ตอนที่ 1953

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,953 : กระเทยน่าตาย…

 

“ในลัทธิบูชาไฟคนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียว แม้จะเป็นคนทั่วไปแต่ภายหลังย่อมสามารถขึ้นเป็นผู้อาวุโสเพลิงทองแดงได้มิยาก…สำหรับพี่กู่ที่เผยให้เห็นแล้วว่าในอดีตพรสวรรค์ของท่านเลิศล้ำเพียงใด ต่อให้เป็นอาวุโสเพลิงเงินท่านในอนาคตก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกอีกครั้ง

 

“น้องหลิงเทียน…”

 

อย่างไรก็ตามได้ยินวาจารอบนี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่กู่ลี่จะไม่เห็นด้วยหรือตอบรับ สีหน้ายังกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที

 

“พี่กู่ ท่านมีเรื่องอะไรในใจงั้นหรือ?”

 

เมื่อได้เห็นว่าอยู่ๆกู่ลี่ก็จริงจังขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน

 

“น้องหลิงเทียน…ข้าคิดออกจากลัทธิบูชาไฟไปสักพัก…เพราะข้ามีเรื่องราวสำคัญบางอย่างที่ข้าต้องไปกระทำ”

 

กู่ลี่กล่าวตอบออกมา หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง

 

“เป็นเรื่องอะไรหรือพี่กู่?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสงสัย

 

“ตอนนี้ข้ายังไม่สะดวกจะกล่าว…แต่ทว่าเรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก! ตอนแรกข้าวางแผนจะไปหาเจ้าและบอกเรื่องที่ข้าคิดออกจากลัทธิบูชาไฟ…แต่เพราะพี่น้องสกุลหยวนนั่นมันจ้องราวีข้าไม่เลิก ข้าจึงมิมีโอกาสไปหาเจ้าที่แท่นบูชาเต่าทมิฬเพื่อบอกลา”

 

กูลี่กล่าวสืบต่อ “ทว่าวันนี้เจ้ากลับมาถึงที่นี่และฆ่าพี่น้องสกุลหยวนนั่นทิ้ง ไม่เพียงล้างแค้นให้ข้า แต่ยังทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้สะดวก…เช่นนั้นข้าคิดว่าถึงเวลาที่ข้าจะไปได้เสียที”

 

“พี่กู่…ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ขอให้รู้ไว้ว่าท่านมีข้าคอยสนับสนุน”

 

ตั้งแต่ที่กู่ลี่บอกว่าไม่สะดวกจะกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะถามเซ้าซี้อะไรให้มากความ เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนย่อมมีความลับส่วนตัว

 

กู่ลี่เองก็ไม่เว้น

 

ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่พลันแย้มยิ้มออกมาอย่างสบายใจ

 

“อย่างไรเสีย หากพี่กู่คิดจะออกจากลัทธิบูชาไฟ ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบไปเถอะ…หากไปตอนนี้ได้เลยย่อมดีที่สุด! เพราะหากล่าช้า ข้าเกรงว่าอาวุโส 5 ของวังอุดรไพศาลอาจเพ่งเล็งมาที่ท่าน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม ใบหน้าเผยความจริงจังนัก

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

 

กู่ลี่ฟังแล้วก็พยักหน้ารับ และคล้ายมันจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยบอกต้วนหลิงเทียนขึ้นมา “น้องหลิงเทียน ข้าฝากเจ้าไปร่ำลาจ้าววังจูแทนข้าที”

 

“ได้พี่กู่!”

 

ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที

 

หลังจากนั้นไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างไปส่งกู่ลี่ที่ทางเหนือของแท่นบูชานกไฟ เมื่อถึงเขตทางออกเขาก็หยุดร่างลง

 

หากยังไปต่อ ก็คงออกนอกเขตลัทธิบูชาไฟแล้ว…

 

“พี่กู่…ถนอมตัวด้วย”

 

กู่ลี่ประสานมือกล่าวคำกับกู่ลี่

 

“น้องหลิงเทียน เจ้าอยู่ลัทธิบูชาไฟตัวคนเดียวไร้คนหนุนหลังเช่นนี้ ขอเจ้าจงระวังตัวให้มาก…รอจนกว่าธุระของข้าเสร็จสิ้น ข้าจะรีบกลับมา บางทีถึงตอนนั้นข้าอาจสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง หาใช่ไร้ประโยชน์อย่างเช่นตอนนี้!”

 

กู่ลี่พยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะกล่าวถล่มตัวออกมา ยังหัวเราะตัวเองไปรอบหนึ่ง…

 

“ท่านพูดอะไรของท่านกันพี่กู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท่านก็ยังเป็นพี่ชายของข้าต้วนหลิงเทียนคนนี้ นี่เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเข้ม

 

และภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็ยิ้มส่งเป็นครั้งสุดท้าย ค่อยเหินร่างจากไปจนไกลลับฟ้า…

 

จนเมื่อแผ่นหลังของกู่ลี่หายลับขอบฟ้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างมองจ้องอย่างเลื่อนลอยจึงค่อยรู้สึกตัว เขาหันหลังกลับ ก่อนที่จะลอยร่างออกจากเขตแท่นบูชานกไฟกลับไปยังแท่นบูชาเต่าทมิฬทันที

 

สิ่งที่เขาต้องการกลับไปกระทำมากที่สุดในตอนนี้คือบ่มเพาะพลัง!

 

ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาได้เปลี่ยนเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว…ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาเรียกว่าเร็วกว่าก่อนหน้าถึงสองเท่า!

 

‘ไมเกินสิบวันครึ่งเดือนข้าสามารถทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้แน่…และข้าน่าจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งเดือนเพื่อทะลวงให้ถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด! หลังผ่านไป 3 เดือนครบกำหนดที่ข้าต้องไปรับโทษขุดเหมืองอะไรนั่น…พลังฝึกปรือของข้าสมควรทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นได้แล้ว!’

 

ขณะเหินร่างไปตามทางกลับแท่นบูชาเต่าทมิฬ ต้วนหลิงเทียนก็คิดวาดฝันถึงอนาคตที่สวยงาม

 

คิดมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็รู้สึกคึกคักอักโขนัก

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกลับไปยังแท่นบูชาเต่าทมิฬเพื่อบ่มเพาะพลัง กู่ลี่ก็เหินร่างออกจากเขตของลัทธิบูชาไฟเป็นที่เรียบร้อย

 

และหลังจากออกจากลัทธิบูชาไฟ ร่างกู่ลี่ก็เหินทะยานตรงดิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง ราวกับมีบางสิ่งนำทางมันไปอย่างไรไม่ทราบ”

 

“30 ปี…ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านไปกว่า 30 ปีแล้ว”

 

ขณะเหินร่างทะยานข้ามฟ้า กู่ลี่ก็กล่าวพึมพำออกมาเบาๆอย่างเลื่อนลอย

 

ในใจของกู่ลี่นั้น มีความลับประการหนึ่ง ที่กระทั่งตัวบิดาของมันเองก็ยังไม่ทราบ

 

นั่นคือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันบังเอิญได้รับสืบทอด ‘มรดกที่ไม่สมบูรณ์’ ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขณะออกเดินทางขัดเกลาตัวเอง…

 

เหตุผลที่กล่าวว่าเป็นมรดกที่ไม่สมบูรณ์นั้น เพราะมันได้รับเพียงเศษเสี้ยวของมรดกนั้นมาเท่านั้น ยังมีเคล็ดความอีกมากมายที่ขาดหายไป

 

และจากบันทึกที่เหลือทิ้งไว้ในพื้นที่ทดสอบรับมรดกนั่น ก็ได้กล่าวบอกเอาไว้ชัดเจน ว่าหากมันอยากรับสืบทอดมรดกนี้โดยสมบูรณ์ มันต้องเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…นี่คือเหตุผลที่มันมักต้องการเดินทางมายังภูมิภาคเบื้องบนเสมอ ถึงขั้นยอมละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนอย่างตำหนักฟ้าลิ่วล่องและบิดามา…มันต้องการรับสืบทอดมรดกดังกล่าวในฉบับสมบูรณ์!

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ขึ้นมาถึงภูมิภาคเบื้องบนแล้ว เพื่อการทำความเข้าใจสถานที่และข้อมูลคร่าวๆของภูมิภาคเบื้องบนมันจึงไม่รีบร้อนที่จะไปตามหามรดกฉบับสมบูณ์นั่น

 

จนกระทั่งมันถูกพี่น้องสกุลหยวนทุบตีรังแกบีบคั้นถึงที่สุดให้รับรู้สภาพของการสิ้นไร้พลังอำนาจถึงที่สุด มันคับแค้นใจนัก! ตอนที่ได้แต่หอบหิ้วร่างสะบักสะบอมกลับมาพักรักษาตัวครั้งสุดท้าย ในใจของมันเวลานั้นคล้ายมีบางอย่างขาดผึง! ความต้องการในพลังอำนาจพลันปะทุเดือดดาลขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…และสิ่งแรกที่มันคิดถึงก็คือต้องการมรดกฉบับสมบูรณ์! ยังต้องการอย่างถึงที่สุด!!

 

และเหตุผลที่มันไม่กล่าวบอกผู้ใดในเรื่องมรดกชิ้นนี้ แม้กระทั่งกับบิดาของตัวเองอย่างกู่ซืออวิ๋น เพราะในบันทึกที่เหลือทิ้งไว้ในพื้นที่มรดกได้กล่าวกำชับเอาไว้ ว่ามิอาจบอกเรื่องมรดกนี้ต่อผู้ใดเด็ดขาดไม่ว่าจะสหายสนิทกระทั่งครอบครัว!

 

เรียกว่าหากมันไม่พบใครที่เหมาะสมจะมาสืบทอดมรดกชิ้นนี้ต่อจากมัน ห้ามมิให้ถ่ายทอดบอกออกไปโดยเด็ดขาด!

 

เพื่อไม่ให้ผิดต่อมโนธรรมในใจและเชิดหน้าได้อย่างไม่ละอาย กู่ลี่ จึงเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัวกว่า 30 ปี…

 

“จากบันทึกที่เหลือทิ้งไว้ในพื้นที่สืบทอดมรดกที่ข้าบังเอิญพบพานในภูมิภาคเบื้องล่าง…ดูเหมือนมรดกที่ข้าได้รับสืบทอดมาจะเป็นของขุมพลังโบราณเมื่อหลายหมื่นปีก่อน… 7 ทวาราเที่ยงแท้! เป็นขุมพลังเล็กๆที่เสมือนแหล่งชุมนุมของยอดฝีมือเพียงแค่ 7 คน…มรดกของข้าคือมรดกของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการ! ข้าจะรับสืบทอดนามจอมเผด็จการนั้นอย่างเต็มตัวให้จงได้ และล้างผลาญทุกผู้คนที่คุกคามข้าและสหายข้ามันให้สิ้น!!”

 

ลูกตากู่ลี่ทอประกายดุร้ายเยียบเย็น ยังเต็มไปด้วยจิตต่อสู้อันดุร้ายเกรี้ยวกราดนัก! “ตราบใดที่ข้ารับสืบทอดมรดก และรับนามจอมเผด็จการ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 3 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้อย่างภาคภูมิ พลังฝีมือของข้าสมควรเพิ่มพูนก้าวหน้าขึ้นอย่างที่ข้าตอนนี้ไม่อาจเทียบ…ถึงตอนนั้นยามข้าหวนกลับไปลัทธิบูชาไฟ ข้าย่อมสามารถช่วยเหลือน้องหลิงเทียน และแบ่งเบาภาระในการช่วยเหลือน้องสะใภ้ได้แน่!!”

