ตอนที่ 1801 พลังที่แท้ของสามสัตว์อสูร

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ที่ด้านนอกยอดเพลิงเมฆาตอนนี้มีสามเงาร่างกำลังยืนมองดูอยู่

คนที่เดินนำหน้ามานั้นใส่ชุดสีฟ้าครามเปี่ยมไปคลื่นพลังสุดแข็งแกร่ง เขานั้นเป็นถึงยอดฝีมือนภาสวรรค์

หากเย่หยวนอยู่ตรงนี้เขาคงบอกได้ทันทีว่านี่คือเชียนเย่

และคนทั้งสองที่ด้านหลังนั้นหนึ่งคือจงฮันหลินที่เพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่นาน ส่วนอีกคนนั้นคือศิษย์ที่จัดการส่งเย่หยวนเข้ามาเปิดถ้ำหลวงในยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้

“หวังเฉียน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก จากวันนี้ไปเจ้าเป็นผู้ติดตามชั้นนอกของนิกายบุปผาเหินเราแล้ว เอาโอสถนี่ไปเป็นรางวัลของเจ้า”

เชียนเย่โยนเม็ดโอสถออกมาด้วยท่าทางสุดหยิ่งผยอง

แต่ว่าทางหวังเฉียนนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ภายในใจของเขากลับตื่นเต้นดีใจอย่างมาก

“ขอบพระคุณศิษย์พี่เชียนเย่! ในวันหน้าหากศิษย์พี่เชียนเย่มีเรื่องราวใดต้องการให้ข้ารับใช้ขอให้บอกหวังเฉียนผู้นี้มาได้เลย หวังเฉียนผู้นี้พร้อมที่จะทำการอันตรายทุกสิ่งอย่างเพื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย!”

เชียนเย่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบกลับมา “เจ้าแน่ใจนะว่ามันเข้าไปในยอดเพลิงเมฆาแล้ว?”

หวังเฉียนตอบ “ศิษย์พี่ท่านโปรดวางใจ วันนั้นข้าเฝ้ามองดูพวกมันจนมันเดินเข้าไปในยอดเพลิงเมฆากับตา”

เชียนเย่ตอบกลับไป “พลังวิญญาณบนยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเบาบาง ที่สำคัญมันยังเป็นถิ่นของสัตว์อสูรระดับห้าด้วย ไอ้เด็กคนนั้นมันมั่นใจในตัวเองมากถึงยอมทำตามมาง่ายๆ คิดว่าการมายังที่แห่งนี้จะช่วยฝึกฝนตัวเองได้ แต่หากมันไปเจอสัตว์อสูรระดับห้าเข้ามันย่อมไม่มีทางรอดชีวิต ไปดูมันหน่อยแล้วกัน”

เชียนเย่นั้นมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมาก ต่อให้เขาจะเจอเข้ากับสัตว์อสูรระดับห้าเขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถถอยหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย

เวลานั้นเองก็มีอีกหลายเงาร่างรีบมุ่งหน้ามายังจุดหมายเดียวกันนี้

ผู้ที่กำลังมานั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม พวกเขามุ่งหน้ามาพร้อมๆ กันราวกับว่าได้นัดกันมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะมายังยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้ด้วยกัน

เชียนเย่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “พวกเจ้านี่มันชุบมือเปิบเก่งกันจริงๆ!”

ชายชุดขาวข้างๆ ต้วนชิงหงพูดขึ้น “หึ เชียนเย่ เจ้าต่างหากที่เร็วกว่าใครเพื่อน”

ชายคนนี้เองก็มีคลื่นพลังที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเชียนเย่เลย หมายความว่าเขาเองก็เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์

แน่นอนว่าพวกเขานั้นเป็นคนจากนิกายดาบเมฆา

อีกสองกลุ่มคนนั้นหนึ่งคือเจียงเชอเหยียนจากนิกายเหย้าอมตะ ส่วนอีกด้านเป็นคนจากนิกายคชสารมาร แน่นอนว่ามันคงไม่มีใครนำมาได้นอกจากซ่งถิง

“หึ เจ้าว่าเช่นนั้นมันก็ไม่ถูก การสังหารชีวิตน้อยๆ ของเย่หยวนมันไม่ได้ยากเย็นใดๆ เจ้าเองก็เคยคิดสังหารมันด้วยเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เช่นกันนี่?” เจียงเชอเหยียนบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เชียนเย่กล่าวสวนกลับมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ตอนที่เราเจอกันในเทือกเขาเงาจันทร์ เจ้ามาอวดอ้างตัวและคิดจะหยุดข้าให้ได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าเองที่คิดสังหารมัน”

เจียงเชอเหยียนยิ้มตอบ “เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนั้นเจ้าคิดจะลงมือต่อไป่หลี่นี่!”

