ตอนที่ 2021 อสูรหางผีเสื้อ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เสียง ‘พรึ่บ พรึ่บ’ ดังแหวกอากาศ แสงสีทองสิบกว่าสายพุ่งออกจากดวงตาทั้งหกของเทวรูปตามลำดับ เพียงกะพริบวาบ ก็กระแทกใส่อสูรสีเงินที่กำลังหลบหนีอย่างแม่นยำ

พวกมันร้องโหยหวนออกมา แล้วร่างก็ละลายหายไปในแสงสีทองทันที

เมื่อเห็นดังนี้ มารร่างใหญ่กับมารชราแม้รู้อยู่แก่ใจว่าขั้นบำเพ็ญเพียรของหานลี่เหนือกว่าพวกตน ก็ยังอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

อย่างไรเมื่อครู่ทั้งสองก็พัวพันกับอสูรสีเงินด้วยตัวเองนานพอสมควร จึงรู้ถึงความร้ายกาจของพวกมันดี ทว่า ‘ผู้อาวุโส’ ท่านนี้กลับขยับมือเท้าเล็กน้อย ก็สังหารพวกมันได้ในคราวเดียวแล้ว อิทธิฤทธิ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองจินตนาการได้

ตอนนี้ ในหมู่อสูรมารที่อยู่ใกล้ๆ กัน หลังจากไม่มีอสูรสีเงินเหล่านี้ อสูรมารที่ลังเลใจอยู่แต่เดิม ก็ส่งเสียงดังอื้ออึง แล้วแยกย้ายกันไปภายใต้การนำของอสูรตัวเขียว

อสูรมารนับไม่ถ้วนล่าถอยไปยังทุ่งหญ้าส่วนลึกอย่างรวดเร็วดุจกระแสน้ำ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงจึงว่างเปล่าในพริบตา

หานลี่ไม่มีทีท่าว่าจะไล่ตามไปแต่อย่างใด กลับปล่อยจิตสัมผัสอันแก่กล้าสำรวจมองไปในที่ที่ไกลออกไป พบว่าอสูรมารที่อยู่ในที่อื่นๆ เหมือนได้รับข่าวแล้ว จึงพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่นเช่นกัน

คลื่นอสูรอันน่ากลัวเช่นนี้ ในที่สุดก็ถูกกำจัดไปในลักษณะนี้

หลังจากหานลี่สัมผัสเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ ก็เป่าปากออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลง

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต ถ้ามิใช่ผู้อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เราสองคงต้องตกตายอยู่ในปากของอสูรหมาป่าขาวเหล่านี้แล้ว”

หลังจากมารร่างใหญ่ร่ายอาคมรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่สักพัก ก็รุดมายืนใกล้ๆ หานลี่พร้อมกับมารชรา พอเหลือบมองเทวรูปสามเศียรหกกรที่ดุดัน ก็พูดอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง

“ไม่เป็นไร ข้าก็แค่โบกมือเท่านั้น และลงมือหลังจากที่พวกเจ้ารับปากข้าแล้ว” หานลี่ชำเลืองมองทั้งสอง ก่อนตอบเบาๆ และพอไหล่สั่น เทวรูปที่ใหญ่โตก็หายวับไป

“ชีวิตเราเป็นผู้อาวุโสช่วยไว้จริงๆ ไม่ทราบว่าผู้น้อยทั้งสองพอจะทำอะไรให้ผู้อาวุโสได้บ้าง” หลังจากมารชรากะพริบตาสามเหลี่ยม ก็พูดอย่างเคารพนบนอบ

“เล่าความเป็นมาเป็นไปของพวกเจ้าให้ข้าฟังก่อน ว่าเหตุใดถึงปรากฏตัวในที่เช่นนี้ได้!” หานลี่ไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ถามกลับไปหนึ่งประโยค

“ผู้น้อยทั้งสองเป็นผู้คุมกฎของเมืองเซวี่ยยา ครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองให้มาสังหารราชาอสูรหมาป่าขาว เร่งเร้าให้คลื่นอสูรกระจายไปจากที่นี่ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จนเกือบทิ้งชีวิตไว้ที่นี่” มารร่างใหญ่ยืดตัวตรงขณะตอบ

แม้พวกเขาทั้งสองสัมผัสไม่ได้ถึงขั้นบำเพ็ญเพียรของหานลี่ แต่ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นมารที่มีพลังแก่กล้ายิ่งท่านหนึ่ง จึงไม่กล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อย

“ด้วยขั้นบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้า แฝงตัวเข้าไปในฝูงอสูรก็ได้หรือ อีกทั้งอิทธิฤทธิ์ของราชาอสูรหมาป่าขาวนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเจ้าเลย การสังหารมันไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย ส่วนเมืองเซวี่ยยา ข้ากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือเป็นเมืองที่อยู่แถวนี้” หานลี่ครุ่นคิดสักพัก แววตาแสดงความสงสัยขณะถาม

