“เขาเป็นฝูงมารผลาญทำลายไปได้อย่างไรกัน มิใช่ว่าหลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว ชายขอบอากาศอันสับสนอลหม่านจึงค่อยมีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ไกลออกไปที่กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นอำมหิตหาใดเปรียบ ผิวกายยังมีเกล็ดงอกขึ้นมาชั้นหนึ่ง และผิวกายยังมีคลื่นความร้อนหมุนวน
โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไป หลังจากนั้นจึงมีฝูงมารผลาญทำลาย
แต่ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์…ก็มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ตอนแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว ดูจากเวลา ก็ย่อมไม่สามารถเป็นฝูงมารผลาญทำลายได้อยู่แล้ว
นอกเสียจากว่า…
“เขามิใช่สิ่งมีชีวิตของอากาศอันสับสนอลหม่านในยุคนี้ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตของยุคใดยุคหนึ่งก่อนหน้านี้ เป็นฝูงมารผลาญทำลายของยุคก่อนหน้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดการณ์ออกมาในทันที
การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอากาศอันสับสนอลหม่าน และการถือกำเนิดของฝูงมารผลาญทำลาย ต่างก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าทั้งกฎเกณฑ์สูงสุดกำลังผลักดันอากาศอันสับสนอลหม่านนี้เข้าสู่มหาวินาศ! หลังจากมหาวินาศแล้วจึงค่อยเหนี่ยวนำไปสู่ชีวิตใหม่! นั่นก็คืออีกยุคหนึ่งแล้ว
……
“อะไรกัน!”
“ฝูงมารผลาญทำลายหรือ”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นฝูงมารผลาญทำลายอย่างนั้นหรือ”
บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และบรรพชนโลกาที่สอดแนมดูเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ ผ่านศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาต่างก็ตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะเป็นลูกศิษย์ของเจ้าศิลา ถึงแม้ว่าเจ้าศิลาจะรู้แต่ก็มิได้พูดอะไรมาก เพราะว่าสำหรับเจ้าศิลาแล้วจะพูดหรือไม่ก็คงมิได้มีความหมายอะไรมากนัก!
ในโลกกำเนิดฝั่งนี้…
ก็มีเพียงแค่เจ้าศิลากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนเท่านั้นที่สามารถต้านทานมหาวินาศ แล้วมีชีวิตอยู่รอดมายังยุคต่อมา และยุคต่อๆ มาได้
เช่นทั้งยุคของอากาศอันสับสนอลหม่าน ดูเหมือนว่าเจ้าศิลาก็อยู่ในห้วงนิทราโดยตลอด ตื่นมาเป็นครั้งคราวเพียงไม่กี่ครั้ง เพื่อรับศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วบรรดาศิษย์ของเขาต่างก็ยากที่จะบำเพ็ญไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ไม่มีทางผ่านมหาวินาศไปได้เลย ดังนั้นเจ้าศิลาจึงได้เฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างยิ่ง เห็นการเกิดการตายจนชินชา ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจัง
ตามปกติแล้วจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางไปยั่วยุเจ้าศิลา
บุคคลระดับสุดยอดสองคนเดินบนเส้นทางสองเส้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความจำเป็น ก็น้อยนักที่จะห้ำหั่นกันจริงๆ ปกติแล้วในยามวิกฤติจึงค่อย ‘กระทบกระทั่ง’ กัน อย่างเช่นการแตกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ก็มี ‘เจ้าศิลา’ ลอบผสมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะเดินบนเส้นทางสองเส้น แต่ถ้าหากเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้าสู่ความสำเร็จ เจ้าศิลาก็จะไป ‘ทำลาย’ สักครั้ง ให้ร่นถอยไป!