เชียนเย่หันไปมองด้วยหางตา “เลิกไร้สาระสักที! ไหนๆ ทุกคนก็มาด้วยกันแล้วทำไมเราไม่เข้าไปในยอดเพลิงเมฆาพร้อมๆ กันเลยล่ะ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเราแล้วการเข้าไปสำรวจดูครั้งนี้มันคงมิใช่ปัญหาใดๆ”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหลายก็พยักหน้าออกมาพร้อมๆ กัน

เมื่อศิษย์ระดับนภาสวรรค์หลายต่อหลายคนลงมือพร้อมกันเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินจัดการ

กลุ่มคนนี้เดินขึ้นไปบนยอดเพลิงเมฆาและเริ่มตามหาร่องรอยของพวกเย่หยวนทั้งสองคน

รอยที่เย่หยวนทิ้งไว้นั้นมันแสนชัดเจน บนภูเขานั้นมีหลายจุดที่เกิดร่องรอยการต่อสู้ขึ้นเพราะฉะนั้นการตามหามันจึงไม่ยากเลย

เชียนเย่และพวกไม่ได้ใช้เวลานานมากนักก่อนจะมาพบศพของสัตว์อสูรถูกฟาดฟันกระจัดกระจาย

เมื่อพวกเขาได้เห็นศพของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายทั้งสามตัวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เริ่มซีดลงอย่างทันตาเห็น

“ไอ้เด็กคนนี้มันช่างมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! แค่ราชันพระเจ้าหกดาวกลับสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายได้! ที่สำคัญดูแล้วการต่อสู้ไม่น่าจะกินเวลานานมากด้วย!” เชียนเย่บอก

แต่เขียงเชอเหยียนกลับตอบขึ้น “มันแปลกอะไร? เจ้าคิดว่ามันได้รับอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามาได้อย่างไร? เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงต้องตาย!”

ทุกคนพยักหน้าออกมาเมื่อได้ยิน การปรากฏตัวของยอดอัจฉริยะขนาดนี้มันย่อมจะทำให้อำนาจของสามนิกายใหญ่สั่นคลอน

เรื่องราวแบบนั้นมันพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้น

การที่เย่หยวนถูกส่งไปยังยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นสามนิกายใหญ่ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

ไม่เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมา ต่อให้เขาไม่มีพลังอำนาจใหญ่ใดๆ หนุนหลังเขาก็ไม่น่าจะตกต่ำจนถูกโดยนมายังยอดผู้กล้าสวรรค์นี้

ศิษย์ระดับนภาสวรรค์ของนิกายดาบเมฆา อี้ชิงเซียงบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก “พลังงานวิญญาณตรงหน้ามันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าที่นั่นคงเป็นที่ๆ มันเลือกจะเปิดถ้ำหลวงขึ้น แต่พื้นที่แถบนี้เองมันก็ใกล้กับเขตแดนของสัตว์อสูรระดับห้าแล้วใช่ไหม?”

ได้ยินคำพูดนั้นของอี้ชิงเซียงทุกคนก็ยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน

ต่อให้เย่หยวนจะเก่งกาจขนาดไหน เมื่อต้องไปเจอกับสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ย่อมเท่ากับความตายอยู่ดี

ทุกคนตามรอยเท้าของเย่หยวนมาจนใกล้ถึงตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นมาขึ้นเรื่อยๆ

“ยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเป็นดินแดนรกร้างห่างไกล! ที่ๆ มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดกลับไม่อาจจะเทียบเท่าถ้ำหลวงระดับสามได้ด้วยซ้ำ”

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ เชียนเย่ก็บอกขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย

คนอื่นๆ เองก็แสดงท่าทางเห็นด้วยออกมาอย่างถึงที่สุด

ถ้ำหลวงที่พวกเขาได้ทำการบ่มเพาะนั้นคือถ้ำบนตาล่มวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น เมื่อมาเห็นสภาพของยอดเพลิงเมฆาที่แห้งเหือดนี้พวกเขาย่อมดูถูกเหยียดหยามมัน

เดิมทียอดผู้กล้าสวรรค์นั้นก็เป็นยอดที่มีพลังวิญญาณเหือดแห้งที่สุดอยู่แล้ว ยอดเพลิงเมฆานี้เองก็เป็นยอดที่อยู่ในระยะไม่ไกลจากยอดผู้กล้าสวรรค์นัก พลังวิญญาณของยอดเขาในที่แบบนี้มันย่อมไม่มีทางจะหนาแน่นไปได้

“โฮ่ก!”

“โฮ่ก!”

“โฮ่ก!”