แม้เขาอาศัยข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ส่วนหนึ่งกับม้วนหนังสือที่บรรพชนตระกูลหล่งส่งมาให้อ่านก่อนออกเดินทาง ทำให้เข้าใจแดนมารในระดับหนึ่ง แต่ย่อมไม่มีทางรู้จักเมืองทุกเมืองในแดนมารดุจรู้จักนิ้วมือตนเอง

ทว่าในเมื่อข้อมูลไม่ได้กล่าวถึง คิดว่าเมืองเซวี่ยยาแห่งนี้ก็ไม่น่าจะใหญ่มาก

“ดูเหมือนผู้อาวุโสมาจากพื้นที่อื่น การที่เราสามารถแฝงตัวเข้าไปในฝูงอสูร แล้วสังหารราชาอสูรนั้น จริงๆ แล้วเรามีตัวช่วยอย่างของวิเศษกับยาวิญญาณเฉพาะทางหลายชนิดถึงจะทำได้ หาไม่แล้วลำพังอิทธิฤทธิ์ของเราสองเอง ไหนเลยจะริอ่านรนหาที่บุกเข้ามาในคลื่นอสูรเช่นนี้ ส่วนเมืองเซวี่ยยาเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่จริง แม้ไม่นับว่าใหญ่โต แต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงในพื้นที่อยู่บ้าง ด้วยเจ้าเมืองเราเป็นใต้เท้าจอมมารที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง!” เรื่องราวเหล่านี้ย่อมไม่มีอะไรต้องปิดบัง มารชราจึงตอบโดยไม่ต้องคิด

“อ้อ ฟังจากน้ำเสียงของพวกเจ้า ดูเหมือนเมืองเซวี่ยยาค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ยังมีผู้สูงศักดิ์คอยดูแลด้วย! หรือมีสถานะพิเศษอื่นใดอีก” หานลี่ประหลาดใจเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสคงไม่ทราบว่า เมืองเซวี่ยยาตั้งอยู่ในเส้นทางสายแร่ผลึกแสงโลหิต ซึ่งผลึกแสงโลหิตที่ผลิตได้ทั้งหมดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับสหายผู้ฝึกวิชามารสายโลหิตจำนวนมาก และวิชาที่ใต้เท้าเจ้าเมืองเราฝึกก็คือ มหายุทธ์ทะเลโลหิต ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแดนศักดิ์สิทธิ์ หาไม่แล้ว ฐานะของเขา จะได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าเมืองในเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง เมืองเซวี่ยยาเราแม้มีขนาดเล็กกว่า แต่ในรัศมีหลายหมื่นลี้นี้ มีเมืองเราเพียงเมืองเดียว สหายในพื้นที่ใกล้เคียงที่คิดเข้าออกทุ่งหญ้าเพื่อล่าอสูรมาร ก็ล้วนมาพักในเมืองเราระยะหนึ่ง ถ้าผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ก็สามารถตามผู้น้อยเข้าไปพักผ่อนในเมืองสักพัก เมืองเรากำลังจะจัดงานประมูลเล็กๆ ขึ้นในเร็ววันนี้ อาจมีของบางอย่างที่เข้าตาผู้อาวุโส” หลังจากมารชรากลอกตาเล็กน้อย ก็พูดอย่างระมัดระวัง

“งานประมูล? แม้ข้าสนใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่น่าจะมีเวลาเข้าร่วม มีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปทำ” หานลี่สั่นศีรษะ ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลใจทันที

มารชราได้ยินดังนี้ ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างอดไม่ได้

“ผู้อาวุโสคิดจะไปพื้นที่ทุรกันดารหรือ” มารชรากลับลังเลใจอยู่บ้างก่อนถาม

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังจะไปพื้นที่ทุรกันดาร” สีหน้าหานลี่ขรึมลง มีร่องรอยความกดดันจากความกลัวเล็ดลอดออกจากร่าง

“ผู้อาวุโสอย่าเพิ่งเข้าใจผิด! สหายท่านใดก็ตามที่เข้ามาในเส้นทางใกล้ๆ กับเมืองของเรา ถ้าไม่ไปล่าอสูรมารในส่วนลึกของทุ่งหญ้า ก็ต้องไปพื้นที่ทุรกันดารนั่นแล้ว นอกเหนือไปจากนี้ ผู้น้อยก็คิดไม่ออกแล้วว่าเส้นทางสายนี้จะไปที่ไหนได้อีก” มารร่างใหญ่รีบเอ่ยปากพลางหน้าเปลี่ยนสี