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบความสำเร็จต่อหน้าต่อตา
ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะโมโห แต่ก็จนใจ เจ้าศิลามีเป้าหมายคือตนเอง ย่อมมิได้แยแสสนใจโลกภายนอกอยู่แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะทำลายเส้นทางของเจ้าศิลาก็ไม่มีหนทางจะทำลายได้! แต่เห็นได้ชัดว่าเส้นทางการบำเพ็ญตนเองนั้นก็เป็นเส้นทางที่ยากที่สุด
“เป็นฝูงมารผลาญทำลายได้อย่างไรกัน เขาเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แกร่งกล้าที่ถือกำเนิดขึ้นในตอนแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมนี่นา”
“หรือว่า…”
“มิใช่ฝูงมารผลาญทำลายของยุคพวกเรา”
เหล่าเทพจักรวาลต่างก็มิได้โง่งม สามารถคาดการณ์ออกมาได้อย่างรวดเร็วแล้วอดที่จะประหลาดใจมิได้
เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าที่มิได้อยู่มาเพียงแค่ยุคเดียว พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน
“เขามิได้เป็นของยุคนี้ คาดว่าอาจารย์ของข้าก็คงรู้ด้วย” บรรพชนโลกาพึมพำ เจ้าศิลาผู้เป็นอาจารย์เคยบอกเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องก้าวออกจากขั้นนั้นไปถึงขั้นสุดยอดจึงจะสามารถเอาชีวิตรอดจากมหาวินาศของอากาศอันสับสนอลหม่านได้
*******
พรึ่บ! พรึ่บ!
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คนหนึ่งอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง เหินตรงออกไปยังด้านนอกโลกทิพย์โบราณ เดิมทีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รวดเร็วเป็นที่สุดอยู่แล้ว หลังจากเผยร่างจริงแล้วความเร็วก็ยิ่งพุ่งทะยานขึ้นอีก
“ฟึ่บๆๆ” บนเกล็ดที่อยู่บนผิวกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสายฟ้าสีเทาโคจรอยู่ กลิ่นอายสีดำเคลื่อนหมุนรอบร่างกาย มือของเขากุมหอกยาวโบราณกระดำกระด่างเอาไว้ บนหอกยาวรวบรวมเอาพลังคุ้มครองของ ‘เจดีย์ทิพย์โบราณ’ ที่อยู่ไกลออกไปเอาไว้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีสายฟ้าสีเทาโคจรอยู่ด้านบนอีกด้วย
“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่งพลางมองดูท้องฟ้าเบื้องบน “ยังไกลจากการเหาะออกจากโลกทิพย์โบราณมากพอดูทีเดียว”
โลกทิพย์โบราณกว้างใหญ่เหลือเกินอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเหาะขึ้นสู่ด้านบนโดยตลอด อีกทั้งยังไม่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ การจะเหาะออกไปได้นั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
“ตายเสีย”
เกล็ดบนผิวกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นมา กลิ่นอายทำลายล้างพลันพุ่งสูงขึ้นในทันใด นัยน์ตาที่อ่อนโยนในอดีตของเขาในขณะนี้เย็นเยียบไปหมด กลิ่นอายของหอกยาวโบราณกระดำกระด่างก็เปลี่ยนเป็นน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดา ดูเหมือนทิ่มแทงลงมาเบาๆ
ฝูงมารผลาญทำลาย เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง!
และฝูงมารผลาญทำลายที่ไปถึงขั้นสุดยอด พรสวรรค์ก็ยิ่งวิวัฒน์จนถึงระดับที่สมบูรณ์แบบ พลังโจมตีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
“โลกหมื่นพัน เกิดขึ้นมา!” ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบินหลบหนีอย่างรวดเร็วอยู่นั้นก็หมุนกายแล้วฝ่ามือทั้งสองก็สำแดงยุทธวิธีคละถิ่น
พรึ่บ!
เห็นเพียงฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงโคจรเล็กน้อย เบื้องหน้าก็มีโลกที่ใหญ่โตมโหฬารราวกับม้วนภาพวาดใบแล้วใบเล่าเกิดขึ้นมา โลกชั้นแล้วชั้นเล่าเกิดขึ้นที่เบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง โลกดุจภาพวาด ทั้งยังกว้างใหญ่เป็นล้านล้านลี้ เพียงชั่วพริบตาโลกที่เรียงซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างแน่นขนัดเป็นพันเป็นหมื่นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก… หอกยาวทิ่มแทงออกมา โลกชั้นแล้วชั้นเล่า ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกทะลุผ่าน! ผลกระทบของความเร็วเกือบจะสามารถละเลยได้ ราวกับไม้เสียบเนื้อก็มิปาน หอกยาวพุ่งไปหลายหมื่นลี้ แทงทะลุโลกหมื่นพันแล้วไล่ล่าสังหารเข้ามาเช่นเดิม
“หมุน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม
พยายามบิดหมุนห้วงอากาศ
ยุทธวิธีเมฆาแดง ห้วงอากาศบิดหมุน แต่ถึงอย่างไรบริเวณรอบๆ ก็คือเขตพลังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งทั้งโลกทิพย์โบราณต่างก็เป็นอาณาเขตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น พละกำลังอันมหาศาลกดดันลงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั่วทั้งมิติแข็งเสียจนราวกับภูเขาใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุด ความยากในการบิดหมุนนั้นมากเกินไป ฝืนบังคับจึงจะขยับได้เป็นเส้นเล็กๆ
เส้นเล็กๆ นี้ยังมิใช่หอกยาวทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นเล่มนั้นที่เผชิญอยู่
ถ้าหากต้องการจะบิดหมุนหอกยาวเล่มนั้นเล่า ก็เหมือนกับแมลงเม่าคิดเขย่าต้นไม้นั่นเอง
ห้วงอากาศที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบิดหมุนเส้นนี้ สิ่งที่บิดหมุนก็คือตัวเอง!
ทำให้ตนเองหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลังในช่วงเวลาวิกฤติ
“ฉึก!”
ถึงแม้ว่าจะหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลัง หอกที่เดิมทีทิ่มแทงเข้าสู่ทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังคงทิ่มแทงเข้าสู่หัวไหล่ บริเวณปลายหอกก็ฉีกกรงขังโลกกำเนิด ผ่านจุดอ่อนของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด แทงทะลุกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดิม
“พรืด”
กล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของตงป๋อเสวี่ยอิงบิดเกร็งในทันที จงใจขยายบาดแผลให้ใหญ่ขึ้น ร่างกายก็เหินบินสลัดเอาหอกยาวเล่มนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสลัดออกไปแล้วโพรงเลือดตรงหัวไหล่ก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“ยังดีที่พลังคุกคามยังอ่อนแอกว่าที่ข้าคาดเอาไว้อยู่สักหน่อย” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับผ่อนคลาย ถึงแม้ว่าจะทิ่มแทงเข้ามา แต่ร่างกายที่แข็งแรงระดับเขา ต่อให้ถูกแทงเป็นโพรงมากกว่านี้ก็ยังไม่เป็นอะไรเลย สิ่งที่สำคัญก็คือ… จะทำร้ายไปถึงพลังชีวิตของตนได้หรือไม่ พลังคุกคามของหอกเล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะทำร้ายร่างกายตนแล้ว แต่อาการบาดเจ็บค่อนข้างเบา
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทงหอกนี้ออกมาก็รู้สึกได้ว่าฝีหอกนี้ของตนทำร้ายยอดฝีมือหน้ากากสีเงินผู้นี้มิได้สาหัสสักเท่าใดนัก
“หึ หากมิใช่เพราะสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณสั่งสมมาหมดสิ้นไป ข้าจะต้องเผยร่างจริงด้วยหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูชายหนุ่มหน้ากากสีเงินที่หลบหนีอยู่ไกลๆ แล้วลอบหงุดหงิดอยู่ในใจ
ร่างแปรทิพย์โบราณจึงจะเป็นเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
