เวลานี้ภายในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนได้กลายเป็นทะเลสาบเสินหยวนขนาดเล็กไปแล้วเขาจึงสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้เท่าที่ต้องการ
และที่หลิงหยุนเผาหยดเสินหยวนก็ไม่ใช่เพราะน้ำหนักของรถและลูกเหล็กนับร้อยลูก แต่เขาเผาหยดเสินหยวนเพื่อเร่งความเร็วต่างหากเล่า..
แต่การที่ยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติจะทำเช่นหลิงหยุนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีเงื่อนไขอยู่หลายอย่างซึ่งก็คือ หนึ่ง.. คนผู้นั้นจำเป็นต้องมีแหวนพื้นที่ที่มีขนาดกว้างใหญ่พอจะสามารถเก็บรถได้ สอง.. ต้องรู้จักวิชาพลางกายให้ผู้อื่น และสามต้องรู้จักการสร้างค่าย
และจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ยิ่งเห็นคุณค่า และประโยชน์มากมายของแหวนพื้นที่! “นี่มัน..”
ทั้งเหล่ายอดฝีมือจากดินแดนหนานหยางและหวังชงเซียวที่ถูกหลิงหยุนไล่ล่าไปไกล ถึงกับจ้องมองภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง และอัศจรรย์ใจ
“เป็นไปได้อย่างไร!”
จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไรกันในเมื่อสิ่งที่หลิงหยุนแสดงให้เห็นนั้น มันเป็นเรื่องที่แทบจะเหลือเชื่อ!
นั่นเพราะจู่ๆรถคันใหญ่โตก็หายวับไปกับตา อีกทั้งคนขับก็หายไปด้วย ส่วนยอดฝีมือทั้งสามที่ตั้งใจวิ่งไปชิงสมบัติในรถนั้น จู่ๆก็มีกลุ่มหมอกสีขาวพวยพุ่งขึ้นรอบตัว และแม้แต่จิตหยั่งรู้ของพวกเขาก็ไม่สามารถมองทะลุได้
‘แย่แล้ว!นี่มันคือกับดัก!’
หวังชงเซียวกรีดร้องอยู่ในใจพร้อมกับเริ่มตระหนกตกใจ‘นี่ไม่ใช่กับดักจะเฉพาะพวกข้า แต่มันเป็นกับดักของทุกคนที่คิดปล้น..’ ‘แย่แล้ว..จะทำเช่นไรดีในเมื่ออีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!’
หวังชงเซียวเริ่มเข้าใจทุกอย่างได้ในทันทีเขาเริ่มรู้สึกเสียใจและสำนึกผิดกับการปล้นในคืนนี้..
เขารู้ว่าหลิงหยุนมีแหวนพื้นที่แต่คิดไม่ถึงมันจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ถึงขนาดเก็บรถคันใหญ่ได้ อีกทั้งภายในยังเก็บลูกเหล็กขนาดครึ่งเมตรนับร้อยลูกไว้อีกด้วย!
ในเวลานั้นหลิงหยุนก็กำลังยืนถือกระบี่อยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มดูไม่มีพิษมีภัยนั้นหันไปทางหวังชงเซียว พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“สหายผู้ช่วยของเจ้าถูกข้าใช้ค่ายกลกักไว้แล้ว เจ้าอยากจะเข้าไปทักทายกับพวกเขาข้างในหรือไม่ล่ะ”
หวังชงเซียวไม่รอช้าเขาร้องตะโกนบอกยอดฝีมืออีกสี่คนที่อยู่เบื้องล่างทันที “คนผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก พวกเรารีบหนีเร็วเข้า!” ทันทีที่พูดจบหวังชงเซียวก็ไม่รอช้า เขารีบหันหลัง และกำลังจะกระโดดหายไปกลางอากาศ เวลานี้หวังชงเซียวไม่สามารถดูแลผู้ใดได้อีก เขาต้องการหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่สหายเจ้าอย่าได้รีบร้อนนัก..”
