ภายในหอคอยเวทมนต์อัลลิน นครลอยฟ้า…
เบิร์กลีย์คุ้นเคยกับอาคารสูงตระหง่านโดดเด่นนี้แล้ว หาได้ตื่นตะลึงไปกับรูปลักษณ์ของมันที่แตกต่างจากหอคอยเวทมนต์อื่นๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เขาเพียงแต่รู้สึกชื่นชอบและชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ
นอกจากนี้แล้ว ทันทีที่เขาเห็นหอคอยเวทมนต์ เบิร์กลีย์ก็รู้สึกมั่นคงและมีหลักยึดให้พึ่งพิง เขามิได้มีท่าทีหวาดระแวงเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว ซึ่งยามนั้นเขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความฝัน ด้วยเกรงว่าผู้พิทักษ์ราตรีจะหาตัวเขาพบ จับตัวเขาไป และส่งเขาขึ้นตะแลงแกง
“ที่แห่งนี้คือสรวงสวรรค์สำหรับนักเวทย์ทุกคน…” เบิร์กลีย์หลับตาลงขณะเอ่ยประโยคนั้น จากนั้น ในใจเขาก็คล้ายกับจะมีไฟลุกโหม ‘วันนี้นางจะยังอยู่ที่นั่นไหมนะ’
เขาเดินเร็วขึ้นและผ่านโถงต้อนรับของหอคอยเวทมนต์เข้าไปยังโซนแรกบนชั้นหนึ่ง ที่ที่มีห้องห้องสมุดอาร์คานาทั่วไปตั้งอยู่
จอมเวทหลายคนติดนิสัยการศึกษาและอ่านตำราทันทีที่ยืม เพื่อที่จะดูว่าพวกเขาขาดเอกสารชิ้นไหนไป ด้วยเหตุนี้ สภาเวทมนต์จึงสร้างห้องอ่านตำราขึ้นบนพื้นที่ว่างในโซนแรก เพื่อให้บรรดาจอมเวทย์ทั้งหลายมีพื้นที่อ่านหนังสือกันเงียบๆ
ภายหลัง จอมเวทหลายคนก็ได้ตระหนักว่าสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้เหมาะแก่การอ่านตำราที่ไม่ต้องทำการทดลองเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อศึกษาเช่นกัน
เบิร์กลีย์หยิบตำราปกดำเล่มหนาออกมาจากกระเป๋าเวทมนต์สองเล่น สูดหายใจลึกเข้าปอดสองสามครั้งแล้วแสร้งทำเป็นว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เหมือนกับนักวิจัยผู้ขยันขันแข็ง เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องอ่านตำรา แม้ว่าในสมองของเขาจะมิได้คิดถึงตำราเล่มไหนเลยก็ตาม
วินาทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องอ่านตำรา เขาก็มองไปทางที่นั่งข้างหน้าต่าง ด้วยใจหวังว่าจะได้เห็นเด็กสาวผู้งดงามอีกครั้ง
‘นางมาที่นี่จริงๆ ด้วย!’ เบิร์กลีย์ดีใจอย่างหาใดเปรียบ รอยยิ้มอันเจิดจ้าผุดขึ้นบนใบหน้าเขายังไม่อาจควบคุมได้
แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องผ่านบานหน้าต่าง แล้วตกกระทบบนตัวเด็กสาวผู้งดงามที่นั่งอยู่เงียบๆ นางจดจ่อเพ่งสมาธิและไม่สนใจสิ่งใด ใบหน้าของนางดูงดงามประณีต ริมฝีปากเป็นสีฟ้าแต่กลับแผ่เสน่ห์อันแปลกประหลาดบางประการ เมื่อจับคู่กับวงรัศมีที่เกิดขึ้นจากแสงแดด นางก็ดูเหมือนกับเอลฟ์หิมะที่ความงามไม่อาจอธิบายได้
นางคือสตรีที่งดงามและมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่สุดเท่าที่เบิร์กลีย์เคยพบเห็นนับแต่ที่เขาหลบหนีข้ามทวีปมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาใช้เวลาเกือบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในห้องอ่านตำรา คอยชื่นชมเด็กสาวอยู่เงียบๆ ไม่อาจละสายตาจากนางได้
‘ไม่ได้การ ข้าจะทำตัวเช่นนี้ต่อไปไม่ได้…’ เบิร์กลีย์กล่าวกับตัวเอง ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามให้มากขึ้น ‘ผู้ใดเลยจะรู้ว่านางจะมาที่ห้องอ่านตำราในสัปดาห์หน้าอีกหรือไม่ อย่างไรเสีย นางก็แทบไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย ข้าต้องทำความรู้จักกับนาง โอกาสนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่จะพลาดได้ มิเช่นนั้นข้าคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต!’
เขาปลุกใจตนเองและรวบรวมความกล้า และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที ก่อนจะเดินตรงไปหาเด็กสาว พร้อมกับตำราในมือ ด้วยใจหวังว่าจะใช้พวกมันเป็นหัวข้อเริ่มต้นบทสนทนา
‘อย่ากังวลไปเลย! นี่ก็แค่การสานความสัมพันธ์ฉันท์มิตร ข้ามิได้ถูกห้ามปรามไม่ให้ผูกมิตรกับผู้ใดในสภาเวทมนต์มิใช่หรือ’
‘จงนำเอาความกล้าในยามที่เจ้าคบหากับสตรีชนชั้นสูงในอดีตออกมา! จงอย่าเป็นคนขี้ขลาด!’
ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของเบิร์กลีย์ เขารู้สึกว่าเท้าของตนไม่มั่นคงแล้วไร้พละกำลังเช่นเดียวกับหัวใจของเขา
เด็กสาวผู้นั้นจดจ่อกับตำราในมือและคิดคำนวนลงบนกระดาษเป็นครั้งคราว จนไม่สังเกตุเห็นว่าเบิร์กลีย์เข้ามาใกล้ตัวนางแล้ว
เส้นผมของนางคล้ายกับจะสร้างขึ้นจากน้ำแข็ง ซึ่งดูใสแจ๋วและเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์ ทั้งยังสะท้อนแสงเป็นสายรุ้งจางๆ เบิร์กลีย์สายตาพร่ามัวและลืมเลือนไปเสียสิ้นถึงสิ่งที่เขาคิดในหัวก่อนหน้านี้
“ท่านสุภาพสตรีที่เคารพ ข้าขอนั่งตรงนี้ได้หรือไม่ขอรับ” เบิร์กลีย์ถาม ริมฝีปากของเขาแห้งผาก เขารู้สึกว่าเสียงของตนช่างสั่นเทาเหนือการควบคุม
เสียงปากกาขนนกตวัดไปบนแผ่นกระดาษดังไม่หยุด เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามเหนือใดเปรียบไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ นางยังคงจดจ่อเหมือนกับก่อนหน้านี้
“ท่านสุภาพสตรีที่เคารพ ข้าขออนุญาตนั่งตรงนี้ได้ไหมขอรับ” เบิร์กลีย์ข่มความขลาดกลัวของตนที่คอยกระตุ้นให้เขาหมุนตัวหนีไป เพื่อถามออกไปอีกครั้ง
พั่บๆๆ
หน้ากระดาษของตำราถูกพลิกเปิดไป แต่เด็กสาวผู้มีรูปลักษณ์เหมือนเอลฟ์คล้ายกับจะพยักหน้า หรือนั่นก็คือสิ่งที่เบิร์กลีย์คิดว่าตนเองเห็น
‘หรือว่าข้าจะคิดไปเอง’ เบิร์กลีย์คิดอย่างไม่มั่นใจ แต่เขาก็พลันบอกตัวเองว่าตนควรจะเลิกสนใจเรื่องนั้น ตราบใดที่นางมิได้ปฏิเสธเขาอย่างเปิดเผย นั่นก็หมายความว่านางยินดีให้เขานั่งตรงนี้!
เขาทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเด็กสาวอย่างระมัดระวัง พลางลอบมองนางอีกครั้ง เพียงเพื่อจะตกตะลึงกับใบหน้าอันงดงามประณีตของนาง ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็สังเกตุเห็นว่าเด็กสาวมีเหรียญตราสองเหรียญติดอยู่บนเสื้อคลุมเวทมนต์ เหรียญหนึ่งเป็นเหรียญตราจอมเวทที่มีดาวสี่ดวง ส่วนอีกอันเป็นเหรียญตรานักเวทย์ที่มีสองวงแหวนสีดำ
‘ด้วยวัยเพียงเท่านี้ นางกลับเป็นจอมเวทระดับกลางแล้วงั้นหรือ’ เบิร์กลีย์ตกตะลึงเพราะเขาแทบไม่เคยเห็นเด็กสาวคนไหนที่สร้างความสำเร็จอย่างโดดเด่นได้ถึงเพียงนี้ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดหนักว่าจะทำความรู้จักกับนางอย่างไรดี
“ท่านหญิง ข้าอยู่ในสภามาหลายปี แต่กลับไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีระดับอาร์คานาสูงกว่าระดับเวทมนต์ถึงเพียงนี้ ท่านช่างเป็นอัจฉริยะทางอาร์คานาอย่างแท้จริง” เบิร์กลีย์พยายามแย้มยิ้มอย่างสง่างามและหล่อเหลาที่สุด
เด็กสาวยังคงตวัดปากกาขนนกของนางต่อไป ไม่แม้แต่จะพยักหน้าหรือส่งเสียงตอบเป็นนัยว่านางรับรู้ถึงคำพูดของเขา
ใบหน้าของเบิร์กลีย์แข็งทื่อ นางไม่ชอบหัวข้อนี้เช่นนั้นหรือ
เขาจึงพูดต่อไป “ท่านหญิง ท่านดูเหมือนจะมีสายเลือดของเอลฟ์หิมะนะขอรับ นั่นเป็นสายเลือดที่พบหาได้ยากยิ่ง ตามที่ข้าจำได้ พวกเขามีอยู่เพียงดินแดนทางตอนเหนือเท่านั้น”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค จู่ๆ เด็กสาวก็ยกมือซ้ายขึ้น เบิร์กลีย์ดีใจจนแทบเนื้อเต้น ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาบางอย่างแล้ว!
คิ้วเล็กๆ ของนางขมวดมุ่น นางใช้มือซ้ายกุมแก้มข้างหนึ่ง และนิ้วชี้ของนางก็ยื่นไปแตะริมฝีปากโดยที่นางไม่รู้ตัวเลยสักนิด ทว่านางยังคงไม่มองมาทางเบิร์กลีย์หรือตอบกลับเขา
เบิร์กลีย์ถูกภาพที่แสนงดงามตรงหน้าดึงดูดในทีแรก แต่แล้วความคับข้องใจในความล้มเหลวก็ผุดขึ้นอย่างรุนแรงและกัดกินหัวใจเขาอย่างลึกล้ำ
‘ข้าไม่อาจ…ข้าไม่อาจยอมแพ้เช่นนี้ได้!’
‘หากข้าพลาดโอกาสนี้ไป มันก็จะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้วในอนาคต ใครเลยจะรู้ว่านางมาจากดินแดนทางตอนเหนือหรือไม่ ใครเลยจะรู้ว่านางจะกลับมาที่นี่ในเร็ววันหรือไม่’
หลังจากนั้นหลายนาที เบิร์กลีย์ก็รวบรวมความกล้ากลับมาอีกครั้ง เขาพยายามแย้มยิ้มนุ่มนวลแม้ว่ามันจะแข็งทื่อไปแล้วก็ตาม ขณะกล่าวว่า “ท่านหญิง ข้าประทับใจกับความมีสมาธิของท่านยิ่งนัก ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่าท่านกำลังอ่านเรื่องใดอยู่หรือ”
วินาทีที่เขาเอ่ยปากออกไป เบิร์กลีย์ก็แทบจะอยากตบหน้าตนเองแรงๆ เพราะเขาเห็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์แสนคุ้นตาอยู่เต็มกระดาษในตำราตรงหน้าเด็กสาว มันไม่ยากเลยที่เขาจะเดาได้ว่าตำราเล่มนี้จัดอยู่ในประเภทใด
นิ้วชี้ของเด็กสาวคล้ายกับจะยื่นเข้าไปในปากนางแล้ว ดวงตาของนางยังคงจดจ้องบนกระดาษ และปากกาขนนกในมือขวาของนางยังคงขยับไหว ราวกับโลกทั้งใบมิมีผู้ใดอื่นอีกนอกจากนางกับตำรา กระดาษ และหยดหมึก มนุษย์คนอื่นๆ หาได้มีตัวตนอยู่ในโลกใบนั้น ผู้ใดก็ตามที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางจึงไม่ต่างจากอากาศธาตุ
เบิร์ดลีเงียบไปอีกหลายนาที แต่แรงปรารถนาในใจเขายังคงไม่อาจหยุดยั้งได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงดึงสติตัวเองกลับมาและพูดออกไปอีกครั้ง “ท่านหญิง จากที่ข้ามองผ่านๆ ดูเหมือนว่าท่านจะกำลังศึกษาเรื่องแคลคูลัสอยู่ ข้าไม่ทราบว่าปัญหาใดที่ท่านกำลังพบเจออยู่ แต่หากท่านไม่ว่าอะไร ท่านพูดมันออกมาได้นะขอรับ เพื่อที่เราจะได้หารือด้วยกัน แม้ว่าข้าเพิ่งจะมาที่สภาได้ไม่กี่ปี แต่ข้าก็รู้เรื่องแคลคูลัสค่อนข้างดีทีเดียว อย่างไรเสีย การจะหาคำตอบให้กับแบบจำลองเวทมนต์หลายๆ อย่างก็ไม่อาจทำได้หากไร้ซึ่งแคลคูลัส…”
เขาพยายามเริ่มจากส่วนที่เด็กสาวให้ความสนใจมากที่สุดอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่เบิร์กลีย์จะพูดจบประโยค เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน นางจ้องเขาอย่างถี่ถ้วนด้วยดวงตาใสแจ๋วประดุจน้ำแข็ง เบิร์กลีย์รู้สึกว่าสมองของเขาถูกเขย่าอย่างรุนแรงเสียจนแทบจะสูญเสียการควบคุมตนเองไป
“ขอบเขตควรจะนิยามอย่างเด็ดขาดเช่นไรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาก่อนหน้านี้ แล้วความต่อเนื่อง อนุพันธ์ กับจำนวนเล็กน้อยจนวัดไม่ได้ล่ะ ควรจะให้คำนิยามทางคณิตศาสตร์กับพวกมันอย่างไรให้สอดคล้องกันได้” เสียงของเด็กสาวนั้นฟังดูทั้งเย็นเยียบและชวนให้สดชื่น เหมือนกับเกร็ดหิมะที่ลอยละล่องยามเหมันต์ฤดู น้ำเสียงของนางมีแต่ความเคร่งขรึม
เบิร์กลีย์ถึงกับเหม่อ ปากอ้าค้างไม่อาจงับปิดได้ ‘นี่มัน…นี่มันคำถามอะไรกัน นางกำลังศึกษาเรื่องอะไรอยู่กันแน่ มัน…มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!’
สมองของเขาเหมือนเพิ่งโดร ‘เวทพายุจิต’ เวทมนต์ระดับตำนานเข้าโหมกระหน่ำทำลายจนไม่เหลือสิ่งใดเลย ทว่า เด็กสาวยังคงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจและจดจ่อ เขาจึงตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า…ข้า ไม่เคยคิดถึงคำถามเหล่านี้อย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อน…”
เด็กสาวพยักหน้า ท่าทางไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม แต่แฝงไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงไปเขียนความคิดของตนเองต่อ
ขณะเฝ้ามองเด็กสาวผู้เย็นชาที่นั่งรับแสงแดดเจิดจ้าอยู่นั้น เบิร์กลีย์ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกทำร้ายจนไม่อาจสู้ต่อได้อีก นางคือเทพธิดาแห่งอาร คานาที่คนอื่นๆ ทำได้เพียงชื่นชมและเคารพยกย่องจากที่ไกลๆ แต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้