ

 

 

แม่นมได้ทำการห่อเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว อุ้มออกมาจากห้องคนละคน พระชายายิ้มตาหยีอยู่ด้านหลัง เดินมาหาเมิ่งซื่อ ยื่นมือออกมา จากนั้นก็เอื้อมขวามือนางมา “ไปกันเถิด”

 

 

เมิ่งซื่อตอบรับด้วยความยินดี ทั้งสองเดินตามหลังแม่นมไป

 

 

เห็นแม่นมเดินอุ้มเด็กมาแต่ไกล ท่านอ๋องฉีเริ่มตื่นเต้น มือไม้เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ฝีเท้าเริ่มขยับ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตเห็นท่าทางทั้งหมด แต่ไม่ได้กล่าวอะไร

 

 

รถม้าจากจวนอ๋องมาทั้งหมดสามคัน ทีแรกจะให้พระชายาและท่านอ๋องนั่งด้วยกัน แม่นมอุ้มเด็กๆ นั่งกับเมิ่งซื่ออีกคัน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอีกคัน แต่เมื่อเห็นหน้าเด็กๆ พระชายาก็ลืมท่านอ๋องไป ไปขึ้นนั่งรถม้าพร้อมด้วยแม่นมและเมิ่งซื่อ

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย หันหลังขึ้นรถม้าด้านหลังตนไป สั่งให้คนรถรีบควบม้ากลับจวน

 

 

รถม้าจอดสนิทภายหน้าประตูจวนอ๋อง ทั้งหมดลงจากรถม้าเรียบร้อย อ๋องฉีเดินนำเข้าไปด้านในจวนก่อน พระชายาและเมิ่งซื่อเดินตาม แม่นมทั้งสองเดินตามหลังไป

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น ไม่มีใครสนใจ ทั้งสองส่ายหน้า เดินตามหลังทุกคนเข้าไป

 

 

อ๋องฉีนำขบวน เดินนำมายังเรือนพระชายา

 

 

ทิ้งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ที่ทางเดิน คนตัวโตถลึงตาใส่คนตัวเล็ก ครู่ใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้หลุดหัวเราะออกมา ตบบ่าหวงฝู่อี้เซวียน พูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่งว่า “เซี่ยงกง ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าเองก็ถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่ทิ้งอย่างเป็นทางการแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง แต่ยังกลับยิ้มพร้อมเดินไปด้านหน้านาง พร้อมพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำที่สุดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้าเป็นพอแล้ว”

 

 

คนผีทะเล!

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก่นด่าเขาในใจ คงเป็นเพราะได้ลิ้มลองครั้งหนึ่งแต่ก็ต้องอดใจไปหลายเดือน คงจะอดอยากไม่น้อย หรือบางทีคงเป็นเพราะอยู่ในช่วงอายุที่ร่างกายกำลังมีแรงมากที่สุด หวงฝู่อี้เซวียนจึงอยากจะจับนางกดลงบนเตียงทุกวันและตลอดเวลา ไม่อยากให้นางออกจากบ้านเลยทีเดียว

 

 

ท่าทางง้องอนของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลายเป็นท่าทางยั่วยวนในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่พูดอะไรให้เสียเวลา เขาลากมือของเมิ่งเชี่ยนโยวตรงไปยังเรือนของตนเองทันที กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้สติกลับมา จะดิ้นให้หลุดก็สายไปเสียแล้ว นางถูกหวงฝู่อี้เซวียนกดลงบนเตียงจากนั้นก็เริ่มจัดการนางอีกครั้งก่อนนอนก็ยังถูกป้อนยาไปเม็ดหนึ่ง ในหัวมีภาพอะไรบางอย่างปรากฎขึ้นมา

 

 

สำหรับเรื่องของสองคนนี้แล้ว ท่านอ๋อง พระชายา และเมิ่งซื่อไม่มีใครว่างพอจะมาสนใจ เมื่อวางเด็กทั้งสองดีแล้ว อ๋องฉีก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปนั่งข้างเตียงน้อยๆ ยื่นมือออกมา ลูบไล้ใบหน้าเนียนละเอียดของเด็กน้อย รอยยิ้มในสายตาของเขาแม้แต่คนตัวน้อยก็ยังรู้สึกได้ จึงได้ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกมา

 

 

