บทที่ 574 ถูกชิงกุญแจ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 574 ถูกชิงกุญแจ

เย่ชางคงพยักหน้าช้า ๆ เมื่อได้ยินคำถามว่าเขามีกุญแจดอกสุดท้ายหรือไม่ ส่งผลให้จิ๋นฉีฮ่าวและฟานหู่อึ้งไปอยู่สักพัก จากนั้นพวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากในที่สุดกุญแจทั้งสามดอกก็ได้มารวมกันสักที ซึ่งมันหมายความว่าถึงเวลาที่พวกเขากำลังจะรวยกันแล้ว

“งั้นก็เอากุญแจออกมาเลย พวกเราจะได้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนได้สักที ในเมื่อพวกเจ้ามีกุญแจอีกดอกหนึ่ง พวกข้าจะให้พวกเจ้าเป็นหุ้นส่วนและพวกเราจะเข้าไปด้วยกันทั้งหมด!” จิ๋นฉีฮ่าวพูดกับเย่ชางคง พร้อมกับหัวเราะ

เย่ชางคงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แล้วกุญแจของพวกท่านล่ะอยู่ที่ไหน?”

ฟานหู่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พวกเราพกกุญแจติดตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเผื่อเอาไว้ว่าหากหากุญแจดอกสุดท้ายเจอเมื่อไหร่ พวกเราจะได้เปิดตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนได้ทันที”

เย่ชางคงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาออกมาพร้อม ๆ กัน!”

เมื่อพูดจบ เย่ชางคงก็หันไปหาหลิงตู้ฉิงเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เขาหยิบกุญแจขึ้นมา

ในระหว่างที่พวกเขาคุยกัน เรื่องของกุญแจดอกสุดท้ายที่ถูกหาเจอก็ได้ยินไปถึงหูของบรรดาผู้คนที่หวังจะมาเสี่ยงดวงรอบ ๆ ภูเขาไฟนิรันดร์เรียบร้อย ส่งผลให้บรรดาผู้คนต่างมามุงดูด้วยความตื่นเต้นว่ากุญแจดอกสุดท้ายนั้นเป็นของจริงหรือไม่

ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็มองไปยังจิ๋นฉีฮ่าวและฟานหู่ จากนั้นทั้งสามคนก็หยิบกุญแจขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ซึ่งในวินาทีที่กุญแจทั้งสามดอกปรากฏ พวกมันก็ส่องแสงสีแดงอันเจิดจ้าไปทั่วบริเวณพร้อมกับลอยขึ้นไปบนฟ้า และยิงลำแสงสีแดงไปยังภูเขาไฟนิรันดร์

ในเวลาเดียวกับที่แสงสีแดงทั้งสามสายกระทบเข้ากับภูเขาไฟนิรันดร์ ผืนแผ่นดินของทั้งอาณาเขตเทียนหยวนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลาวาที่อยู่ใต้พื้นดินก็ถูกดันขึ้นออกมาทางปล่องภูเขาไฟอย่างรุนแรงเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างกำลังดันพวกมันขึ้นมา

จากนั้นเวลาผ่านไปเพียง 1 ก้านธูป จู่ ๆ ภูเขาไฟทั้งลูกก็แตกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมไปถึงพื้นดินบริเวณรอบ ๆ ภูเขาไฟก็ระเบิดขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน

พื้นดินทั่วทั้งบริเวณถูกพลิกกลับเป็นวงกว้างจนมีทั้งฝุ่นและเขม่าควันลอยตลบอบอวลไปหมด ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจนว่าสาเหตุการระเบิดนี้มันมากจากอะไรกันแน่

เหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิของทั้งสามสำนักใหญ่ต่างพยักหน้าให้กัน จากนั้นพวกเขาก็ใช้พลังแห่งเจตจำนงของตนเองเป่าเหล่าฝุ่นและกลุ่มควันให้สลายไป ซึ่งหลังจากที่ควันและฝุ่นทั้งหมดหายไป ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนคือจู่ ๆ ก็มีเมืองขนาดยักษ์ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน!

และแน่นอนว่าเมืองนี้ก็คือ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน!

“ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน มันใหญ่ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” เย่ชางคงอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น

เขาไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่ามันจะมีขนาดใหญ่เท่ากับเมืองขนาดยักษ์เมืองหนึ่ง

ฟานหู่ตอบกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ตำหนักศักดิ์สิทธิ์นี้มันดูแตกต่างจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ มากจริง ๆ แทบจะทั้งหมดที่ข้าเคยไปมามันจะเป็นแค่มิติจำลองที่ถูกสร้างขึ้น แต่อันนี้มันกลับดูเหมือนว่ามันคือสิ่งปลูกสร้างถาวรที่แท้จริง”

จิ๋นฉีฮ่าวหัวเราะ “แล้วมันไม่ดีหรอกเหรอ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้พวกเราก็จะได้เข้าไปได้กันหมดทุกคนเลยไง”

ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เมื่อตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนปรากฏขึ้นจากพื้นดินจนสมบูรณ์แล้ว กุญแจทั้งสามที่เปล่งแสงลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นก็ค่อย ๆ หม่นแสงลงและร่วงหล่นลงมา

เมื่อเห็นว่ากุญแจทั้งสามกำลังร่วงลงมา เหล่าผู้คนที่บังเกิดความโลภในใจต่างก็พากันพุ่งตัวจะไปคว้าเอากุญแจทันที

ทุกคนต่างรู้ดีว่ากุญแจนี้มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอนและประโยชน์ของมันนั้นน่าจะไม่ใช่แค่การทำให้ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนปรากฏขึ้นเพียงอย่างเดียว บางทีมันอาจยังเป็นสิ่งจำเป็นที่เอาไว้ใช้เปิดห้องลับที่ด้านในต่อ หรือไม่แน่ผู้ที่ถือครองมันไว้อาจจะได้กลายเป็นผู้ครองตำหนักเลยก็ได้

“บังอาจนัก!” เย่ชางคง จิ๋นฉีฮ่าว และ ฟานหู่ ต่างตะคอกขึ้นพร้อม ๆ กัน และจากนั้นทั้งสามคนก็ปล่อยพลังเจตจำนงของตนเองไปยังเหล่ากลุ่มคนที่กำลังพยายามพุ่งตัวเข้าไปคว้ากุญแจทั้งสามดอก

แต่ก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะแย่งกุญแจมาได้ จู่ ๆ ก็มี 3 มือยักษ์ปรากฏขึ้น ซึ่งมันเหมือนทำให้เวลาของทั่วทั้งบริเวณหยุดนิ่งและต่อมาทั้ง 3 มือนั้นก็คว้าเอากุญจากกลุ่มฝูงชนไปมือละดอก

แน่นอนว่ามือทั้งสามนี้เกิดมาจากพลังอำนาจของเหล่าบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิของทั้ง 3 สำนัก

แต่มันก็มีปัญหาอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นก็คือบรรพบุรุษของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่คว้าเอากุญแจมาได้นั้น เขาไม่ยอมคืนกุญแจให้กับหลิงตู้ฉิง เขาเลือกเก็บไว้กับตัวเองและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

เย่ชิงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนทันที นางมองไปที่พ่อและแม่ของนางและตะโกนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ นั่นมันกุญแจของสามีข้านะ!”

เย่ชางคงและมู่หลงหยานมองไปที่บรรพบุรุษของสำนักตัวเองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและพูดว่า “เอ่อ…ท่านบรรพบุรุษกุญแจนั่นเป็นของลูกเขยข้า โปรดท่านคืนมาให้กับเขาได้ไหม?”

บรรพบุรุษชราตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันที “เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น หากข้าคืนไปให้กับเขาแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอีก เขามีปัญญาจะรักษามันรึเปล่า?”

หลิงตู้ฉิงแสดงสีหน้าเรียบเฉยและพูดว่า “ข้าจะรักษามันไว้ได้หรือไม่นั้นมันเป็นเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคิดว่าเมื่อครู่เราจะเอากุญแจกลับมาได้ง่าย ๆ แบบนี้งั้นเหรอ? ไม่ต้องเป็นห่วงในตอนนี้ข้าจะเก็บมันเอาไว้ให้ก่อน หากว่ามันไม่มีประโยชน์เมื่อไหร่แล้วข้าจะคืนให้เจ้า”

เนื่องจากตอนนี้พวกเขาอยู่กันที่นอกสำนัก เขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรหลิงตู้ฉิงที่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้หนุนหลัง แต่แน่นอนว่าหลังจากที่เขากระทำการแบบนี้ลงไปแล้ว ในอนาคตเขาคงไม่อาจให้หลิงตู้ฉิงกลับไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งได้

เย่ชางคงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “บรรพบุรุษ…”

บรรพบุรุษชราหรี่ตามองไปที่เย่ชางชง และเอ่ยว่า “ชางคง ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าสำนัก จงทำตามหน้าที่ของตัวเองพาเหล่าคนของสำนักเข้าไปด้านในเพื่อหาสมบัติเป็นอันดับแรก!”