“โอ้..ระวัง ข้างหน้ามีภูเขา อย่าไปชนเข้าล่ะ!”
หลิงหยุนจงใจปล่อยให้หวังชงเซียวกระโดดหนีไปและร้องตะโกนล้อเลียนไม่หยุดหย่อน แต่ในเมื่อหลิงหยุนเผาหยดเสินหยวนไปแล้ว มีหรือที่หวังชงเซียวจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเขาในตอนนี้!
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
ในขณะเดียวกันหลิงหยุนก็ร้องตะโกนสั่งให้เหล่าแวมไพร์ทั้งห้าจัดการสังหารคนที่เหลือให้หมด..
“ในนามของเทพแห่งซาตานกรงโลหิตจงปรากฏขึ้น!” หลังจากที่อ็ดเวิร์ดร่ายมนต์ซาตานจบกรงโลหิตขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นครอบร่างของยอดฝีมือทั้งสี่ไว้ทันที
เวลานี้เอ็ดเวิร์ดได้เข้าสู่ขั้นแกรนด์ดยุคแล้วและมันก็แข็งแกร่งกว่าดยุคแดร๊กคิวล่ามากนัก หากจะเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของแวมไพร์ขั้นแกรนด์ดยุคแล้ว ก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะตนที่อยู่ในด่านกลางขั้นพลังชี่..
“เนตรปีศาจ!”
หลังจากที่ขังยอดฝีมือทั้งสี่ไว้ในกรงโลหิตแล้วเอ็ดเวิร์ดก็ใช้เนตรปีศาจทำการสะกดจิตหนึ่งในยอดฝีมือทั้งสี่คนไว้ทันที
แม้ยอดฝีมือผู้นี้จะมีจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับห้าแต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับเนตรปีศาจของมัน
“หอกโลหิต!”
หอกโลหิตปรากฏขึ้นในมือของเอ็ดเวิร์ดและร่างใหญ่ยักษ์ราวกับเทพแห่งซาตานของมันก็ย่างเยื้องไปด้านหน้า พร้อมกับเงื้อหอกโลหิตในมือขึ้นแทงเข้าใส่ร่างของยอดฝีมือที่ถูกสะกดจิตไว้ด้วยเนตรปีศาจทันที
ฉึก!
เลือดสีแดงในร่างของยอดฝีมือผู้นั้นค่อยๆไหลออกมาแต่แทนที่จะหยดลงพื้นมันกลับไหลไปตามหอกโลหิตเข้าสู่ร่างของเอ็ดเวิร์ดทันที!
โลหิตของยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับห้านั้นยิ่งทำให้เอ็ดเวิร์ดแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม..
หลังจากที่ยอดฝีมือหนึ่งคนถูกเอ็ดเวิร์ดแทงตายด้วยหอกโลหิตแล้วที่เหลืออีกสามคนก็ถึงกับหวาดกลัวอย่างมาก และพยายามที่จะทลายกรงโลหิตของเอ็ดเวิร์ดออกไป
ครั้งนี้เอ็ดเวิร์ดไม่ได้ใช้เนตรปีศาจสะกดจิตอีกมันพุ่งหอกโลหิตในมือเข้าใส่ร่างของหนึ่งในสามยอดฝีมือที่เหลือทันที!
ใบหน้าของยอดฝีมือผู้นั้นบ่งบอกถึงความหวาดกลัวอย่างที่สุดและพยายามหลบหลีกหอกโลหิตของเอ็ดเวิร์ด พร้อมกับพยายามที่จะทะลายกรงโลหิตอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สำเร็จ..
“เจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว!”
