บทที่ 677 เรียกข้าว่าใต้เท้า(1)

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 677 เรียกข้าว่าใต้เท้า(1)

เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังกดดันที่คุกคามเข้ามาจากด้านหลัง กล้ามเนื้อทั่วลำตัวของหลินเป่ยเฉินก็แข็งเกร็ง เด็กหนุ่มโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายเต็มอัตรา หลังจากนั้น เขาจึงได้ตะโกนบอกทุกคนสุดเสียงว่า “พวกเราหนี!”

หลิวเฟยซูและพรรคพวกที่วิ่งตามมาหมายจะช่วยเด็กหนุ่มจัดการกับเจ้าหน้าที่มือปราบแทบจะสะดุดล้มลงหน้าคะมำ

เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มน่าสับสนมากเกินไป

ตกลงหลินเป่ยเฉินต้องการจะสู้หรือหลบหนีกันแน่?

ทันใดนั้น ใต้เท้าหลงผู้ซ่อนตัวอยู่หลังค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ คนตาบอดผู้นี้บุกเข้ามาช่วยเหลือนักโทษประหารฉุยเฮาเฟิงหลบหนีออกไปแล้ว…”

“เรียกข้าว่าใต้เท้า”

เจ้าของร่างผู้พุ่งตัวเข้ามาเป็นลำแสงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด

เมื่อสำนึกได้ว่าตนเองพูดโดยไม่คิด หลงเสี่ยวเถียนจึงรีบกล่าวออกไปเสียงดัง “ขออภัยด้วยขอรับ ใต้เท้าเฉิน…”

ลำแสงพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดไปยังทิศทางของหลินเป่ยเฉินและกลุ่มชายฉกรรจ์ผู้บุกลานประหาร ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากระจายตัวหายไป เกิดเสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้งว่า “พวกเจ้าคิดจะหลบหนีไป…”

คำว่า ‘ไหน’ ยังไม่ทันพูดออกมา

เปรี้ยง!

แรงระเบิดอันหนักหน่วงก็กระแทกเข้ามาที่เบื้องหน้า

เกิดเสียงระเบิดราวกับฟ้าถล่มเหนือลานประหาร

เจ้าของร่างที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วราวกับลำแสงรีบโคจรพลังลมปราณขึ้นมาต้านทานแรงระเบิด แต่เขาพบว่าร่างของตนเองก็ต้องลอยกระเด็นออกมาแล้ว…

ห่างออกมาหกลี้

เซียวปิงคลานออกมาจากกองหินที่ทับถมอยู่บนร่างกาย เขาต้องถ่มเศษหินเศษดินออกจากปากพร้อมกับพูดด้วยความเหยียดหยามว่า “เฮอะ นึกว่าเป็นผู้มีพลังระดับเซียน ที่แท้ก็เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ตอนปลายเท่านั้น…”

ฉุยเฮาเฟิงที่นอนหมดแรงอยู่ด้านข้างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

เขาเห็นกับตาว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนทำท่าทางแปลกประหลาดเหมือนกำลังใช้วิชาลึกลับบางอย่าง แล้วขุนนางผู้มีระดับพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายนามว่าเฉินตงหยางก็ถูกแรงระเบิดสอยตกลงมาจากกลางอากาศ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เซียวปิงกับฉุยเฮาเฟิงก็ถูกมวลพลังงานบางอย่างดีดสะท้อนลอยมากระแทกกับก้อนหินใหญ่ข้างทางเช่นกัน

ฉุยเฮาเฟิงจำเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนนี้ได้ดี

เด็กหนุ่มคือนักกินจอมตะกละที่ติดตามอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน ตลอดเวลาไม่ทำสิ่งใดนอกจากดื่มกินเหมือนคนอดอยากขาดแคลนอาหาร

และเขาก็คือเด็กหนุ่มจากตระกูลเซียวที่สามารถสร้างผลงานได้ดีในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง

ตอนนั้น เด็กหนุ่มยังมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์

ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เซียวปิงกลับสามารถจัดการคู่ต่อสู้ระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ได้แล้วหรือ?