ความหมายในคำพูดของเขานั้นชัดเจน เจ้าคือเจ้าสำนักของสำนักเรา ดังนั้นเจ้าต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของสำนักมาก่อนเป็นอันดับแรก!

เย่ชางคงเงียบไปอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ลูกเขย ข้า…หลังจากจบเรื่องนี้ข้าจะชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและยิ้ม “อ๋อ ไม่จำเป็นหรอก การเอาของของข้าไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก แต่ในเมื่อสถานการณ์มันลงเอยแบบนี้ ดังนั้นต่อไปพวกเราก็คงร่วมทางกันต่อไม่ได้แล้วล่ะนะ ข้าจะแยกกับพวกเจ้าตรงนี้ เอาล่ะพวกเราตามข้ามา พวกเราจะเข้าไปกันเอง”

เอากุญแจข้าไปงั้นเหรอ? หึหึหึ!

หลิงตู้ฉิงเย้ยหยันในใจ ไม่นานหรอกพวกเจ้าจะต้องเสียใจจนแทบดิ้นตาย!

มีแต่เขาผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนถึงเป็นสิ่งปลูกสร้างถาวรไม่ใช่มิติจำลองเหมือนตำหนักศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ดังนั้นพวกผู้คนเหล่านี้ที่มีวิสัยทัศน์มืดบอดจะต้องได้จ่ายราคามหาศาลในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินออกจากกลุ่มของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทันที ซึ่งแน่นอนว่าพวกเสี่ยวเย่วเฟิง หลงเฉิน และคนอื่น ๆ ก็ตามเขาไปติด ๆ เช่นกัน

เย่ชิงเฉิงเหลือบมองไปที่เหล่าผู้คนของสำนักนางเองด้วยสายตาเหยียดหยัน และจากนั้นนางก็พูดกับเย่ชางคง “ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่มันดูเหมือนว่าข้าไม่น่าพาสามีของข้ากลับมาช่วยสำนักของเราเลย”

เมื่อพูดจบ เย่ชิงเฉิงก็พาโม่เอ๋อเดินตามหลิงตู้ฉิงไปเช่นกัน

นางรู้สึกขมขื่นในใจ นางรู้สึกว่าสามีของนางไม่สมควรที่จะได้รับการตอบแทนแบบนี้

ถึงแม้ว่าสามีของนางจะได้เอาหลายสิ่งหลายอย่างไปจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่ว่าการช่วยเหลือที่เขาหยิบยื่นให้ไปมันก็ใช่ว่าจะเล็กน้อยซะที่ไหน? และที่สำคัญหากไม่ใช่เพราะสามีนาง คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนแบบนี้งั้นเหรอ?

ในตอนนี้เมื่อพวกเขามีโอกาส พวกเขากลับชิงกุญแจไปอย่างหน้าด้าน ๆ เย่ชิงเฉิงรู้สึกอับอายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะที่นางเป็นคนพาหลิงตู้ฉิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ในตอนนี้นางรู้สึกว่านางไม่รู้จะมองหน้าเขาและทำตัวยังไงเลยด้วยซ้ำ

หลิงตู้ฉิงยิ้มไปที่เย่ชิงเฉิง และพูดว่า “มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก และอีกอย่างข้าก็ได้เอ่ยไปแล้วไงว่าของของข้ามันไม่ง่ายนักหรอกที่จะเอาไป เมื่อถึงเวลามันจะมีผู้คนมากมายที่เสียใจแน่นอน”

“สามี ข้า…” เย่ชิงเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น

“พอแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่เข้าไปแล้ว หากพวกเรายังช้าอยู่อีกพวกเราจะตามคนที่เข้าไปก่อนไม่ทัน”

เมื่อพูดจบประโยค หลิงตู้ฉิงก็หันกลับไปข้างหลังและตะโกนว่า “หากใครกล้าลองดีส่งจิตสำนึกของตัวเองลอบตามข้ามา ข้าจะฆ่าซะให้หมด!”