ร่างแปรทิพย์โบราณกับร่างจริงรวมสองเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว พลังรบพุ่งทะยาน กดดันให้เจ้าศิลามาต่อตี ก็ต่อตีเสียจนเจ้าศิลาบาดเจ็บสาหัส
สำหรับร่างจริงของฝูงมารผลาญทำลายน่ะหรือ พลังรบก็ยกระดับขึ้นมาสามสี่ส่วนแล้ว แต่ก็ยังมิอาจสู้ร่างแปรทิพย์โบราณได้ ร่างแปรทิพย์โบราณนั้นยกระดับขึ้นมาหลายเท่าแล้ว สำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ร่างจริงของฝูงมารผลาญทำลายเชี่ยวชาญเป็นหลักก็คือด้านการรักษาชีวิต ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็ได้แต่ใช้เคล็ดลับที่อ่อนแอกว่าสักหน่อยแล้ว
“ทำร้ายเขาสักร้อยครั้งพันครั้ง ดูว่าเขาจะยังสามารถต้านรับได้อีกหรือไม่ ต่อให้ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องพยายามจับกุมตัวเขาให้ได้” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ
ยอดฝีมือผู้ลึกลับ
วิถีอากาศร้ายกาจถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีร่างกายอันน่าหวาดหวั่น นับตั้งแต่ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ หมดสิ้นไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใจว่าที่อากาศอันสับสนอลหม่านในยุคนี้ เขาคิดอยากจะควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ก็มีความหวังอันคลุมเครือแล้ว ต้องรอให้ถึงยุคต่อไป… มาเริ่มต้นกันใหม่! แต่สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ล้ำค่าก็คือเคล็ดวิชาที่เขามุ่งมาดปรารถนาจำนวนหนึ่ง
อย่างเช่นเคล็ดวิชาร่างแยก อย่างเช่นเคล็ดวิชาฝึกกาย ในท้ายที่สุดแล้วก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เขามีเวลาอย่างไร้ขีดจำกัดให้สามารถค่อยๆ บำเพ็ญไปได้!
……
“ฟึ่บๆๆ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สำแดงเคล็ดวิชาหอกอันลึกลับน่าหวาดหวั่น มิได้หมายจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง แต่เพื่อถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ทำให้เขาหนีไม่พ้น
“เจ้าหนีไม่พ้น ข้าแนะนำว่าเจ้าร่วมมือกับข้าเสียดีกว่า แล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถ่วงเวลาตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ไม่ให้เขาหนีพร้อมกับพูดเสนอแนะ
“เป็นการต่อสู้ประชิดตัวที่ร้ายกาจนัก” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่ามียุทธวิธีเมฆาแดงและยุทธวิธีคละถิ่นอยู่ในมือ ไม่พูดถึงพลังคุกคามทางด้านการต่อสู้ประชิดตัว ทางด้านทักษะก็คงจะสามารถสู้กันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดยิ่ง
หมดหนทาง พวกบรรพชนโลกามา ก็ถูกต่อตีบีบคั้นเช่นกัน
“เคล็ดผนึกห้าภาพ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพอย่างฉับพลัน
พรึ่บ
เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มิติเล็กๆ ที่เขาอยู่ก็หายสาบสูญไปด้วย
“ยังมีเคล็ดวิชานี้อีกหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ดูท่าที ทันใดนั้นหอกยาวก็พุ่งแทงไปทางจุดที่มิตินั้นหายลับไป
ปัง!
จุดนั้นระเบิดออกมาในทันที ลำแสงสามสายลอยพุ่งออกไปยังสามทิศทางพร้อมๆ กัน
“อะไรกันนี่”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังตื่นตระหนกเล็กน้อยไปชั่วครู่ เพราะว่าลำแสงสามสายนั้น แต่ละสายต่างก็เป็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่สวมหน้ากากผู้นั้น แม้กระทั่งวิถีอากาศที่สำแดงและความเร็วในการเหินทะยานก็เหมือนกันทุกประการ! มิอาจมองความแตกต่างใดๆ ออกได้เลย
“ใครกันที่เป็นร่างจริง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์งุนงงไปชั่วครู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็คาดเดาได้ สายตาก็ยิ่งทวีความร้อนระอุ “หรือว่าจะเป็นร่างจริงทั้งหมด เป็นศาสตร์ร่างแยกใช่หรือไม่”
เขามุ่งมาดปรารถนาในเคล็ดวิชาจำนวนมาก
ศาสตร์ร่างแยกจะต้องจัดอยู่หัวแถวอย่างแน่นอน!