“ฟังจากความหมายของเจ้า ถ้าจะไปพื้นที่ทุรกันดารนั่น อย่างไรก็ต้องผ่านเมืองเซวี่ยยาของพวกเจ้า” หานลี่คลับคล้ายฟังความหมายของมารร่างใหญ่ออก จึงถามอย่างเย็นชา

“ไม่ใช่อย่างแน่นอน! แต่ถ้าผู้อาวุโสคิดจะไปพื้นที่ทุรกันดารในตอนนี้ เกรงว่าต้องพักอยู่ในเมืองเรากว่าครึ่งเดือนเห็นจะได้” คราวนี้เป็นมารชราที่รีบพูดแทรกขึ้นมา

“อ้อ ทำไมล่ะ หรือด้านหน้ามีคนขวางทางอยู่” หานลี่ขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ที่เช่นนี้จะมีคนกล้าทำเรื่องต้องห้ามเช่นนั้นได้อย่างไรกัน แต่การไปพื้นที่รกร้างนั่น ต้องผ่านพื้นที่ช่วงหนึ่งทางทิศตะวันออก ซึ่งคลื่นอสูรอันน่ากลัวอีกชนิดกำลังกรูกันเข้ามา ถ้าเทียบกับคลื่นอสูรหมาป่าขาวของที่นี่ ย่อมไม่มีคุณค่าพอที่จะพูดถึง ซึ่งถ้าผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับจอมมารอย่างผู้อาวุโสตกอยู่ในนั้น ก็เสี่ยงอันตรายมากอยู่เหมือนกัน คลื่นอสูรชนิดนี้หลั่งไหลมาได้ครึ่งเดือนแล้ว คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าวันจึงจะผ่านไปได้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ จึงมีแต่เมืองเราที่นับว่าปลอดภัยให้ผู้อาวุโสได้พักผ่อนบ้าง” มารร่างใหญ่อธิบายอย่างละเอียด

“คลื่นอสูรอะไรถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ อสูรฟันเหล็กหรือ” เมื่อได้ยินดังนี้ ม่านตาของหานลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหดลงขณะถาม

จากข้อมูลในแดนมารที่เขารู้มา อสูรฟันเหล็กคืออสูรมารที่น่ากลัวที่สุดในทุ่งหญ้า ไม่เพียงอันดับไม่ต้อยต่ำ จำนวนอสูรในฝูงแบบเบาะๆ ก็ปาเข้าไปนับสิบล้านตัวแล้ว ชนเผ่ามารที่ดำรงชีวิตอยู่บริเวณชายขอบทุ่งหญ้าล้วนหน้าเปลี่ยนสีเวลาพูดถึงพวกมัน

“ถ้าอสูรฟันเหล็กก่อตัวเป็นคลื่นอสูรจริงๆ ผู้น้อยก็ไม่โน้มน้าวผู้อาวุโสแล้ว ด้วยอิทธิฤทธิ์ของผู้อาวุโส ขอเพียงมีของวิเศษที่ใช้ยับยั้งอสูรชนิดนี้โดยเฉพาะติดตัวอยู่บ้าง การเดินทางผ่านฝูงพวกมันไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่คลื่นอสูรที่ไหลมาทางตะวันออกในครั้งนี้ เป็นอสูรหางผีเสื้อที่ทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ยากมากที่จะได้พบเจอ” หลังจากมารร่างใหญ่หายใจเข้าลึกๆ ก็แสดงวี่แววหวาดกลัวออกมา

“อสูรหางผีเสื้อ อสูรพิษที่มีชื่อเสียงโด่งดังชนิดนั้นหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ อสูรชนิดนี้มิได้อาศัยอยู่ในป่าทึบหุบเขาลึกหรอกหรือ ทำไมถึงมาอยู่ชายขอบทุ่งหญ้าได้ล่ะ” ในที่สุดหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสีแล้ว

“ไม่ผิด อสูรชนิดนี้แหละ ส่วนเรื่องที่มันมาปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนี้ได้อย่างไรนั้น ชาวเมืองเซวี่ยยาอย่างเราก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก รู้แต่ว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนอสูรมารชนิดนี้จู่ๆ ก็กรูกันออกมาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า จากนั้นก็หากินวนเวียนอยู่แถวชานเมืองตะวันออกไม่ไปไหนอีก สหายส่วนใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงพากันอพยพเข้ามาในเมืองเรา แต่ตามนิสัยของอสูรชนิดนี้ ไม่มีทางหยุดอยู่กับที่นานกว่าหนึ่งเดือน ตราบใดที่เมืองเราไม่ไปรบกวนพวกมันก่อน ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร และต่อให้อสูรหางผีเสื้อเหล่านี้จู่โจมเมืองเราอย่างฉับพลัน แนวต้องห้ามของเมืองเราก็ใช่ว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ” มารร่างใหญ่ตอบรวดเดียวจบ

