“หุบปาก”
คราวนี้ จีเฉวียนทรงตรัสขึ้นมาบ้างแล้ว
พระองค์ลืมพระเนตรขึ้นมา ดวงเนตรหงส์นั้นมีแต่ความเย็นยะเยือก แค่กวาดพระเนตรผ่านก็ทำให้คนต้องขนหัวลุก
“อาอิงตายไปแล้ว” พระองค์ตรัสอย่างเย็นชาออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้ามันเป็นเพียงตัวประหลาด”
ฉางซุนอิงตกตะลึงไปแล้ว “ท่าน….”
“มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้าเป็นตัวประหลาด? ท่านรู้หรือไม่ว่า เพื่อจะได้กลับมามีชีวิตและเจอท่าน…หลายปีมานี้ข้าต้องยากลำบากขนาดไหน”
นางตื่นตระหนก ทั้งยังคิดจะหาข้อแก้ต่าง กลับได้ยินจีเฉวียนตรัสคำหนึ่งว่า “ฉางอัน”
“อะไรนะ?” ฉางซุนอิงไม่รู้ว่าสมควรมีปฏิกริยาอย่างไร
จีเฉวียนเพียงแค่หัวเราะเสียงเย็นชา “รู้จักความหมายของสองคำนี้หรือไม่?”
ฉางซุนอิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “ท่านต้องการให้ใต้หล้ามีแต่ความสงบสุขตลอดกาลหรือ?”
เสียงพระสรวลของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งเย็นยะเยือกแล้ว
“ฉางอัน หนุ่มน้อยที่อาอิงชื่นชอบผู้นั้น ชื่อของเขาคือฉางอัน”
ความเงียบงำ….ครอบคลุมเนิ่นนาน
ฉางซุนอิงอ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ฉางอัน? มีคนผู้นี้ได้อย่างไร…..
พักใหญ่ นางถึงได้พูดว่า “ท่านพูดเรื่องอะไร…..คนที่ข้าชอบก็คือท่าน ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้มีแต่ท่านเพียงผู้เดียว เคยมีฉางอันที่ใดกัน? นี่มันชัดเจนเลยว่าท่านอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงข้า!”
จีเฉวียนหรี่พระเนตรมองราวกับนายพรานที่กำลังรวบตาข่ายอย่างใจเย็น
“หัวใจของแต่ละคนต่างก็มีความลับอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ความลับของอาอิงก็คือฉางอัน แม้แต่พี่ชายของนางก็ยังไม่รู้ ว่าในใจของนางมีหนุ่มน้อยผู้นี้”
“เขาเป็นเพียงขอทานในแคว้นเหยียน ตั้งแต่เด็กก็ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ขอทานอยู่ในแคว้นเหยียนเพื่อประทังชีวิต”
คนไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่อะไร กลับชื่อว่าฉางอัน?
นี่มิใช่ชื่อที่ประชดประชันไปหน่อยหรอกหรือ
ปลายพระหัตถ์ของจีเฉวียนเคาะกับโต๊ะเบาๆ “ตอนนั้น….เรากับอาอิงพึ่งจะไปถึงแคว้นเหยียน อายุยังน้อยไม่มีที่พึ่งพิง ต้องแย่งชิงอาหารกับสุนัข เป็นขอทานชั้นล่างสุด หนุ่มน้อยที่ชื่อว่าฉางอันผู้นั้น อายุมากกว่าพวกเรา เขาคอยดูแลอาอิง”
“พอนานวันเข้า ก็กลายเป็นความผูกพัน”
“ภายหลังเมืองหลวงของแคว้นเหยียนเกิดโรคระบาด อาอิงก็ติดโรคนี้ด้วย เป็นฉางอันที่คอยดูแลนางอย่างไม่หลับไม่นอนอยู่สามวันสามคืน พออาอิงหาย เขากับล้มลง”
“โรคระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว…ไม่นานเชื้อพระวงศ์แคว้นเหยียนจึงออกคำสั่งลงมา ให้เผาคนที่ป่วยเป็นโรคระบาดทั้งเป็น”
“ฉางอันตายแล้ว ถูกพวกเชื้อพระวงศ์แคว้นเหยียนเผาตายทั้งเป็น”
จีเฉวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า แต่ก็ยังเห็นได้ว่านิ้วพระหัตถ์ของพระองค์กำลังสั่นน้อยๆ
อะไรที่เรียกว่ายอมเป็นสุนัขรับใช้องค์หญิงไท่ผิง ไม่ขอเป็นยาจกเร่ร่อน
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาจากตอนนั้น
จีเฉวียนเองก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งถึงได้สามารถสงบอารมณ์ลงไปได้
พระองค์ตรัสต่อไป
“นับตั้งแต่ตอนนั้น หนุ่มน้อยที่เรียกว่าฉางอันผู้นั้นก็เข้าไปอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของนางแล้ว …ความมุ่งหวังเพียงอย่างเดียวในชีวิตของนางก็คือให้ใต้หล้าสงบสุข ทุกผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
จากนั้น พระองค์ก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตรัสถามออกไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนั้นอาอิงถึงได้ทำเรื่องโง่วิ่งไปยังจวนแม่ทัพเพื่อขอให้คนเหล่านั้นช่วยเรา?”
ฉางซุนอิงตกตะลึงไป นางคิดจะบอกว่า ‘เพราะว่าข้าชอบท่าน’
แต่ว่าประโยคนั้นจะอย่างไรนางก็พูดไม่ออก
พูดออกไปมิเท่ากับว่าตบหน้าตนเองหรอกหรือ? นางเคยคิดว่าตนเองรับเอาความเป็นฉางซุนอิงมาได้ทั้งหมดจนครบถ้วนสมบูรณ์แบบ….
แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้กลับไม่รู้เลย
คนผู้หนึ่งสามารถยอมตายเพื่อคนอีกผู้หนึ่งได้ ดูอย่างไรก็สมควรเป็นเพราะรักจนถึงแก่นกระดูมิใช่หรือ?
“เพราะนางรู้ว่า เราคือคนที่จะทำให้ใต้หล้าสงบสุขได้”
“นางรักษาคำสัญญาที่มีต่อฉางอัน…จนตัวตาย”
“เจ้าเคยเห็นความมืดมิดอย่างที่สุดมาก่อนไหม?”
“เจ้าเคยได้รับความอบอุ่นจากแสงสว่างที่ส่องกระทบร่างหรือไม่?”
“ในใจของเจ้ามีความรักอันยิ่งใหญ่ไหม?”
“ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่รู้จักรักอันยิ่งใหญ่ กลับคิดจะปลอมตัวเป็นอาอิง…เช่นนั้นก็ล้มเหลวตั้งแต่แรกแล้ว”
…………………………
ไรท์: อาอิง ลื้อไม่รอดแน่ๆ ไรท์รู้ รีดรู้!
ตอนต่อไป “หากสูญเสียฮองเฮา ก็ไม่ต่างจากสิ้นแว่นแคว้น”