“ฟึ่บ ฟึ่บ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เลือกร่างแยกร่างหนึ่งในนั้นแล้วไล่ตาม พร้อมกันนั้นเขาก็นึกคิดคราหนึ่ง ควบรวมเอาพลังของโลกทิพย์โบราณออกมาเป็นร่างแปรสองร่าง! ร่างแปรสองร่างแยกกันเข้าไปขัดขวางอยู่ข้างชายหนุ่มอาภรณ์ขาวอีกสองร่าง
ร่างแปรจะสำเร็จไปถึงพลังรบระดับเทพจักรวาลได้นั้น สำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะต้องสิ้นเปลืองพลังจิตเป็นอย่างมาก เขาก็รักษาเอาไว้ได้อย่างมากแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“ไล่ล่าข้าหรือ”
ร่างแยกทั้งสามกำลังหลบหนี อันที่จริงแล้วความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็มิได้มากมายนัก แต่มีเพียงแค่ร่างหลักเท่านั้นที่บำเพ็ญฝึกกายคละถิ่น อีกทั้งยังพาตัวอวี๋จิ้งชิวและคนอื่นๆ ไปด้วย
“ไป” “ไป” “ไป”
ร่างทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังหลบหนี เกือบจะสำแดงกระบวนท่าเดียวกันออกมาอย่างต่อเนื่องกันเคล็ดผนึกห้าภาพ!
ปัง ปัง ปัง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และร่างแปรทั้งสองของเขาที่แยกจากกันต่างก็ถูกเคล็ดผนึกห้าภาพกักขังเอาไว้
“ปัง” ร่างจริงของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทลายเปิดออกได้ในทันใด แต่ร่างแปรทั้งสองของเขาที่ติดกับอยู่ภายในมิติปิดผนึกห้าภาพกลับไม่สามารถดิ้นรนออกมาได้ในชั่วขณะหนึ่ง
“ร่างจริงของข้ามีพลังยุทธ์เต็มร้อย ส่วนร่างแยกทั้งสองนั้นถึงแม้ว่าวิญญาณจะอ่อนแอสักหน่อย แต่การสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพก็มิใช่เรื่องยาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ถ้าหากเขาปรารถนาก็สามารถทำให้ร่างจริงรักษาพลังรบระดับสุดยอดเอาไว้ แล้วให้ร่างอื่นๆ อีกแปดร่างรักษาพลังยุทธ์เอาไว้ห้าส่วนได้
“ร่างแปรสามร่าง เจ้าไล่ล่าผิดตัวเสียแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอมยิ้ม
ใช่แล้ว
ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่าสังหาร…
มิใช่ร่างแยกหลักที่พาตัวอวี๋จิ้งชิวไป อันที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรร่างกายทั้งสามร่างก็เหมือนกันทุกประการ กลิ่นอายก็เหมือนกัน มองเผินๆ ก็ไม่เห็นความแตกต่างใดๆ เลย จะเลือกอย่างถูกต้องได้ก็ต้องอาศัยโชคล้วนๆ
“ต่อให้โชคดีเลือกได้ถูก ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้าก็ยังมีร่างแยกอื่นอีกห้าร่าง” นี่จึงจะเป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีความมั่นใจถึงเก้าส่วน
การรักษาชีวิตตนเองร้ายกาจนัก! ผสานกับร่างแยกแปดร่างที่มาในครั้งนี้!
แม้กระทั่งอยู่ที่รังเดิมอย่างโลกทิพย์โบราณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกมีความหวังเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เขาก็มิได้รู้สึกว่ายากเย็นจนเกินไปนัก
ที่สำคัญก็คือ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ อันน่าหวาดหวั่นที่สุดในตำนานมิได้ปรากฏตัวขึ้น
“หืม” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังหลบหนีเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆ กัน
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มองไปด้วยเช่นกัน
ที่บริเวณรอบนอกสุดของท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณอันใกล้กับอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่นั่นมีทางเชื่อมหมุนวนที่บิดเบี้ยวปรากฏขึ้น เงาร่างสี่สายเหินลอยออกมาจากในนั้น พวกเขาแต่ละคนมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายยังเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก ทุกคนล้วนเป็นเทพจักรวาลระดับขั้นที่สองขั้นสุดยอดทั้งสิ้น พวกเขาสี่คนซึ่งก็คือบรรพชนโลกา ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และจอมกระบี่ เพิ่งปรากฏตัวขึ้น พวกเขาสี่คนก็ออกกระบวนท่าเสียแล้ว!
…………………………………..