อ๋องฉีราวกับทุกไฟดูดอย่างไรอย่างนั้น ตื่นเต้นเสียจนสั่นไปทั้งตัว

 

 

พระชายาเองก็แปลกใจ เบิกตาโตเดินมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เร็วเข้า พูดอีกทีสิ พูดให้ย่าฟังหน่อย”

 

 

ราวกับว่าคนตัวน้อยฟังคำของนางออก จึงส่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกมาอีกครั้ง พระชายาจึงได้โอบกอดไล่ของอ๋องฉีไว้ด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋อง เห็นหรือไม่ พวกนางฟังคำของข้าออก”

 

 

แม่นมทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก พระชายาเป็นถึงลูกสาวท่านแม่ทัพคนก่อนมิใช่หรือ ตามหลักแล้วไม่ควรจะไม่ฉลาดเพียงนี้ เด็กอายุเดือนกว่า จะฟังคำของผู้ใหญ่ออกได้อย่างไร นอกเสียจากว่าตอนนี้อารมณ์ดี จึงได้ส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างตั้งใจเท่านั้นเอง จะต้องดีใจถึงเพียงนี้เลยหรือ หรือว่านางไม่เคยมีลูกมาก่อน ไม่รู้หรือว่านี้เป็นเรื่องธรรมดาแสนธรรมดา พวกนางคิดไม่ถึงว่า ตอนนั้นหลังจากที่พระชายาคลอดลูกออกมาแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน ลูกก็หายไปเสียแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนเห็นลูกเติบโตได้อย่างไรกัน

 

 

สิ่งที่ทำให้แม่นมทั้งสองตกใจจนลูกตาแทบจะหลุดออกมานั้นคือ ท่านอ๋องกลับเห็นดีเห็นงามด้วย ซ้ำยังเลียนแบบท่าทางของพระชายาเดินมาตรงหน้าของเด็กน้อยด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย “เร็ว พูดอีกเร็ว พูดให้ปู่ฟังหน่อย”

 

 

สิ่งที่ตอบกลับพวกเขาคือฟองน้ำลายที่พ่นออกมาจากปากของเด็กน้อย

 

 

ท่านอ๋องและพระชายายิ่งแปลกใจไปใหญ่

 

 

เมิ่งซื่อเห็นแล้วยิ่งปวดใจ ไม่ว่าแต่ก่อนจะยากจนเพียงใด แต่ลูกๆ ของตนนั้นอย่างน้อยก็ได้เติบโตข้างกายตน ภาพพวกเขาแต่เล็กจนโต นางจำได้ชัดเจน ไม่เหมือนท่านอ๋องและพระชายา พลาดสิบปีแรกของชีวิตหวงฝู่อี้เซวียนไป คิดถึงตรงนี้ ความคิดที่อยากจะแย่งเด็กมาจากสองคนนี้ก็น้อยลงไปทันที เดินกลับห้องพระชายาไปเงียบๆ นั่งลงบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง หยิบเสื้อตัวน้อยที่นางถักได้ครึ่งหนึ่งออกมาจากนั้นก็ค่อยๆ ถักต่ออย่างประณีต

 

 

หลายวันมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นคนที่ว่างที่สุด นอกจากไปเยี่ยมลูกสาวของตัวเองที่เรือนพระชายาบ้าง เพื่อให้พวกนางไม่ลืมตนเอง สิ่งที่พวกเขาทำก็คือจัดการเรื่องต่างๆ ในจวน

 

 

ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรต้องจัดการมากนัก บ่าวรับใช้ต่างก็ทำหน้าที่กันอย่างดีแล้ว หลินหันเยียนเองก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรต่อหน้าพวกเขา หวงฝู่อวี้ก็ได้จัดการกิจการนอกจวนได้อย่างดี ทุกอย่างดำเนินการได้ตามปกติ

 

 

วันนี้ หวงฝู่อี้เซวียนที่ว่างมาหลายเดือนถูกหวงฝู่ซวิ่นเรียกตัวไปตงกง เพื่อไปเจรจาธุระบางอย่าง เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ว่างๆ หลังจากมาเยี่ยมลูกน้อยแล้ว ก็กลับห้องตนไป นั่งอยู่บนเสื่อนิ่ม อาบแดดอ่อนๆ นอนปิดตาลงอย่างสบายใจ ปล่อยวางเรื่องในสมอง

 

 

จากนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นมาทันที กัดฟันพูดว่า “รอดูข้าก่อนเถิด”

 

 

พูดจบ ก็ยืนขึ้นทันที เดินก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก

 

 

โจวอันติดตามหวงฝู่อี้เซวียนไปยังตงกง เหลือเพียงหวงฝู่อี้คอยอยู่รับใช้ เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมา กำลังจะเปิดปากถาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เตรียมม้า ไปกับข้าที”

 

 

คำที่หวงฝู่อี้กำลังจะถามก็ถูกกลืนลงไป เดินเร็วไปยังหลังจวน เตรียมรถม้าออกมารอที่หน้าประตู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่แล้ว ขึ้นรถม้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี สั่งว่า “ไปร้านยาเต๋อเหริน”

 

 

หวงฝู่อี้ไม่กล้ารีรอ ยกแซ่ขึ้นหวดม้า จากนั้นก็ควบม้าตรงไปยังร้านยาเต๋อเหริน

 

 

ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงมาก่อน เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านในร้าน ไม่มีแม้แต่คำทักทายให้หมอและคนงาน เดินตรงไปยังชั้นสองทันที ยกขาถีบประตูออก

 

 

เหวินซื่อกำลังดูสมุดบัญชีอยู่ เสียงดังของประตูทำให้เขาตกใจ จึงเงยหน้าขึ้น กำลังจะอ้าปากด่า แต่เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ยืนขึ้น ถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงโมโหข้าถึงเพียงนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา แต่กลับหยิบสมุดบัญชีฟาดลงไปกลางหัวของเขา

 

 

เหวินซื่อไม่ได้ป้องกันตัว เมื่อถูกทำร้าย จึงได้ถอยหลังไปเล็กน้อย ในปากก่นด่าว่า “เจ้าเด็กบ้านี่ เป็นบ้าอะไรกัน มาถึงก็มาทำร้ายข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดจา เดินตามเขามาติดๆ และทำร้ายเขาจากด้านหลัง

 

 

เหวินซื่อไม่กล้าเอาคืน ทำได้เพียงถอยห่าง กระทั่งไม่มีทางถอยแล้ว จึงได้อ้อมโต๊ะไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะข่มขู่ว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ อย่ามาทำร้ายกันเช่นนี้ ข้าเองก็โกรธเป็น หากทำข้าไม่พอใจแล้วล่ะก็ ข้าจะตีเจ้าคืนบ้าง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน โยนสมุดบัญชีในมือมาใส่เขา เหวินซื่อเอนตัวหลบ

 

 

จากนั้นก็อีกเล่ม เขาหลบอีกครั้ง

 

 

ชั้นล่างได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านบนพร้อมด้วยเสียงข่มขู่จากเหวินซื่อ ต่างก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ไปทำอะไรมา ทำให้ซื่อจื่อเฟยโกรธเข้า จึงได้ถูกสั่งสอนเช่นนี้

 

 

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เหวินซื่อเองก็ยังไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ อยากจะถาม แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย กระทั่งสมุดบัญชีเล่มหนาบนโต๊ะถูกโยนมาจนหมดแล้ว เหวินซื่อจึงได้โล่งใจ หยุดอยู่กับที่ “เจ้านี่มัน…”

 

 

แท่นบดหมึกอันหนึ่งลอยเข้ามา น้ำหมึกด้านในกระเซ็นออกมาด้วย

 

 

เหวินซื่อตกใจมาก รีบหาที่หลบ เนื่องจากท่าทางคล่องแคล่วจึงรอดพ้นจากแท่นบดไปได้ แต่ว่าน้ำหมึกหกราดเขาไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

 

“เมิ่งเชี่ยนโยว!” เสียงตะคอก ทำเอาคนงานชั้นล่างกลัวจนตัวสั่น เสียงดังมากเสียจนคนตามท้องถนนต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างลืมตัว ดังเสียจนหวงฝู่อี้เกือบจะทิ้งเชือกในมือลงเสียแล้ว

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยืนแน่นิ่ง ขอเพียงบนบโต๊ะยังมีของให้ปาใส่เขาได้ หากไม่ใช่เพราะคนไร้น้ำยานี่ทำยาให้หวงฝู่อี้เซวียน เขาจะมารังแกตนได้ตลอดเวลาเช่นนี้หรือ หากไม่อัดเขาให้หลาบจำ ไฟโกรธในใจนางก็ยากจะหายไป