นี่กลับยุ่งยากอยู่บ้างจริงๆ

อสูรหางผีเสื้อแม้อยู่ในระดับสูงกว่าอสูรฟันเหล็กเล็กน้อย แต่หมอกพิษที่มันปล่อยออกมาร้ายกาจเหลือคณา ไม่เพียงรวมตัวกันในที่ที่หนึ่งโดยไม่กระจายออกตลอดทั้งวันแล้ว ยังค่อยๆ กัดเซาะแสงวิญญาณคุ้มกันร่างและวิธีป้องกันต่างๆ นานาได้อีก การป้องกันจึงไม่เป็นผล

พอคิดถึงสภาพที่ตลอดทั้งร่างจมอยู่ในหมอกพิษอันไร้ขอบเขต แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า

หานลี่กะพริบตาเล็กน้อยพลางครุ่นคิด

“เจ้าสองคนรอสักครู่ เรื่องนี้ไม่เล็ก ข้าต้องหารือกับสหายไม่กี่ท่านให้ถ้วนถี่ก่อน”

สิ้นเสียง หานลี่ก็พลิกฝ่ามือ หยิบยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา หลังจากพูดงึมงำกับมันเบาๆ ก็ชูมือขึ้น เสกมันไป แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออก พอวาบก็หายไปในที่ว่างอย่างไร้ร่องรอย

มารร่างใหญ่กับมารชราแม้อึ้งอยู่บ้าง แต่ด้วยความเกรงกลัวต่อพลังอันแข็งแกร่งของหานลี่ ย่อมไม่กล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมาแม้ครึ่งคำ ได้แต่รอสหายของ ‘จอมมารหาน’ เงียบๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

และแล้วหนึ่งชั่วยามให้หลัง ขอบฟ้าพลันมีเสียงแหวกอากาศดังลั่น สายรุ้งตื่นตาหลายสายแหวกอากาศโผล่ออก พอวาบก็มาถึงตรงหน้าหานลี่ พอเก็บลำแสงลง ชายหญิงที่แต่งกายแตกต่างกันกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

คนเหล่านี้ล้วนมีไอบริสุทธิ์สีดำจางๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วร่าง ซึ่งก็คือกลุ่มบรรพชนตระกูลหล่งที่เพิ่งกระตุ้นมุกปลอมตัวเป็นมารมา

“คารวะใต้เท้าจอมมารทุกท่าน!”

พอมารร่างใหญ่กับมารชราใช้จิตสัมผัสตรวจตราร่างของคนกลุ่มนี้คร่าวๆ พลันสูดอากาศเย็นเข้า รีบก้าวไปข้างหน้า แสดงความเคารพตามมารยาท

แต่ความตื่นตระหนกในใจของพวกเขาเป็นเรื่องที่จินตนาการได้

ซึ่งจะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ แม้ในแดนมารมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน แต่ทีเดียวปรากฏผู้ซึ่งดำรงอยู่แบบจอมมารออกมามากมายขนาดนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนปากอ้าตาค้างเรื่องหนึ่ง

มารร่างใหญ่กับมารชราในยามนี้จึงเหลือเพียงใจที่ระแวดระวังเต็มๆ ไม่กล้าคิดอื่นใดอีก

“พี่หาน ข่าวที่ส่งมาเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ ที่ว่าด้านหน้ายังมีคลื่นอสูรอีกกลุ่มที่ร้ายกาจกว่า ก่อตัวขึ้นจากอสูรชนิดที่มีพิษประหลาดอย่างอสูรหางผีเสื้อ” บรรพชนตระกูลหล่งไม่เห็นมารระดับหลอมสุญตาทั้งสองอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ถามหานลี่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดก่อน

“ข้าก็รู้มาจากปากของสหายทั้งสองท่านนี้น่ะ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จ อย่างไรขอเพียงเราไปสำรวจดูสักตั้ง ก็จะรู้เองว่าจริงหรือเท็จ” หานลี่ตอบเรียบๆ

“ถ้าเป็นเช่นนี้ การเดินทางของเราก็ถูกขัดขวางแล้วจริงๆ ถ้ามีอสูรหางผีเสื้อแสนกว่าตัว กระทั่งหลายแสนตัว ด้วยฝีมือของเราล้วนสังหารพวกมันจนเกลี้ยงได้ แต่ถ้าก่อตัวเป็นคลื่นอสูรละก็ ต่อให้เรารวมพลังกันทะลุทะลวงเข้าไป คาดว่าก็ต้องสูญพลังปราณไปกว่าครึ่ง” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูด