ภรรยาของหลินจ้งชะงักไป เรื่องในจวนหลิน ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยรู้แจ้งกระจ่างชัด แล้วเหตุใดยังให้หลินหันเยียนกลับบ้านมารอออกเรือน ไม่รู้ว่าพวกเขามีแผนการอะไรในใจ

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของนาง สีหน้ายินดีของหลินหันเยียนจึงได้หายไป กัดริมฝีปาก ถามว่า “พี่สะใภ้ เป็นอะไรไปหรือ ท่านไม่เห็นด้วยหรือ”

 

 

ฮูหยินได้สติกลับมา ยิ้มและพูดว่า “น้องเล็ก พูดอะไรกัน น้องเล็กได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ข้าดีใจเสียจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว”

 

 

หลินหันเยียนสงสัย สีหน้าของนางเมื่อครู่ดูไม่เหมือนคนกำลังดีใจ แต่ว่า นางไม่คัดค้านก็ดีแล้ว ตอนที่นางเดินทางมายังเป็นกังวลใจอยู่ ท่าทีของท่านพ่อยังไม่ชัดเจน หากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้คัดค้านขึ้นมา นางคงไม่มีที่จะออกเรือนเป็นแน่

 

 

หวงฝู่อวี้สังเกตอาการผิดปกติของฮูหยิน จึงแอบมองนางอยู่หลายหน แต่ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม

 

 

หลินจ้งได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้แล้ว ก็ไม่รอช้า วางมือจากงานที่ทำอยู่รีบควบม้ากลับมายังจวนทันที เมื่อลงจากม้า พันเชือกไว้บนพื้น จากนั้นก็เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปในจวนทันที

 

 

พ่อบ้านรออยู่หน้าประตู ออกมาต้อนรับ “คุณชาย คุณหนูถูกฮูหยินพาไปห้องรับรองแขกแล้วขอรับ”

 

 

ใจที่กดดันมาตลอดทางจึงได้ผ่อนคลายลง เดินไปพลางถามว่า “เหตุใดคุณหนูจึงกลับมากะทันหันเช่นนี้”

 

 

“เห็นว่าจะแต่งงานกับคุณชายรองแล้ว จึงกลับจวนมาเจรจาเรื่องการออกเรือนขอรับ” พ่อบ้านรายงานด้วยเสียงร้อนใจ

 

 

ฝีเท้าของหลินจ้งหยุดลง ขมวดคิ้ว “แต่งออกจากจวนหรือ”

 

 

พ่อบ้านพยักหน้า “ได้ยินคุณหนูว่าอย่างนั้นนะขอรับ”

 

 

ใจของหลินจ้งเครียดเล็กน้อย เรื่องในจวนหากถูกคนภายนอกรู้เอาได้ ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิด แค่ความผิดเรื่องการหมิ่นหยามฮ่องเต้ ก็มากพอจะให้จวนหลินถูกทำลายได้

 

 

หันหลัง เดินไปยังห้องรับแขกด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

 

 

ขณะที่ฮูหยินหลินกำลังพูดอยู่กับหลินหันเยียนนั้นก็มองออกไปด้านนอกไม่หยุด เมื่อเห็นร่างของหลินจ้งปรากฎอยู่หน้าประตู ก็ลุกขึ้น ออกไปต้อนรับ พูดว่า “คุณชายรองและน้องเล็กกำลังมาเจรจาเรื่องงานแต่ง ข้ากำลังจะส่งคนไปเรียกท่านอยู่พอดี”

 

 

ประโยคเดียวแต่พูดสองเรื่อง เรื่องแรก คือบอกเหตุผลที่หลินหันเยียนกลับมากะทันหัน อย่างที่สองก็เพื่อจะลบความแคลงใจของหลินหันเยียนออกไปได้ว่าหลินจ้งนั้นกลับมาเอง มิใช่ว่ามีใครไปเรียกเขากลับมา พวกเขาทั้งสองไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดบังอยู่

 

 

หลินหันเยียนก็ยืนขึ้น ยิ้มทักทาย “ท่านพี่!”

 

 

หลินจ้งฝืนยิ้มออกมา พยักหน้า กำหมัดคารวะหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง”

 

 

หวงฝู่อวี้เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเกรงใจ เรียกข้าว่าอวี้เอ๋อร์ก็พอ”

 

 

“ข้าน้อยไม่กล้า!” หลินจ้งตอบอย่างหวาดกลัว

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่ได้ใส่ใจ

 

 

ทั้งหมดนั่งลง

 

 

หลินจ้งเริ่มเปิดประเด็น “คุณชายรอง ไม่ทราบว่างานแต่งของท่านและน้องข้าจะจัดขึ้นเมื่อใดหรือ”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงักไปเล็กน้อย ยิ้ม “เรื่องนั้นยังไม่ได้กำหนด หากเยียนเอ๋อร์สามารถแต่งจากจวนได้ เมื่อส่งนางอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะรีบกลับจวนไปกำหนดวันแต่ง”

 

 

สีหน้าของหลินจ้งค่อนข้างลำบากใจ “สุขภาพของท่านพ่อไม่สู้ดี ไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้ว ท่านแม่ดูแลท่านพ่อก็เหนื่อยมาก หากตอนนี้ไปคุยเรื่องการแต่งงานคงไม่เหมาะ จะรออีกสักหน่อยได้หรือไม่ รอให้ท่านพ่อท่านแม่หายดีแล้ว แล้วเราค่อยเจรจากันเรื่องนี้”

 

 

หลินหันเยียนเบิกตาโต มองหลินจ้งอย่างไม่เชื่อสายตา ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่!” นางรอแล้วรอเล่า รอมานานหลายเดือนให้หวงฝู่อวี้พูดเรื่องแต่งงาน แต่พี่ใหญ่กลับให้รอไปอีก เขาไม่รู้หรือว่าสถานะนางที่อยู่ในจวนอ๋องนั้นไม่ชัดเจน จนทำให้นางไม่กล้าออกจากเรือน

 

 

หลินจ้งก็รู้สึกผิดเต็มประดา ชีวิตของน้องเป็นอย่างไรคงไม่ต้องถาม เขารู้ดีว่าลำบากเพียงใด แต่ว่าสถานการณ์ของนางเมื่อเทียบกับหลายร้อยชีวิตในจวนหลินแล้วนั้น ก็ช่างเทียบไม่ได้เลย ตนเป็นเจ้านายของจวนหลิน ก็ควรจะคำนึงถึงความเป็นอยู่ของคนในจวนเป็นหลัก

 

 

แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลินจ้งพูดว่า “น้องเล็ก ความกตัญญูมาก่อนสิ่งอื่นใดบนโลก ท่านพ่อ ท่านแม่ป่วยหนัก เวลาเช่นนี้เรามาคุยเรื่องงานแต่ง จะเป็นเรื่องตลกของคนในเมืองหลวงเอาได้ ฟังคำของพี่ รอสักหน่อย รอจนท่านพ่อท่านแม่หายดีแล้วพี่จะไปรับเจ้ากลับมาด้วยตัวพี่เอง”

 

 

เช่นนี้หมายความว่าแม้แต่จวนนี้ก็ไม่ให้นางอยู่แล้ว สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือดลง น้ำตาไหลรินลงมา พูดเสียงอู้อี้ว่า “พี่ใหญ่ เพราะท่านพ่อยังไม่ให้อภัยข้าใช่หรือไม่ หรือว่าเขาไม่รับข้าคนนี้เป็นลูกอีกแล้ว ท่านจึงพูดเช่นนี้”

 

 

หลินจ้งขมวดคิ้ว เหลือบมองหวงฝู่อวี้ เห็นว่าสีหน้าของเขามีความรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ไม่มีความรู้สึกอยากจะปลอบใจหลินหันเยียนเลยแม้แต่น้อย

 

 

ในใจของหลินจ้งหนักหน่วงเหลือเกิน ตอนที่น้องเล็กอยู่ที่จวน ได้รับการเอาอกเอาใจจากทุกคน ทุกเรื่องตามใจนางไปเสียหมด เห็นทีหลายเดือนมานี้ในจวนอ๋องนางก็ยังคงแผลงฤทธิ์เช่นเดิม มิเช่นนั้นท่าทีของหวงฝู่อวี้คงจะไม่ต่างจากหลายเดือนก่อนมากถึงเพียงนี้ เพราะเมื่อก่อนหากเขาเห็นน้องเล็กน้ำตาไหลแม่แต่หยดเดียวก็เป็นห่วงแทบแย่

 

 

คิดถึงตรงนี้ เขาไม่ได้ตอบคำถามของหลินหันเยียน แต่กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดด้วยความหนักแน่นว่า “น้องเล็ก ไม่ว่าจะมีงานแต่งหรือไม่ เจ้าและคุณชายรองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าอย่าทำตัวเช่นเด็กน้อยอย่างที่เคยทำตอนที่อยู่ในจวนนี้อีก เจ้าจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้ได้”

 

 

หลินหันเยียนชะงักไป น้ำตาไหลลงมาแอบแก้ม แต่นางไม่สนใจจะเช็ด ถามด้วยความสงสัยว่า “พี่ใหญ่ ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”

 

 

หลินจ้งถอนหายใจแรง ตอนหลินหันเยียนยังเล็ก ท่านพ่อ ท่านแม่ ก็หวังเอาไว้ว่านางจะได้เป็นซื่อจื่อเฟย จึงได้เอาอกเอาใจนางเป็นพิเศษ ไม่ได้ใส่ใจอบรมสั่งสอนนางเรื่องมารยาทมากเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ก็เริ่มพูดถึงการถอนหมั้น ท่านพ่อ ท่านแม่ลนลาน คิดหาวิธีต่างๆ มาขัดขวางการถอนหมั้น แต่ต่อมาก็เกิดเรื่องถอนหมั้นขึ้นจนได้ หลินหันเยียนล้มป่วยหนักไม่มีท่าทีดีขึ้น ผอมซูบลงทุกคืนวัน จึงไม่มีผู้ใดไปอบรมสั่งสอนนาง หลายเรื่องมารวมกัน ทำให้นางกลายเป็นดอกไม้ในห้องกระจก โดนแดดโดนลมไม่ได้ จากเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส กลายเป็นคนเจ้าน้ำตาเช่นทุกวันนี้

 

 

หลินจ้งถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง กำหมัดให้หวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง หากน้องข้ามีที่ใดที่ไม่ถูกไม่ควร ขอให้ท่านอภัยนางด้วย รอท่านพ่อและท่านแม่หายป่วยดีแล้ว ข้าจะไปรับนางกลับมาสั่งสอนอย่างดี”

 

 

เอียงคอไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของหลินหันเยียน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของหวงฝู่อวี้กลับไม่มีความรู้สึกสงสารนางเช่นเคย แต่กลับกลายเป็นความผิดหวังแทน ตอนแรกคิดว่านางจะสามารถอยู่ที่จวนหลินได้ คิดไม่ถึงว่าสองสามีภรรยาหลินฉงเหวินจะป่วยกันทั้งสองคน ดูท่าทีวันนี้คงจะต้องพานางกลับไปเช่นเคย จึงได้ถอนหายใจออกมายาวเหยียด โบกมือ “พี่ใหญ่พูดอะไรกัน เยียนเอ๋อร์เป็นคนที่ข้ารัก นางมีข้อเสียอะไรข้าก็ยอมรับได้ทั้งสิ้น”

 

 

หลินจ้งฟังความหมายโดยนัยน์ของเขาออก ในใจจึงยิ่งหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม พูดอะไรไม่ออกในทันที

 

 

หวงฝู่อวี้ยืนขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วันนี้ข้ากับเยียนเอ๋อร์ก็ขอตัวกลับก่อน หวังว่าท่านพ่อตาและแม่ยายจะหายดีโดยเร็ว”

 

 

หลินจ้งรีบยืนขึ้น คารวะ “ขอบคุณคุณชายรองที่เป็นห่วง หากอาการของท่านพ่อและท่านแม่ดีขึ้นเมื่อใด ข้าจะรีบส่งคนไปรับเยียนเอ๋อร์กลับมาขอรับ”

 

 

หวงฝูอวี้พยักหน้า กดความรู้สึกหงุดหงิดในใจเอาไว้ หันหน้าไปพูดกับเยียนเอ๋อร์ด้วยความอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ เรากลับกันเถิด วันหลังค่อยมาใหม่นะ”

 

 

หลินหันเยียนท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ นั่งไม่ขยับ พูดว่า “ข้าอยากอยู่ที่จวนนี้”

 

 

“เยียนเอ๋อร์!” หลินจ้งตวาดนาง “เหตุใดเจ้าจึงรั้นเช่นนี้”

 

 

หลินหันเยียนตกใจ ร่างของนางสั่นเล็กน้อย มองหลินจ้งอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำตาไหลรินออกมา “พี่ พี่ใหญ่…”

 

 

หลินจ้งไม่ใจอ่อน น้ำเสียงแข็งยิ่งกว่าเดิม “เจ้ามีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว วันๆ รู้จักแต่จะร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็ก จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้อย่างไร เช็ดน้ำตาเสีย กลับไปพร้อมคุณชายรอง”

 

 

ประโยคนี้ของหลินจ้งแม้จะดูเหมือนเป็นการดุ แต่ที่จริงแล้วเป็นการเตือนสตินาง แต่หลินหันเยียนกลับจมอยู่กับคำดุของหลินจ้งอยู่อย่างนั้น พี่ใหญ่ที่ปกติแล้วไม่เคยดุว่าใครกลับสั่งสอนนางต่อหน้าคนมากมาย เขาคิดว่าเรื่องที่ตนทำลงไปทำให้จวนหลินขายหน้า ไม่อยากพบหน้าตนแล้ว ไม่อยากในตนอยู่ที่นี่แล้วหรือ

 

 

คิดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมามากกว่าเดิม และยังไม่ยอมยืนขึ้น

 

 

เมื่อเห็นว่านางยังไม่เข้าใจความหมายของเขา หลินจ้งกำลังจะโมโหขึ้นมา ฮูหยินจึงได้กดแขนของเขาไว้ และส่ายหน้า ส่วนตนก็เดินไปหานาง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้ จากนั้นก็ดึงนางขึ้น ตบมือนางเบาๆ “น้องเล็ก เจ้าอย่าน้อยใจไปเลย ท่านพ่อและท่านแม่ป่วยอยู่ พี่ของเจ้าต้องดูแลจวนของเราเพียงผู้เดียว เมื่อเกิดเรื่องไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหร้ายสักหน่อย ไม่ใช่เพราะเป็นเจ้าหรอก กับข้าเขาก็โมโหร้ายเช่นนี้ทั้งวัน น้องเล็กอย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย วันนี้เจ้ากลับไปกับคุณชายรองเสียก่อน รอวันหลังมีเวลาแล้ว พี่สะใภ้จะไปรับเจ้ากลับมาเอง”

 

 

ประโยคนี้ของนางปลอบใจหลินหันเยียนได้ดี จึงพูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าก็เพียงอยากจะอยู่ที่นี่ดูแลท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นเอง”

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู แต่อย่างไรเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของคุณชายรองแล้ว จะมาอยู่ที่บ้านนานๆ ก็ไม่เหมาะสม จะเป็นที่ติฉินนินทาเอาได้ อย่างไรเสียน้องเล็กก็กลับไปพร้อมกับคุณชายเถิด”

 

 

หลินหันเยียนจนปัญญา จึงได้แต่พยักหน้า

 

 

หวงฝู่อวี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ขมวดคิ้วลง มองคู่สามีภรรยาหลินจ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

 

 

ฮูหยินหลินค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาให้หลินหันเยียน แต่ก็ไม่ได้ให้นางไปล้างหน้าล้างตา ยิ้มพร้อมพูดว่า “เวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ข้าและพี่ของเจ้าไม่รั้งเจ้าและคุณชายไว้กินข้าวเย็นที่นี่แล้วกัน กลับจวนกันดีๆ ล่ะ”

 

 

เช่นนี้ก็คือการส่งแขก หวงฝู่อวี้เข้าใจแล้ว จึงได้ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก ฮูหยินของหลินจ้งประคองหลินหันเยียนเดินตามหลัง หลินจ้งเดินอยู่หลังสุด เดินออกจากจวนหลินไป

