ตอนที่ 1291 การจากลาที่ไม่เคยมีมาก่อน โดย Ink Stone_Fantasy
โรแลนด์เจอกับเวนดี้และทิลลีในห้องรับแขก
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างนี้…” เขาเล่าเรื่องแนวหน้าในสนามรบให้ทั้งคู่ฟัง “เกรงว่าพวกเราคงจะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว”
“กองทัพที่หนึ่งต้องการความช่วยเหลือจากแม่มด” เวนดี้พูดเสียงคร่ำเคร่ง “หม่อมฉันจะไปแจ้งทุกคนเดี๋ยวนี้แหละเพคะ พักผ่อนกันมานานขนาดนี้แล้ว พวกนางน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วเพคะ”
“ในที่สุดท่านก็เอ่ยปากออกมาซักทีนะ” ทิลลีมุ่ยมาก “ในคู่มือการบินยังเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับการรบจริงไม่เสร็จเลย ข้าอยากจะไปลองวิธีที่ข้าคิดเอาไว้มานานแล้ว นอกจากนี้ เครื่องบินที่บอกจะสร้างขึ้นมาให้ข้าโดยเฉพาะล่ะ? อย่าลืมที่ท่านเคยรับปากข้าเอาไว้ในท่านพี่”
โรแลนด์ไม่ได้ยิ้มหน้าระรื่นเหมือนอย่างทุกที ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ หากแต่เสียงของเขาเหมือนมันจุกอยู่ในลำคออย่างไรอย่างนั้น
“ฝ่าบาท?” เวนดี้เหมือนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ “พระองค์ทรงสบายดีหรือเปล่าเพคะ?”
โรแลนด์พยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “พวกเจ้าต่างก็รู้ว่าพระจันทร์สีแดงมันปรากฏขึ้นมาบนโลกแล้ว นี่เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญ…แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าสงครามมันจะดำเนินไปนานแค่ไหน บางทีอาจจะปึนึง หรืออาจจะสิบปี ครั้งนี้ออกไปแล้วอาจจะต้องจนสงครามจบถึงจะได้กลับมา ถ้าเกิด…”
เขาพบว่าตัวเองเหมือนจะพูดไม่ออก
ไม่มีใครรู้ว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้จะจบลงอย่างไร ครั้งที่แล้วแอชเชสเสียสละตัวเองบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แล้วครั้งนี้ล่ะ จะมีกี่คนที่อยู่รอดจนจบสงคราม? สโมสรแม่มดที่แม่มดหลายคนที่เพิ่งจะอายุแค่ 20 กว่าเท่านั้น หากอยู่อีกโลกหนึ่งพวกเธอก็น่าจะกำลังเรียนหนังสือกันอย่างมีความสุขอยู่ แต่ตอนนี้พวกเธอกลับเป็นกำลังสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในสงครามแห่งชะตาชีวิตครั้งนี้
ศึกครั้งนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของมนุษย์ ทุกคนต่างต้องออกมาช่วยกันสู้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ โดยเนื้่อแท้แล้วแม่มดนั้นไม่ได้มีอะไรต่างกับมนุษย์เลย เหตุผลนี้โรแลนด์ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ความรู้สึกมันไม่เคยมีเหตุผล นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งสโมสรแม่มดขึ้นมา เขาผูกพันกับทุกคนมาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้พอมาคิดถึงว่าการบอกลาครั้งนี้อาจจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งสุดท้าย เขาจึงรู้สึกยากที่จะออกคำสั่งออกมาได้
“ถ้าคนอื่นมาเห็นสภาพของท่านในตอนนี้คงจะต้องหัวเราะออกมาแน่” ทิลลีแสยะยิ้ม “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านยังไม่ชินกับตำแหน่งนี้อีกเหรอ? แต่ก็นะ…ข้าก็ไม่ได้เกลียดที่ท่านเป็นอย่างนี้หรอก”
“ขออภัยนะเพคะ ฝ่าบาท” เวนดี้ลุกขึ้นยืน กว่าที่โรแลนด์จะรู้ตัวอีกที เธอก็มายืนอยู่ด้านหลังเขาพร้อมกับโอบกอดเขาเอาไว้แล้ว
“แบบนี้พอจะทำให้พระองค์รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่าเพคะ?” เธอพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทุกคนต่างได้เห็นกันหมดแล้ว ต่อให้พระองค์ไม่ตรัสอะไรออกมา ทุกคนก็จะออกไปสู้อยู่ดี เพราะพระองค์เป็นคนสอนพวกหม่อมฉันเองว่าถ้าไม่สู้ เราก็จะไม่ได้อะไร เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตากับการปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีอะไรต่างกัน หม่อมฉันเชื่อว่าพี่น้องแม่มดคนอื่นๆ ก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกันเพคะ”
ไออุ่นที่แผ่มาจากด้านหลังทำให้โรแลนด์สงบสติอารมณ์ลง ถูกต้อง…ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึง ถ้าอยากจะหนีก็คงไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงตอนนี้ ในเมื่อแม่มดต่างก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเธอตั้งใจไว้เช่นไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดกันแล้ว ถ้าในเวลานี้เขายังไปบอกว่า ‘ไม่อยากจะฝืนใจทุกคนว่าต้องเข้าร่วมรบ’ หรือ ‘ถ้าใครอยากจะอยู่ก็พูดออกมาได้เลย’ อะไรทำนองนี้อีก มันก็ดูจะหยาบคายไปเสียหน่อย
หลังจากนี้ก็มีแต่ต้องบุกไปข้างหน้าเต็มกำลังเท่านั้น
“ขอบคุณนะ”
เวนดี้ิยิ้มๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
“อย่างนั้น” เขาสูดหายใจพร้อมมองทั้งสองคน “สโมสรแม่มดกับกองทัพอัศวินอากาศ ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกไปช่วยสนับสนุนแนวหน้าได้เลย”
“น้อมรับพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท”
“ไว้ใจข้าได้เลย ท่านพี่”
….