จู่ๆ ก็เกิดเสียงสัตว์คำรามขึ้น

คลื่นพลังอันรุนแรงมหาศาลนั้นพุ่งพวยออกมาจากรอบทิศ

เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินพวกเขาก็รีบเข้ามารวมกลุ่มกันในทันที

คลื่นพลังของสัตว์อสูรที่กำลังมาล้อมพวกเขาอยู่นั้นมันแสนทรงพลัง ในหมู่พวกมันนั้นมีสัตว์อสูรที่ถึงระดับห้าอยู่หลายตัว

“ไม่ดีแล้ว! ทำไมจู่ๆ จึงมีสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ปรากฏขึ้น? รีบหนีเร็ว! ที่แบบนี้เราอยู่ต่อไม่ได้แน่!” เจียงเชอเหยียนบอกด้วยใบหน้าซีดเผือด

แต่ว่านางยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีเงาร่างของสัตว์อสูรสามตัวพุ่งออกมาจากป่าทึบทั้งสามด้าน ล้อมรอบกลุ่มคนไว้ตรงกลางอย่างพอเหมาะพอดี

“หมีเมฆาแล้งบรรพกาล! กวางอสูรทองสายรุ้ง! หมูป่ามังกรสายฟ้า!”

เมื่อเชียนเย่ได้เห็นสัตว์อสูรทั้งสามเขาก็กลับจนขาแทบสั่น

แม้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะยังอยู่แค่ระดับห้าขั้นต้น แต่พลังของพวกมันนั้นก็เหนือกว่านภาสวรรค์หนึ่งดาวอย่างพวกเขาแน่นอน

หากพวกมันมาแค่ตัวเดียว พวกเขาอาจจะยังพอล้อมต่อสู้เอาชนะได้

แต่การที่มันทั้งสามตัวปรากฏขึ้นพร้อมกันนั้นมันเท่ากับความตาย!

สัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้ย่อมเป็นสัตว์อสูรที่ยอมจำนนให้แก่เย่หยวนไปก่อนหน้า

เพราะสุดท้ายอย่างไรพวกมันก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นได้และเลือกที่จะยอมจำนนแก่เย่หยวน

เพราะอย่างไรเสียในยอดเพลิงเมฆานี้มันก็เป็นยอดเขาที่ขาดแคลนพลังวิญญาณอย่างมาก

“ไอ้พวกโง่เง่าตาบอด กล้ามาขัดจังหวะการบ่มเพาะของเฒ่าหมีนี้ สมควรตายเสีย!”

หมูป่ามังกรสายฟ้าตอบ “ไอ้หมีดำ จะไปพูดกับมันทำไมอีก? รีบๆ สังหารพวกมันเสียเถอะ”

กวางอสูรทองสายรุ้งพูดขึ้นบ้าง “สังหารมัน! เฒ่ากวางนี้ยังต้องเอาเวลาไปบ่มเพาะอีก!”

สัตว์อสูรทั้งสามนั้นไม่คิดจะพูดจาให้มากความ พวกมันพุ่งตัวเข้าโจมตีพวกเชียนเย่ในทันที

ในวินาทีนั้น คนทั้งหลายต่างต้องทนรับมือการโจมตีที่แสนดุร้ายของยอดสัตว์อสูรทั้งสามตัว

“ไอ้พวกนี้มันมีสติปัญญาแล้ว เราสู้ไม่ได้แน่! ตอนนี้ต้องรีบหนีก่อนแล้ว!” เจียงเชอเหยียนบอก

แล้วมีหรือที่พวกเขาจะยังกล้าทนรับมือต่อ? ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแหวกฝ่าวงล้อมกลับออกไป

แต่ว่ามีหรือที่สัตว์อสูรทั้งสามจะปล่อยไปง่ายๆ? หากอยากหนีมันก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก

ระหว่างทางนั้นพวกเชียนเย่จึงต้องทนรับการต่อสู้อันขมขื่น

หวังเฉียนนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว เมื่อถูกพลังตะปบของหมีเมฆาแล้งบรรพกาลร่างกายของเขาจึงแหลกสลายอย่างไม่สามารถต่อกลับมาเป็นตัวคนได้

น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะได้เป็นผู้ติดตามนิกายบุปผาเหินไปไม่ถึงครึ่งวัน แต่กลับต้องมาตายลง จิตวิญญาณเต๋าแหลกสลายไม่มีชิ้นดี

กลุ่มคนยังคงถอยต่อไปพร้อมๆ กับป้องกันตัวจากการโจมตีที่แสนรุนแรง ในหัวของพวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องออกไปจากยอดเพลิงเมฆานี้ให้ได้

ถึงเวลานั้นไม่ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะแข็งแกร่งปานใด มันก็คงไม่กล้าจะตามติดพวกเขาออกไปถึงโลกภายนอกแน่

…………………………