 

 

เมื่อเห็นรถม้าของทั้งสองแล่นออกไปไกล ฮูหยินก็โล่งใจขึ้นมา ถามหลินจ้งว่า “เรื่องนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ เรื่องงานแต่งเราจะยื้อกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ”

 

 

หลินจ้งไม่พูดไม่จา เดินกลับเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฮูหยินเดินตามมาติดๆ

 

 

รถม้าจากไปอย่างไม่รีบร้อน ราวๆ หนึ่งก้านธูป หลินหันเยียนจึงได้สงบลง คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมา จึงได้เอียงตัว เข้าไปซบในอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ ถามว่า “พี่อวี้ แม่หญิงที่ท่านช่วยเอาไว้ตอนที่เราเดินทางมา ท่านรู้จักนางหรือ”

 

 

หวงฝู่อวี้เล่นผมของนางพร้อมส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

 

 

“อย่างนั้นเหตุใดจึง…” อยากจะถามว่าเหตุใดจึงอุ้มคนนั้นเอาไว้ในอก แต่ก็คิดว่าไม่ควร จึงเปลี่ยนเป็น “ข้าเห็นบนรถมีป้ายเขียนว่าเจียง เป็นรถม้าของหมอเจียงใช่หรือไม่”

 

 

“ข้ามิได้ถาม หลังจากช่วยคนเสร็จแล้ว ข้าก็เดินจากมา ไม่รู้ว่านางนั่งรถม้าของใครมา”

 

 

ดูออกว่าจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลินหันเยียนจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่อวี้ ท่านมีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา ก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของนาง ยิ้มพร้อมส่ายหน้า ปิดบังเรื่องในใจของตน “มีเรื่องในใจที่ใดกันเล่า เรื่องกิจการของจวนก็เท่านั้นเอง”

 

 

หลินหันเยียนไม่รู้เรื่องการค้าขาย จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ ซบอยู่บนอกเขาเงียบๆ

 

 

ในรถม้าเงียบสงัด

 

 

หวงฝู่อวี้ปิดตาลง ปล่อยอารมณ์ไปกับช่วงเวลาแสนสงบที่หาได้ยากเช่นนี้

 

 

รถม้ามาถึงหน้าประตูจวน พยุงหลินหันเยียนลงรถ เดินเข้าไปในจวน หวงฝู่อวี้กล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่และพี่สะใภ้เสียก่อน”

 

 

สีหน้าของหลินหันเยียนตระหนกขึ้นมาทันที อยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด “ซื่อจื่อเฟยจะไม่โทษข้าใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าคิดไปถึงไหนกัน นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย พี่สะใภ้ไม่กล่าวโทษเจ้าหรอก”

 

 

หลินหันเยียนโล่งใจ หวงฝู่อวี้ส่งสายตาให้หงเอ๋อร์ หงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามา พยุงหลินหันเยียนไปยังเรือนของตน

 

 

หวงฝู่อวี้ยืดตัวขึ้น เดินทะลุทางเดิน ไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอชิงหลวนรายงานเสร็จแล้วจึงได้เดินเข้าไปด้านใน พอเข้าไปด้านใน จึงรีบถามอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ จวนหลินเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”

 

 

หวงฝู่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่รอให้เชิญ “วันนี้พวกเรากลับไปที่จวนหลิน แต่ไม่ได้พบหน้าหลินฉงเหวินและฮูหยินของเขา ไม่เพียงเท่านี้ ขนาดเยียนเอ๋อร์ขออยู่ที่จวนต่อยังถูกปฏิเสธ เรื่องนี้แปลกมาก อีกอย่าง เยียนเอ๋อร์จะได้แต่งงานเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เมื่อหลินจ้งและฮูหยินได้ยินแล้วนั้น กลับไม่มีสีหน้ายินดีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความตื่นตระหนกแทน เรื่องนี้แปลกเหลือเกิน”

 

 

“ใช่ จวนหลินเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ทีแรกข้าคิดว่าวันนี้หลินจ้งจะบอกความจริงกับพวกเจ้าเสียอีก”