ข่าวแม่มดกำลังจะออกเดินทางไปยังวูล์ฟฮาร์ทแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ปราสาทอย่างรวดเร็ว ไลต์นิ่งใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็จัดกระเป๋าของตัวเองเสร็จเรียบร้อย กระเป๋าเป้ในกระสุนกับรูนเอาไว้ กระเป๋าคาดเอวใส่เกลือและผงปรุงรสต่างๆ แล้วก็เมซี่ที่อยู่บนหัวของเธอ
ตามปกติแล้วทั้งสองคนมักจะเป็นแม่มดกลุ่มแรกที่ออกเดินทางเพื่อไปทำหน้าที่สอดแนมในแนวหน้าและคอยบอกเพื่อนที่ตามมาด้านหลังว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ครั้งนี้ในตอนที่ไลต์นิ่งมาหาเวนดี้ เธอกลับถูกอีกฝ่ายรั้งตัวเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น” เวนดี้ยื่นมือไปกอดเมซี่เอาไว้ “ความจริงก่อนหน้านี้มีคนมาไหว้วานข้า บอกว่าอยากจะเจอเจ้าซักครั้งก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง”
“เจอข้า?” ไลต์นิ่งงุนงง “ใครเหรอ? คุณน้ามาร์จอรีเหรอ?”
“อันนี้ก็…” เวนดี้เอาไว้ปิดปาก “เดี๋ยวพอเจ้าไปเจอก็จะรู้เอง เออใช่ ตอนนี้คนๆ นั้นรอเจ้าอยู่ที่สวนน่ะ”
“รู้ข่าวกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” ไลต์นิ่งยักไหล่ “ก็ได้”
“จิ๊บ..จิ๊บ!” เมซี่เองก็อยากตามไป แต่เธอกลับถูกเวนดี้กอดเอาไว้แน่น เธอจึงได้แต่มองดูไลต์นิ่งเดินออกจากประตูไปตาปริบๆ
“ขอโทษด้วยนะ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่ก่อนแล้วกัน” เวนดี้ลูบหัวนกพิราบเบาๆ “ตอนนี้ข้าคิดว่าเขาคงอยากจะอยู่กับนางตามลำพังสักพักหนึ่ง”
….
ไลต์นิ่งเดินออกมาจากปราสาท ก่อนจะเดินตามระเบียงทางเดินที่ยาวเหยียดเข้าไปในส่วน จากนั้นเธอเหมือนจะเห็นแผ่นหลังของคนๆ หนึ่งอยู่ในสวน
“อะไรเนี่ย…ที่แท้ก็แซนเดอร์ ฟลายอิ้งเบิร์ดหรอกเหรอ” เธอบ่นงึมงำ “ท่านหาข้ามีธุระอะไรเหรอ?”
แต่ในตอนที่อีกฝ่ายหมุนตัวมา สาวน้อยก็ต้องตะลึงไปทันที
ถึงแม้เสื้อผ้าจะเหมือนกับแซนเดอร์ แต่เขาไม่ใช่แซนเดอร์เหมือนอย่างที่เธอเจอในตอนแรก ถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่หน้าตาของอีกฝ่ายก็ยังเหมือนภาพในความทรงจำของเธอ
“พะ…พ่อ?” เธอเอ่ยปากออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ขอโทษด้วยนะ ที่ปิดเจ้ามาตลอด” ธันเดอร์ยิ้มแห่ง” เดิมข้าไม่อยากจะให้ลูกสาวของตัวเองต้องเป็นเหมือนแม่ของนาง ข้าก็เลยตัดสินใจเลิกติดต่อเจ้า…”
“ท่านรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร” ไลต์นิ่งพูดตัดบท
“ตั้งแต่ที่เจ้ามาเมืองชายแดนได้ไม่นาน”
“คุณน้ามาร์จอรีเป็นคนบอกท่านเหรอ?”