หลังจากที่ปล่อยให้ยอดฝีมือผู้นั้นดิ้นรนหลีกหนีจนพอแล้วเอ็ดเวิร์ดก็ไม่อยากเสียเวลาเล่นอีก มันจัดการแทงหอกโลหิตเข้าใส่ร่างของยอดฝีมือผู้นั้นสิ้นใจตายไปอีกคนทันที
ในขณะที่เพียร์ซกับจอยซ์ซึ่งอยู่ในขั้นมาร์ควิสก็ได้ใช้เนตรปีศาจสะกดจิตยอดฝีมือทั้งสองที่เหลือ ส่วนเจสเตอร์กับพอลก็ช่วยกันจ้วงแทงด้วยหอกโลหิตจนสิ้นใจตายเช่นกัน
และเวลานี้สหายร่วมดินแดนของหวังชงเซียวทั้งสี่คนก็ได้ถูกสังหารตายจนสิ้น!
“โอ้..”
เจสเตอร์ที่กำลังดูดเลือดของหนึ่งในยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติผ่านหอกโลหิตถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เลือดของมนุษย์ผู้นี้ช่วยสร้างพลังความแข็งแกร่งให้กับข้ามากจริงๆ!”
ยอดฝีมือทั้งสีคนนั้นใกล้จะเข้าสู่ระดับห้าขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วพวกเขาเพียงแค่รอให้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวง เพื่อที่จะอาศัยพลังชีวิตจากดวงจันทร์ช่วยให้ตนพัฒนาขั้นได้เท่านั้น..
หลังจากที่จัดการกับยอดฝีมือทั้งสี่แล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็ทำหน้าที่ ‘เก็บกวาด’ เหมือนเช่นทุกครั้ง..
….
“เจ้ายังจะหนีอยู่อีกรึ!”
ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงหยุนเองก็ได้ไล่ล่าหวังชงเซียวไปกลางอากาศ แต่เขากลับไม่ลงมือ เพียงแค่เหาะตามหวังชงเซียวไปข้างๆ พร้อมกับร้องตะโกนถาม
และนั่นทำให้หวังชงเซียวถึงกับขนหัวลุกเวลานี้เขาพบว่าสหายทั้งสี่ของตนนั้นได้ถูกสังหารตายจนหมดแล้ว และรู้ตัวว่าตนเองคงจะไม่สามารถหนีรอดได้เช่นกัน จึงได้แต่กัดฟันถามออกไปว่า
“หลิงหยุนเจ้าต้องการอะไรกันแน่!”
หลิงหยุนยิ้มในขณะที่ยืนเอามือทั้งสองข้างไขว้หลังอยู่บนกระบี่เหินแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“นี่เจ้าไม่ได้ยินข้าเรียกเจ้าว่าสหายหรอกรึ!”
“ข้าเห็นว่าเจ้าแข็งแกร่งไม่เบาจึงอยากจะชวนมาร่วมงานกัน เจ้าสนใจหรือไม่ล่ะ”
หลิงหยุนร้องบอกจุดประสงค์ของตนเองทันทีในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น การเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอันใด ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า ผู้นั้นย่อมเป็นฝ่ายอยู่รอด
หวังชงเซียวเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งเขาจึงน่าจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในดินแดนพันธมิตรทะเลจีนตะวันออกหลิงหยุนจึงต้องการที่จะทำความเข้าใจกองกำลังต่างๆในดินแดนแห่งนี้ผ่านหวังชงเซียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับหลิงหยุนอย่างมากในวันข้างหน้า
อีกอย่าง..หากหลิงหยุนสามารถได้ยอดฝีมือขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) มาเป็นลูกน้องก็คงจะดีไม่น้อยทีเดียว เพราะผู้บ่มเพาะพลังมาถึงขั้นนี้ได้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ หากจะฆ่าทิ้งก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก!
“ร่วมงานกับเจ้างั้นรึ!”
หวังชงเซียวแทบอยากจะร้องไห้และหัวเราะออกมาพร้อมกันเวลานี้เขาอายุเกือบจะห้าสิบแล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าพูดว่าจะรับตนเข้าร่วมงาน..
แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งและความเก่งกาจเฉพาะในแบบของผู้บ่มเพาะพลังที่หลิงหยุนแสดงออกมานั้น รวมทั้งแหวนพื้นที่ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของผู้บ่มเพาะพลังทุกคน ทำให้หวังชงเซียวถึงกับตื้นตันใจขึ้นมาเล็กน้อย.. สูญเสียอิสรภาพเพียงเล็กน้อยแต่โอกาสเติบโตนั้นมากมายกว่า!
โอกาสเช่นนี้ปรากกฏขึ้นตรงหน้าแล้วก็จะหายวับไปทันทีหากไม่รีบคว้าไว้!
“นี่เจ้าไม่คิดสังหารข้าจริงๆงั้นรึ!”
หวังชงเซียวหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาลังเลสงสัย..
“หากข้าคิดจะสังหารเจ้าจริงๆเจ้าคงเหาะมาไกลไม่ได้ถึงเพียงนี้แน่!”
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆพร้อมกับพูดต่อว่า “แต่ถ้าเจ้าไม่อยากร่วมงานกับข้า ข้าจะสังหารเจ้าตามที่เจ้าต้องการก็ได้! แต่..”
“แหวนพื้นที่เป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นด้วยตัวเองและจะสร้างอีกกี่วงก็ย่อมได้..”
หลิงหยุนเริ่มใช้วาทศิลป์ที่ตนถนัดหว่านล้อมแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ใช้ความสามารถด้านการพูด หวังชงเซียวซึ่งเกรงว่าหลิงหยุนจะเปลี่ยนใจก็รีบชิงตอบกลับไปทันที
“ตกลง!ข้าจะร่วมงานกับเจ้า” ‘ง่ายเพียงนี้เชียวรึ!’หลิงหยุนได้แต่นึกอยู่ในใจ
หลังจากที่อีกฝ่ายตอบตกลงหลิงหยุนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเหาะกลับไปยังค่ายกลวราหกด้านล่างทันที
หลิงหยุนรู้ดีว่าเพียงแค่มีแหวนพื้นที่หลอกล่ออีกฝ่ายก็จะยินยอมติดตามเขาด้วยความเต็มใจ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเวลานี้หวังชงเซียวเองก็รีบเหาะตามหลังหลิงหยุนกลับไปทันที
“ไม่ทราบว่าข้าควรเรียกสหายเช่นใด”
“หวังชงเซียว!”
หวังชงเซียวตอบหลิงหยุนไปตามตรงและท่าทีของเขานั้นก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อมกับหลิงหยุนมากขึ้น หวังชงเซียวนับเป็นผู้เฉลียวฉลาดไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่รอดและสามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นนี้ได้ ทันทีที่ตกลงจะร่วมงานกับหลิงหยุนแล้ว เขาก็สามารถปรับเปลี่ยนท่าที และฐานะของตนเองได้ในทันที ในโลกของผู้บ่มเพาะนั้นให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งมากกว่าความอาวุโส ต่างเคารพกันที่ความแข็งแกร่งมากกว่า!
“หวังชงเซียว..เป็นชื่อที่ดีทีเดียว!”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้หวังชงเซียวพร้อมกับพูดต่อว่า“นับว่าเจ้าตัดสินใจได้ถูกต้อง! ตราบใดที่เจ้าทำงานกับข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องมีแผนที่ปริศนาเพื่อใช้หาเงินอีกต่อไป เพราะข้ามีทรัพยากรสำหรับฝึกบ่มเพาะให้เจ้าได้ใช้อย่างไม่มีวันหมดทีเดียว!”
“เอ่อ..”
หวังชงเซียวมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า“เช่นนี้แล้ว ข้าควรต้องเรียกท่านเช่นใด”
หลิงหยุนกระหยิ่มยิ้มในใจและได้แต่คิดว่าหวังชงเซียวปรับตัวได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาไม่คิดถึงหน้าตาของตนเองเลยอย่างนั้นหรือ? แต่ก็ตอบหวังชงเซียวกลับไปว่า
“เจ้าจะเรียกว่าอย่างไรก็ได้จะเรียกข้าว่าสหาย คุณชาย หรือหลิงหยุน ก็แล้วแต่เจ้า..”
หวังชงเซียวแทบไม่ต้องคิดเขารีบตอบหลิงหยุนกลับไปทันที “คุณชาย!”
หลิงหยุนพอใจกับท่าทีของหวังชงเซียวยิ่งนัก..
“แต่ต่อหน้าผู้คนเจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านหัวหน้า!” หลิงหยุนย้ำเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอีกครั้ง
“เอาล่ะ..ถึงเวลาที่เจ้าจะได้เห็นความโหดร้ายของข้าบ้างแล้ว เจ้าจะได้รู้ว่าต่อให้เจ้าต้องการจะหนี ก็ใช่ว่าจะสามารถหนีได้!”
เวลานี้ทั้งหลิงหยุนและหวังชงเซียวต่างก็เหาะกลับมาถึงบริเวณค่ายกลงวราหกแล้วคนหนึ่งยืนอยู่บนกระบี่เหินยู่เจี้ยน ส่วนอีกคนยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ!
ตูม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวนั้นเกิดจากยอดฝีมือทั้งสามที่ถูกขังไว้ในค่ายกลวราหกนั้นกำลังพยายามที่จะทลายค่ายกลออกมานั่นเอง
ส่วนด้านแวมไพร์ทั้งห้าและตี้เสี่ยวอู๋นั้นหลังจากที่จัดการเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยืนล้อมรอบค่ายกลวราหกไว้ เตรียมพร้อมหากยอดฝีมือทั้งสามสามารถพังค่ายกลออกมาได้
และเมื่อเห็นหลิงหยุนเหาะกลับมาโดยมีหวังชงเซียวเหาะตามมาด้วยเช่นนั้นทั้งหมดต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิกลัก แต่ก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นอะไร..
“นี่คือผู้ร่วมงานใหม่ของพวกเรานามว่าหวังชงเซียว!”
“ขออภัยคุณชาย..ไม่ทราบว่าค่ายกลด้านล่างนี้คือค่ายกลอะไรงั้นรึ เหตุใดจึงได้แข็งแกร่งจนแม้แต่ยอดฝีมือระดับห้าขั้นพลังเหนือธรรมชาติยังไม่สามารถทะลายได้?”
หวังชงเซียวนับว่าปรับตัวได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่งเขาไม่แม้แต่จะสนใจสหายทั้งสี่คนที่ถูกสังหารตาย แต่กลับถามถึงค่ายกลที่อยู่ด้านล่างแทน ความจริงแล้วหวังชงเซียวนึกอยากให้หลิงหยุนถอนค่ายกลออก เพื่อที่เขาจะได้จัดการกับยอดฝีมือทั้งสามของดินแดนหนานหยาง เป็นการเอาใจหลิงหยุน
“นี่คือค่ายกลวราหกที่สามารถสกัดกั้นจิตหยั่งรู้ได้หากไม่รู้ทางออก ต่อให้ใช้พละกำลังที่แข็งแกร่ง ก็ยากที่จะทลายค่ายกลนี้ได้ง่ายๆ!”
หลิงหยุนอธิบายให้หวังชงเซียวฟังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะใช้พลังจิตเปิดเผยที่ซ่อนของเสี่ยวเม่ยเม่ย
เวลานี้หลิงหยุนมีทั้งหวังชงเซียวและแวมไพร์ทั้งห้าตน เขาจึงไม่จำเป็นต้องหวาดเกรงว่ายอดฝีมือทั้งสามจะสังหารเสี่ยวเม่ยเม่ยอีกแล้ว