ต่อให้ซึมซับพลังจากศิลาบูชาทุกวัน แม้แต่เทพเจ้าก็ยังไม่สามารถแข็งแกร่งได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

แล้วฟังที่พูดเข้าเถิด

หมายความว่าอย่างไรที่ว่าอีกฝ่าย ‘เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ตอนปลายเท่านั้น’ ?

นี่หมายความว่าเซียวปิงสามารถเอาชนะผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้เป็นปกติแล้วหรือ?

ฉุยเฮาเฟิงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าช่วงเวลาระหว่างที่ตนเองถูกขังคุกใต้ดินในนครเจาฮุย โลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ชายหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไรออกมา เซียวปิงก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่าทางแปลกประหลาดนั้นอีกครั้ง

ใช่แล้ว

ฉุยเฮาเฟิงเบิกตาโต

ท่านี้แหละ

เซียวปิงกำลังจะแสดงกระบวนท่าเดิมอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนมีเจตนาเล่นงานเฉินตงหยางต่อจากเดิม

จะเกิดแรงระเบิดดีดสะท้อนอีกหรือไม่?

ฉุยเฮาเฟิงเฝ้ามองด้วยความระมัดระวัง

ทว่าลมหายใจต่อมา…

เพี๊ยะ!

อุ้งเท้าปุกปุยพลันตบลงไปที่ด้านหลังศีรษะของเซียวปิง

แต่เจ้าของอุ้งเท้าเป็นเพียงหนูขนเงินที่มีความสูงไม่เกินครึ่งเอวมนุษย์ตัวหนึ่ง มันกำลังขี่อยู่บนหลังลูกเสือมีปีก ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เจ้าหนูกำลังส่งเสียงใส่เซียวปิงด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่ชอบใจ

“จี๊ด จี๊ด…”

เซียวปิงหันกลับมายิ้มแย้ม พูดว่า “หึหึ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ข้าไม่ได้เล่นสนุก แต่กำลังหาโอกาสจัดการศัตรูอยู่ต่างหาก”

เจ้าหนูตัวใหญ่ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “จี๊ด! จี๊ด! จี๊ด!”

เซียวปิงถอนหายใจ ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ก็ได้ๆ ข้ารู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ฉุยเฮาเฟิงได้แต่กะพริบตาปริบๆ

เด็กหนุ่มผู้นี้กับเจ้าหนูตัวนี้สามารถพูดคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร?

เซียวปิงสามารถเข้าใจภาษาหนูได้อย่างนั้นหรือ?

“ท่านเจ้าเมืองฉุยขอรับ ได้โปรดเตรียมตัวให้พร้อม พวกเรากำลังจะไปกันแล้ว”

เซียวปิงพูดจบก็จับตัวฉุยเฮาเฟิงเหน็บเข้าใต้วงแขนของตนเองเหมือนพืชผักต้นหนึ่ง หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ลอยตัวมุ่งหน้าตรงไปยังทางออกของประตูเมือง

ฉุยเฮาเฟิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มร่างอ้วนเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วมากเกินไป กระแสลมตีเข้ามาในปากของอดีตผู้ว่าการประจำเมืองหยุนเมิ่ง บัดนี้ วรยุทธ์ของเขาถูกทำลายลงไปหมดสิ้น ฉุยเฮาเฟิงถูกบีบรัดอยู่ในวงแขนของเซียวปิง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแม้แต่คำเดียว

และด้วยความที่ฉุยเฮาเฟิงโดนบีบรัดหนักหน่วงมากเกินไป ไม่นานหลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็เหลือกลาน เสมือนคนขาดอากาศหายใจที่ใกล้หมดสติเต็มที

โครม!