 

 

เหวินซื่อหลบไปด้านขวา ไม่มีท่าทางเกรงกลัวสักนิด กระทั่งของบนโต๊ะถูกโยนมาจนหมดแล้ว จึงได้หยุดพร้อมหายใจหอบ ไม่มีแม้แต่แรงจะตะโกนว่านาง กลายเป็นคำขอร้องแทน “นี่ มีเรื่องอะไรพูดกันดีๆ สิ เราไม่ลงไม้ลงมือกันแล้วดีหรือไม่” คำที่เหลือเขาไม่ได้พูดออกมา อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหริน มีคนมากมายมาประจบเอาใจ จะเห็นแก่หน้าเขาบ้างมิได้หรือ

 

 

สิ้นคำเขา ก็ต้องเบิกตาโต มองเมิ่งเชี่ยนโยวยกเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะบัญชีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นก็ถอยหลัง พลางโบกมือ “นี่เจ้า อย่า อย่า อย่านะ…”

 

 

เก้าอี้ลอยมาแล้ว หล่นลงตรงหน้าห่างจากเหวินซื่อไปเพียงคืบเดียว เก้าอี้หักพัง เศษไม้กระเด็นไปไกล

 

 

เหวินซื่อตกใจจนต้องถอยออกไปนอกประตู เกือบต้องวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เมื่อคิดได้ว่าทำเช่นนี้จะถูกลูกน้องหัวเราะเยาะเอาได้ จึงได้กัดฟันไม่ปล่อยให้ตนทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นลงไป

 

 

หลังจากระบายไปยกใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นั่งลงบนเก้าอี้ สั่งว่า “ข้ากระหายน้ำแล้ว”

 

 

อาละวาดเสร็จก็บอกว่าตนหิวน้ำ ซ้ำยังให้ตนไปยกน้ำชามาให้ เหวินซื่ออยากจะมีความกล้าตอบกลับไปว่า ไม่มีแรงจะปรนนิบัติเจ้าแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่กล้า นิสัยเมิ่งเชี่ยนโยวเขารู้ดี จึงได้แต่ถามเสียงเบาว่า “ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำชาเล่า”

 

 

“น้ำชา”

 

 

เหวินซื่ออยากจะสั่งคนให้ทำ แต่เมื่อคิดได้ว่าตนนั้นเปื้อนหมึกทั้งตัว จึงได้ถอนหายใจ “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกครู่ข้าจะลงไปเอาน้ำชามาให้”

 

 

“เร็วเข้า ข้ากระหายจะแย่แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เหวินซื่อรู้สึกเสียดายที่ตนได้รู้จักกับคนไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้นางโกรธ ตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี จากนั้นก็เดินลงไป

 

 

หมอและคนงานและคนไข้ที่โถงชั้นหนึ่งต่างมองมาทางเขา มองอย่างตาไม่กะพริบ เห็นว่าเหวินซื่อเดินลงมาด้วยหมึกเต็มตัว ในหัวก็จินตนาการภาพไปด้วย

 

 

ไม่กล้าระบายอารมณ์กับเมิ่งเชี่ยนโยว แต่สำหรับคนพวกนี้แล้วเหวินซื่อไม่เกรงใจ จึงมองกลับไปด้วยสายตาเย็นชา ทุกคนจึงก้มหน้าลงด้วยความกลัว

 

 

ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ จากนั้นก็สั่งว่า “ไปรินน้ำชามา” จากนั้นก็เดินไปยังห้องพักชั่วคราวด้านหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนงานก็เตรียมน้ำชาเสร็จแล้ว ยืนรอเหวินซื่ออยู่ด้านหน้าประตูรอเขาออกมา เมื่อรับชามาแล้ว ก็ถือขึ้นไปชั้นบน วางไว้ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เปิดฝาน้ำชา เป่าใบน้ำเบาๆ เล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม

 

 

หลังจากชาในแก้วหมดแล้ว เหวินซื่อก็รีบเทให้เต็มเช่นเดิม สังเกตสีหน้านาง ‘ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อครู่แล้ว’

 

 

เมื่อลองเปิดปากถาม “ข้าทำอะไรผิดหรือ จึงทำให้เจ้าโกรธมากเพียงนี้”