“แม่จะหลอกเจ้าได้อย่างไร ลูกที่ข้าเลี้ยงมากับมือ พี่ชายที่แสนดีของเจ้า ก็อยากขังข้าให้อยู่ในจวนนี้ กระทั่งเรื่องที่เจ้ากลับไป ยังสั่งให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายไม่ต้องบอกข้า แถมยังกำชับไม่ให้ข้าออกมาได้อีก วันนี้ข้าปีนกำแพงออกมาต่างหากล่ะ”

 

 

หลินหันเยียนถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อของฮูหยินหลินไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินเซไปมา เกือบจะล้มลง แล้วใช้มือจับโต๊ะพยุงตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วฝืนตัวยืนให้มั่น ถามด้วยความกริ้วโกรธว่า “พี่ใหญ่จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! เหตุใดเขาถึงอกตัญญูเช่นนี้ ขังท่านพ่อและท่านได้อย่างไร”

 

 

ฮูหยินหลินถอนหายใจแรงๆ หนึ่งเฮือก “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าข้าเลี้ยงลูกออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เพื่อลาภยศสรรเสริญ กระทั่งพ่อแม่ของตนก็ไม่สนใจแล้ว ถึงทำเรื่องอกตัญญูแบบนี้ออกมาได้”

 

 

หลินหันเยียนได้แต่ส่ายหน้า เหมือนจะไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่ ไม่ทำแน่เจ้าค่ะ”

 

 

“เขาไม่ทำ หรือเจ้าว่าที่แม่พูดเป็นเรื่องโกหกงั้นรึ” ฮูหยินหลินถาม

 

 

คิดถึงตอนที่ตนกลับมาที่จวนวันนั้น ท่าทางของสองสามีภรรยาหลินจ้ง จึงทำให้หลินหันเยียนเชื่อสนิทใจ จึงหันหลังแล้ววิ่งออกไป “ไม่ได้การ ข้าจะต้องกลับไปถามพี่ใหญ่ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น”

 

 

“หยุด!” ฮูหยินหลินก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วห้ามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

เหมือนว่าหลินหันเยียนจะไม่ได้ยิน วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

“หงเอ๋อร์ รีบห้ามเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า!” ฮูหยินหลินตะโกนเรียกอย่างร้อนรน

 

 

เมื่อเห็นว่าหลินหันเยียนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หงเอ๋อร์ก็ชะงักไป ตอนได้ยินเสียงคำสั่งของฮูหยินหลินถึงได้สติกลับมา แล้วรีบตามไปอย่างรวดเร็ว แล้วกอดนางไว้ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”

 

 

“เจ้าปล่อยข้า ข้าจะกลับจวนไปถามพี่ใหญ่ ว่าเหตุใดเขาถึงได้ขังท่านพ่อและท่านแม่” หลินหันเยียนใช้แรงดื้อดึงที่จะออกจากหงเอ๋อร์ ในขณะนั้นก็ร้องออกมาด้วย

 

 

หงเอ๋อร์ชะงักไป ฮูหยินหลินก็รีบเดินออกมาจากในห้อง แล้วมายืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วตบไปที่หน้าของหลินหันเยียน แล้วด่าทออย่างรุนแรง “เจ้าใจเย็นๆ ก่อนสิ!”

 

 

มือที่ตบลงไป ทำให้หลินหันเยียนชะงัก หงเอ๋อร์ก็ชะงัก ฮูหยินหลินเองก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน แล้วมองไปที่มือของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อว่ามือที่ตบลงไปนั้นจะเป็นมือของตน เงยหน้า ก็เห็นรอยมือสีแดงที่บนใบหน้าของหลินหันเยียน ก็เกิดความเสียใจ ยื่นมือออกมาลูบลงไปที่ๆ ตนเองตบลงไป แล้วอยากจะอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ แม่…”

 

 

หลินหันเยียนนิ้ง มองไปที่นาง แล้วถามอย่างไม่น่าเชื่อว่า “ท่านแม่ ท่านตบข้า?”

 

 

ฮูหยินหลินรีบอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ แม่ไม่ได้เจตนา แม่แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าบุ่มบ่ามวิ่งออกไปเช่นนี้จะไปก่อเรื่องอะไรเข้า ฟังแม่เถอะ เจ้ากลับห้องก่อน แล้วพวกเราค่อยมาหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ”

 

 

ดวงตาของหลินหันเยียนเริ่มมีน้ำไหลออกมา หงเอ๋อร์จึงปล่อยนาง แล้วบอกว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านฟังที่ฮูหยินพูดเถอะ กลับห้องก่อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

 

 

เมื่อเห็นหน้าของฮูหยินหลินที่แสดงถึงความเป็นห่วง หลินหันเยียนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม แล้วก็โดนหงเอ๋อร์พยุงกลับไปที่เรือน แล้วไปนั่งร้องไห้อยู่บนเก้าอี้

 

 

หงเอ๋อร์เก็บเศษแก้วที่พื้น แล้วก็เอาแก้วใบใหม่มาวางไว้ที่ตรงหน้าของหลินหันเยียน แล้วออกไป ปิดประตูจวนอย่างระมัดระวัง แล้วยืนเฝ้าอยู่ที่ตรงหน้าประตู เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาแอบฟัง ในใจก็เกิดเต้นแรงขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก เมื่อนายน้อยขังนายท่านและฮูหยินเอาไว้ในจวน นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อใดกัน เหตุใดนางและคุณหนูถึงไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว

 

 

ด้านในเรือน หลินหันเยียนร้องไห้เบาๆ จนฮูหยินหลินรู้สึกรำคาญ ความรู้สึกผิดที่มีเมื่อสักครู่ก็หายไป บอกว่า “พอได้แล้ว แม่ก็ขอโทษแล้วมิใช่หรือ เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว พวกเรามาหารือกันดีกว่าจะช่วยพ่อของเจ้าออกมาอย่างไรดี”

 

 

น้ำตาของหลินหันเยียนก็ยังคงไม่หยุดไหล เงยหน้า แล้วถามด้วยความสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่จะทำเช่นไรหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนรู้สึกว่าลูกสาวของตนคนนี้ก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าหากว่าตนรู้ว่าจะทำเช่นไร แล้วจะคิดหาวิธีปีนกำแพงออกมาหานางทำไมกัน จึงกดความโกรธเอาไว้ในใจ แล้วพูดว่า “แม่ก็คิดวิธีไม่ออก ก็เลยมาปรึกษาเจ้าอย่างไรล่ะ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ช่วยแม่คิดหน่อย มีวิธีใดที่จะช่วยพ่อของเจ้าออกมาได้บ้าง”

 

 

หลินหันเยียนก็ลุกลี้ลุกลน ไม่มีความคิดใดๆ บวกกับเมื่อครู่ได้โดนฮูหยินหลินตบเข้าไป จิตก็ยิ่งตกเข้าไปใหญ่ แล้วจะคิดวิธีดีๆ ออกมาได้อย่างไร จึงส่ายหน้า “ข้าคิดไม่ออก สู้รอให้พี่อวี้กลับมาก่อน แล้วให้เขาช่วยคิดหาวิธีจะดีเสียกว่าเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อพูดถึงหวงฝู่อวี้ ฮูหยินหลินก็โกรธเข้าไปใหญ่ แล้วตะคอกใส่ “ให้เขาช่วยคิดหาวิธีงั้นรึ หวงฝู่อี้เซวียนกับเขาเป็นพี่น้องกัน สั่งให้พี่ใหญ่ของเจ้าขังพ่อกับแม่ไว้ ไม่แน่ก็อาจจะเป็นความคิดของเขา เขาน่ะหรือจะช่วยคิดหาวิธี”

 

 

หลินหันเยียนก็หน้าซีดขึ้นมาทันที แล้วส่ายหัวไม่หยุด น้ำตาไหลริน “ท่านแม่ ไม่มีทาง พี่อวี้ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่เจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินหลินยืนขึ้นแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของนาง เพื่อที่จะให้นางคิดได้ “ข้าเลี้ยงเจ้าโตมาโง่เยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่า ถ้าหากว่าเขาไม่รู้เรื่องละก็ เหตุใดหลายวันมานี้เขาถึงไม่พาเจ้าเข้าไปเยี่ยมพวกข้าล่ะ”

 

 

หลินหันเยียนอยากที่จะเถียงกลับ “นั่นเป็นเพราะว่าๆ…”

 

 

“เพราะว่าอะไร” ฮูหยินหลินถามแกมบังคับ

 

 

หลินหันเยียนตอบไม่ได้ น้ำตาก็ไหลออกมา

 

 

ฮูหยินหลินโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่เข้าใจว่าตนมีลูกที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอาล่ะๆ แม่ไม่พูดมากแล้ว วันนี้เขากลับมาเมื่อไร เจ้าถามเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว ดูสิว่าแม่พูดถูกหรือไม่”

 

 

หลินหันเยียนไม่พูดอะไรอีก เรียกหงเอ๋อร์เข้ามา แล้วสั่งให้นางนำคนเข้ามาเก็บกวาดห้อง

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วออกไป ไม่นานก็กลับมารายงานว่าเก็บกวาดห้องเสร็จแล้ว ฮูหยินหลินจึงลุกขึ้น แล้วเดินไปกับหงเอ๋อร์ เดินไปถึงประตูก็หันกลับมาบอกว่า “อ่อ เสื้อที่แม่กำลังใส่อยู่ใส่ไม่ได้แล้ว เจ้าสั่งคนไปซื้อให้ข้าใหม่ด้วยล่ะ”

 

 

หลินหันเยียนตอบรับ

 

 

ฮูหยินหลินถึงได้เดินมาที่ห้องที่เก็บกวาดเสร็จแล้วกับหงเอ๋อร์ แล้วสั่งให้หงเอ๋อร์นำน้ำมาให้นาง หลังจากที่ทำความสะอาดแล้ว นางก็หลับตานอนลงไปที่เตียง หงเอ๋อร์ก็ได้ห่มผ้าห่มให้นางอย่างเบามือ แล้วนางก็เคลิ้มหลับไป

 

 

หงเอ๋อร์สั่งให้สาวใช้ที่ใช้ได้มาเฝ้าที่ประตู รอให้ฮูหยินหลินตื่นแล้วก็เข้าไปดูแลได้ตลอดเวลา ส่วนตนก็รีบกลับไปหาหลินหันเยียน เมื่อเปิดม่านประตูเดินเข้ามา ก็ถามด้วยความร้อนรนว่า “คุณหนูเจ้าคะ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งผู้ดูแลเรียบร้อยแล้ว ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางสมุดบัญชีที่อยู่ในมือลง ลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนของพระชายาฉี

 

 

ในเรือน ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีต่างกำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งเดินเล่นไปมา ฝึกมาตั้งหลายวัน ท่านอ๋องฉีก็ชำนาญการอุ้มเด็กขึ้นแล้วระดับหนึ่ง เวลานี้ แขนซ้ายโค้ง ไปจับหัวของเด็กและอุ้มตัวเด็ก ส่วนแขนขวาอีกข้างก็พยุงตัวเด็กไว้ ก้มหน้า มองเด็กที่อยู่ที่อ้อมอกด้วยสีหน้าเอ็นดูเป็นที่สุด

 

 

ภาพนี้ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วกลับมีความรู้สึกแปลกๆ

 

 

เอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อุ้มเด็กแบบนี้จะเหนื่อยเอาเสียได้ อย่างไรเสียวางเด็กลงที่รถเข็นเด็กเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

“เด็กเพิ่งจะสี่เดือนเองจะหนักแค่ไหนกันเชียว แม่อุ้มขึ้นมา เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก ไปยุ่งงานของเจ้าเถิด” คำพูดเดิมๆ หมายถึงการไล่ออกไปแบบอ้อมๆ เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏตัวเมื่อไร พระชายาฉีก็จะพูดเช่นนี้ เพราะกลัวว่าเขาสองคนจะมาแย่งเด็กไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคิดเหมือนเดิม ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีรักเด็กจนเกินไป แล้วต่อไปจะสอนได้อย่างไร แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับบอกว่า เสด็จพ่อและเสด็จแม่ท่านรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก

 

 

เพราะเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นพ่อแม่แท้ๆ อยากที่จะอุ้มลูกนั้นยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก เพราะว่าท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีไม่ปล่อยเด็กเลย กระทั่งตอนที่เด็กหลับ ก็จะมีคนหนึ่งมาเฝ้าที่ห้องของเด็กน้อย

 

 

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับพวกท่าน อย่างไรก็วางเด็กลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

ไม่ได้มาแย่งเด็กแต่อย่างใด ท่านอ๋องและพระชายาฉีก็ถอนหายใจพร้อมกัน แล้วโค้งตัวลงเอาเด็กวางลงไปที่รถเข็นเด็ก เด็กทั้งสองคนก็ลงไปนอนที่ในนั้นอย่างง่ายดาย

 

 

แล้วดันรถเข็นเด็กมาที่ด้านข้างของเก้าอี้ นั่งลง พระชายาฉียิ้มแล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร เจ้าพูดเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอาเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนพบว่าท่าทางของหลินฉงเหวินนั้นผิดปกติไป แล้วสั่งให้หลินจ้งกักตัวของเขาไว้บอกกับทั้งสองคน

 

 

อ๋องฉีขมวดคิ้ว พระชายาฉีแปลกใจ จึงถามว่า “มาถึงขั้นที่จะต้องทำเช่นนี้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จะต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ มิเช่นนั้น คนในจวนตระกูลหลินจะต้องตายไปด้วยอย่างแน่นอน เป็นเพราะอี้เซวียนเห็นว่าหลินจ้งนั้นเป็นคนมีความสามารถ จึงคิดหาวิธีแบบนี้มา”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า “ในเมื่อจะต้องเป็นเช่นนี้ ก็ทำเช่นนี้เถอะ อย่างไรก็เห็นแก่มิตรภาพของข้าและฮูหยินหลิน ก็ถือเสียว่าช่วยนางก็แล้วกัน”

 

 

“แต่ว่าฮูหยินหลินไม่คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

“เหตุใด นางจะทำเช่นไร” พระชายาฉีถาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่นางเจตนาให้หวงฝู่อวี้พาหลินหันเยียนกลับมาที่จวน หลินจ้งไม่เพียงแต่ไม่ได้บอกความจริงแก่พวกเขา แต่กลับไม่ให้พวกเขาเข้าไปพบสองสามีภรรยาหลินฉงเหวิน แล้วก็เรื่องที่ฮูหยินหลินมาที่จวนอ๋องด้วยเสื้อขาดๆ บอกไปทั้งหมด

 

 

สุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินหลินคนนี้จะไม่พอใจที่หลินจ้งกักตัวหลินฉงเหวินเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วจะไม่มาที่นี่สภาพเช่นนี้แน่นอน”

 

 

รู้จักกันมานานนม เหตุใดพระชายาฉีจะไม่รู้ว่าฮูหยินหลินผู้นี้เป็นคนอย่างไร จึงพูดว่า “ฮูหยินหลินคนนี้ เล่ห์เหลี่ยมจัดนัก มาถึงขั้นนี้แล้วแต่ผลกลับไม่สมดังหวัง จะต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน จะมีการบ่นว่าก็ไม่แปลก ถ้าหากว่านางรู้ถึงเรื่องราวพวกนี้ นางก็ควรจะเงียบไปเสียดีกว่า แล้วแนะนำเยียนเอ๋อร์ว่าอย่าคิดจะทำอะไรอีก ถ้าหากว่ายืนหยัดที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป เกรงว่าในเมืองหลวงแห่งนี้จะสูญสิ้นตระกูลหลินไปเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้พูด พระชายาฉีก็พูดต่ออีกว่า “คิดถึงตอนนั้น ตระกูลของฮูหยินหลินก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากเช่นกัน แต่หลังจากที่นางแต่งมากับหลินฉงเหวินนั้น ตระกูลของนางก็ค่อยๆ ล้มลงไป นางกับหลินฉงเหวินไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไร แถมยังทำตัวเหินห่างกับตระกูลของนางไปเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับแม่ของนางป่วยตายไป นางก็ไม่เคยกลับไปที่บ้านของนางอีกเลย ตอนงานแต่งของเยียนเอ๋อร์ถึงได้เสียเปรียบถึงขนาดนี้ ทำให้หลินฉงเหวินต้องตกต่ำถึงเพียงนี้”

 

 

คำพูดของพระชายาฉี ทำให้ห้องเงียบสงัด

 

 

อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้น จึงบอกว่า “ที่ข้ามาบอกท่าน เป็นเพราะรู้สึกว่าในเมื่อฮูหยินหลินมาที่จวนอ๋องแล้ว จะต้องไม่จากไปง่ายๆ อย่างแน่นอน จะต้องมาหาท่านอย่างแน่นอน เลยหวังว่าท่านจะต้องเตรียมพร้อมเสียหน่อย”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า “ข้ารู้แล้วล่ะ ข้าจะรับมือกับนางเอง เรื่องในจวนเจ้าก็ยุ่งพอแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วกลับไปที่จวนของตนเอง

 

 

 

 

ฮูหยินหลินเหนื่อยมากจริงๆ นอนหลับลึกอยู่ในจวน

 

 

แต่หลินหันเยียนกลับลุกลี้ลุกลน เดินไปเดินมาในจวนไม่หยุดหย่อน แล้วเร่งหงเอ๋อร์ตลอดเวลาว่า “เจ้าวิ่งไปดูที่ประตูจวนที่สิ พี่อวี้กลับมาหรือยัง”

 

 

หงเอ๋อร์วิ่งแล้ววิ่งเล่า จนกระทั่งรอบที่ห้า ในที่สุดก็เห็นว่าหวงฝู่อวี้นั่งรถม้ากลับมาแล้ว จึงรีบเข้าไปต้อนรับทันที แล้วบอกกับหวงฝู่อวี้ที่เพิ่งลงจากรถม้าว่า “คุณชายรอง คุณหนูมีเรื่องจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ จึงบอกว่าเมื่อท่านกลับมาเมื่อใด ให้รีบไปหานางที่เรือนทันที”

 

 

หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว เสด็จพ่อ เสด็จแม่ยังอยู่ สิ่งแรกหลังจากที่เขากลับมาทำในทุกวันก็คือการไปเยี่ยมเยียนพวกท่าน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และก็เป็นความกตัญญูของลูก เยียนเอ๋อร์ก็ควรจะรู้ ก็รีบเดินเข้าไปในจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว เดินไปพูดไปว่า “ไปบอกเยียนเอ๋อร์ ข้าจะไปคารวะเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก่อน แล้วจะรีบกลับเรือน”

 

 

“แต่ว่าคุณหนูรอท่านมาหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ รอจนแทบไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์พูดด้วยใจร้อนรน แต่ไม่ได้มองสีหน้าของหวงฝู่อวี้ พูดออกไปอย่างไม่คิด

 

 

“บังอาจนัก!” หวงฝู่อวี้ด่าด้วยความเกรี้ยวโกรธ

 

 

หงเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีดเซียว แล้วมองเขาด้วยความหวาดกลัว

 

 

“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนของเยียนเอ๋อร์แล้วข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้า จำไว้ให้ดี เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องก็ต้องเคารพกฎระเบียบของจวนอ๋อง ถ้าวันหลังยังกล้าพูดแบบนี้กับข้าอีก ข้าจะไล่เจ้าออกไปทันที”

 

 

หงเอ๋อร์หวาดกลัว นั่งคุกเข่าลงไปด้วยความรวดเร็ว “บ่าวสำนึกแล้วว่าทำเกินไป วันหลังจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ แล้วมุ่งหน้าเดินไปที่เรือนของพระชายาฉี

 

 

เมื่อเห็นเขาเดินไปไกลแล้ว หงเอ๋อร์ถึงได้กล้าลุกขึ้นมา แล้วเดินกลับไปที่เรือนของหวงฝู่อวี้ด้วยความหวาดระแวง แล้วรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ไปคารวะท่านอ๋องฉีกับพระชายา อีกประเดี๋ยวก็กลับเจ้าค่ะ”

 

 

หลินหันเยียนใจร้อนรน เลยไม่ได้สังเกตว่าหงเอ๋อร์เปลี่ยนไป

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อวี้เยี่ยมเยียนเสร็จ ก็ได้หยอกล้อเด็กน้อยทั้งสองคน แล้วถึงกลับมาที่เรือนของตน เมื่อเขาเข้ามา หลินหันเยียนก็เข้าไปหาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ แล้วรีบถามว่า “พี่อวี้ เรื่องที่พ่อกับแม่ของข้าโดนกักบริเวณ ท่านรู้แล้วหรือยังเจ้าคะ”