ร่างที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นลำแสงร่วงตกลงมาจากกลางอากาศ

ปรากฏว่าเป็นชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง

ชายชราสวมใส่เสื้อคลุมลายดอกดูหรูหรา ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าร่างกายของเขาหลายเท่า ใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจติดขัด ผมสีเทาบนศีรษะยุ่งเหยิงยิ่งกว่ารังนก ใบหน้าบิดเบี้ยวบู้บี้ เมื่อนำลักษณะทั้งหมดนี้มารวมกัน จึงดูน่าตลกขบขันเป็นอย่างยิ่ง

“น่าประทับใจยิ่งนัก”

ชายชราชำเลืองมองไปยังทิศทางของเซียวปิงด้วยความประหลาดใจพลางพูดว่า “สามารถทำให้ข้าร่วงลงมาจากกลางอากาศได้สำเร็จ แสดงว่าอีกฝ่ายก็มียอดฝีมือซุ่มโจมตีอยู่เช่นกัน”

หลงเสี่ยวเถียนตึงเครียดจนเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก เขาวิ่งออกมาจากเขตค่ายอาคมคุ้มกัน พร้อมกับพูดว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเรา…”

เพี๊ยะ!

ชายชราร่างผอมตบหน้าหลงเสี่ยวเถียนจนกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบ ก่อนพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่ายามอยู่ต่อหน้าคนอื่น ให้เรียกข้าว่าท่านใต้เท้า!”

หลงเสี่ยวเถียนยกมือกุมแก้มของตนเอง ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้ามาอย่างลนลาน “กราบเรียนท่านใต้เท้า นักโทษประหารฉุยเฮาเฟิงหลบหนีไปแล้ว ใต้เท้ารีบติดตามพวกมันไปดีกว่าขอรับ”

“ไม่ได้เรื่อง”

ชายชราใช้นิ้วจิ้มหน้าอกลูกศิษย์ของตนเอง พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เจ้ามัวแต่พูดจาวางมาดมากเกินไป จนทำให้นักโทษประหารหลบหนีต่อหน้าสาธารณชน นี่เป็นความผิดของเจ้า เหตุไฉนข้าถึงต้องตามล้างตามเช็ดเรื่องที่เจ้ากระทำเอาไว้ด้วย”

ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือน้ำเสียงที่ชายชราใช้ออกมา ล้วนแต่ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างจากกำลังพูดกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

หลงเสี่ยวเถียนไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่กล่าวต่อด้วยความร้อนใจ “อาจารย์ขอรับ… เอ๊ย ใต้เท้าเฉินขอรับ ท่านจะปล่อยให้นักโทษประหารผู้นี้หลบหนีไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันมีโทษเป็นภัยต่อความมั่นคงของจักรวรรดิ หากพวกเราจับตัวฉุยเฮาเฟิงกลับคืนมาไม่ได้ ทั้งท่านและข้าก็คงต้องพบจุดจบน่าอนาถใจเป็นแน่แท้”

“ว่าไงนะ?”

ชายชราร่างผอมมีสีหน้าตกตะลึง “เจ้ากำลังหมายความว่าหากฉุยเฮาเฟิงสามารถหลบหนีไปได้ พวกเราอาจถูกปลดจากตำแหน่งอย่างนั้นรึ?”

หลงเสี่ยวเถียนพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ อาจารย์”

ชายชราพลันกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น “เช่นนั้นแล้วเจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบไล่ตามพวกมันไปอีก ความปรารถนาเดียวของข้าในชีวิตนี้ คือการได้กินตำแหน่งขุนนางใหญ่ ต่อให้ตาย ข้าก็ไม่ยอมถูกปลดออกจากตำแหน่งเด็ดขาด รีบตามนักโทษประหารพวกนั้นไปเดี๋ยวนี้!”

หลังจากนั้น ชายชราก็วิ่งตามไปยังทิศทางที่พวกของหลินเป่ยเฉินหายตัวไปด้วยความบ้าคลั่ง

หลงเสี่ยวเถียนยกมือกุมแก้มของตนเองด้วยความเกลียดชัง

นี่คือชายชราวิกลจริตขนานแท้

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่ามีฝีมือสูงส่ง และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเขาได้มากมาย หลงเสี่ยวเถียนก็คงสั่งให้บริวารจับผู้เป็นอาจารย์ของตนเองไปตัดหัวทิ้งนานแล้ว