ธันเดอร์พยักหน้า
“อย่างนั้นพวกท่านก็สมรู้ร่วมคิดกัน? ฝ่าบาทโรแลนด์เองก็…”
“อย่าโทษพวกเขาเลย ข้าพยายามขอร้องพวกเขาให้ทำแบบนี้เอง..” ธันเดอร์ยังไม่ทันพูดจบ สาวน้อยก็ง้างหมัดเดินเข้ามาหาเขา
เขาหลับตาลงและรอคอยหมัดแห่งความโกรธของไลต์นิ่งอย่างเงียบๆ
แต่ความเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ก็ไม่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นธันเดอร์ก็ต้องลืมตาอย่างแปลกใจ ก่อนจะเห็นกำปั้นของลูกสาวตัวเองได้กางพร้อมกับตีมาที่หน้าผากของตัวเองเบาๆ ขณะเดียวกันเธอก็ฉีกยิ้มออกมา
“อย่างนี้ก็แสดงว่าท่านรู้เรื่องการผจญภัยของข้าในดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลหมดแล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ….”
“ค้นพบเมืองทาคิลา เจอแม่มดที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อน เข้าไปในโบราณสถานสถานของอารยธรรมใต้ดิน โจมตีกองทัพของปีศาจจนต้องถอยกลับไป…” ไลต์นิ่งดึงมือกลับมา “เป็นยังไง พอจะเทียบกับผลงานของท่านได้หรือเปล่า?”
ธันเดอร์งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะลูบหัวสาวน้อยพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่เสียทีที่เป็นลูกสาวข้า เพียงแต่การเจอกันแบบนี้มันทำให้ข้าทั้งรู้สึกดีใจแล้วก็เสียใจ…”
“ดีใจน่ะข้าเข้าใจ แต่เสียใจนี่มันอะไรกัน?”
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าเติบโตเร็วเกินไป” น้ำเสียงของธันเดอร์ฟังดูผ่อนคลายขึ้นเยอะ “เดิมข้าคิดว่าจะโกรธข้า หรือไม่ก็วิ่งเข้ามาร้องไห้ในอ้อมอกข้า แต่กลับกลายเป็นว่าข้าต่างหากที่คิดมากเกินไป…”
ถ้าหากไม่ได้ผ่านศึกทาคิลาครั้งนั้นมา เกรงว่าตัวเธอคงจะร้องไห้ออกมาอย่างที่พ่อของเธอว่าจริงๆ ไลต์นิ่งคิดในใจ แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เธอเติบโตแล้ว ก่อนจะทำตามคำสั่งเสียของแอชเชสและจบศึกครั้งนี้ให้ได้ เธอไม่อาจจะหลั่งน้ำตาได้อีกแม้แต่หยดเดียว “ท่านก็เลยกังวลว่าจะถูกข้าเกลียด แล้วก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวงั้นเหรอ? แล้วทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงตัดสินใจมาเจอข้าล่ะ”
“เพราะข้าตัดสินใจจะไปทางเหนือกับเจ้า สู้ศึกแห่งโชคชะตาครั้งนี้ด้วยกัน” ธันเดอร์พูดช้าๆ ชัดๆ “ยังไงซะตอนนั้นเจ้าก็ต้องรู้เรื่องข้าอยู่ดี อย่างนั้นก็สู้มาบอกเจ้าก่อนดีกว่า”
“จริงเหรอ?”
“อื้อ หน้าที่หลักๆ ของข้าจะอยู่บนทะเลกับท่าเรือ เรื่องนี้ข้าได้เคยคุยกับฝ่าบาทแล้ว”
“ยอดไปเลย” ไลต์นิ่งคว้ามือของธันเดอร์เอาไว้ “ตอนนี้ยังมีเวลา เดี๋ยวข้าแนะนำท่านให้รู้จักสมาชิกในทีมสำรวจหน่อยแล้วกัน ต่อไปจะต้องได้มีโอกาสสู้ด้วยกันแน่!”
“ดูเหมือนเจ้าจะได้เพื่อนที่ดีนะเนี่ย…”
“แน่นอน แต่น่าแปลกก็คือพวกนางล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสัตว์ ตอนเด็กๆ ข้าไม่ถนัดคุยกับคนธรรมดาเหรอ?”
“อย่างเช่นนกพิราบที่ชื่อเมซี่ตัวนั้นเหรอ?”
“อื้อ…ไม่ใช่ ต้องบอกว่าแม่มดที่ชื่อเมซี่”
“แค่กๆ เอาเป็นว่าจากที่ข้ารู้มา คนที่ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของสัตว์ก็จะยิ่งเข้ากับคนได้ง่าย เจ้าก็อย่ากังวลเรื่องนี้เลย”
“อื้อ อย่างนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย”
….สองพ่อลูกเดินพูดคุยกันอย่างมีความสุขเข้าไปในปราสาทเหมือนว่าไม่เคยแยกกันมาก่อน
…………………………………………………………..