 

ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าเบื้องล่างจะเทียบได้…การเดินทางครั้งนี้ของกู่ลี่นับว่าเป็นหนทางอันยาวนานเสียแล้ว…

 

 

ณ ขั้วโลกเหนือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ดินแดนสุดขอบอันเปลี่ยวร้างสงบเงียบ…

 

สถานที่แห่งนี้มักมีหิมะตกหนักตลอดทั้งปี ทัศนวิสัยใต้เมฆต่ำแทบเป็นศูนย์ มองไปสุดลูกหูลูกตายากแยกแยะทิศทางเพราะทางใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นสีขาว ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งที่คงเหลือแต่ภาพพื้นขาวกับฟ้าครามเพียงสอง…

 

และวันนี้ ณ จุดสูงสุดของยอดเขาแห่งหนึ่งอันปกคลุมไปด้วยหิมะขาวหนาทึบ ปรากฏร่างชายชราในชุดเสื้อคลุมมอซอร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา…ชุดมอซอนั้นแลดูแล้วมิน่าจะขวางกั้นลมหนาวยะเยือกที่แผ้วพานผ่านกายได้เลย

 

เสื้อคลุมมอซอดังกล่าวโบกสะบัดไหวๆไปตามสายลมหนาว หากแต่คนกลับยืนร่างสงบนิ่งไม่นำพา สภาวะให้ความรู้สึกดั่งเทพเซียนอมตะผู้หนึ่งกำลังทอดตามองโลกหล้า

 

หากสถานที่แห่งนี้มีบุคคลที่สองอยู่ สังเกตให้ดีจะพบว่าแม้ชายชราผู้นี้จะยืนอยู่บนยอดเขา หากแต่หิมะบางเบากลับไม่บุบยุบ กระทั่งหิมะที่โปรยปรายลงมาดั่งฝ้ายขาว ก็มิอาจสัมผัสต้องแตะถูกร่างของมันได้เลย คล้ายมีม่านพลังไร้ลักษณ์ขุมหนึ่งกำบังเอาไว้..

 

ฮู้ววว! ฮู้ววว! ฮู้ววว!

 

…………

 

ลมหนาวยะเยือกหอบกลิ่นเสียดคมกระหน่ำพัดเข้าใส่ชายชราไม่หยุดหย่อน หากแต่ร่างชรายังคงยื่นตระหง่านอย่างเงียบงัน…

 

ตาสีโคลนของผู้ชราทอดมองไปยังสุดขอบฟ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้อันมีทิวขาวจรดคราม มือขวาพลันยกขึ้นลัดนิ้วคล้ายกับคิดคาดคำนวณอะไรบางอย่าง ปากพึมพำกล่าวแว่วกระซิบท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ “หมอกพิรุณกำลังเติบโตเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง…ยิ่งไปกว่านั้นคล้ายทายาทของจอมเผด็จการจะปลุกจิตล้างผลาญได้สำเร็จ…ดูเหมือนวันเวลาที่คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้จักกลับมารวมตัวกัน คงเหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว…”

 

“วันเวลาที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้จักกลับมารวมตัวกันคงเหลืออยู่อีกมินานงั้นหรือ? ผู้เฒ่าพยากรณ์ความฝันชั่วชีวิตท่านใกล้เติมเต็มแล้วรึ?”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด เหนือยอดเขาหิมะโปรยพลันปรากฏร่างสตรีอรชนอ้อนแอ้นนางหนึ่งย่างเยื้องเข้าไปหาชายชรา แม้สองเท้าจะก้าวย่ำเดินออก หากแต่บนหิมะกลับไม่เหลือรอยเท้าของนางแม้แต่น้อย

 

ร่างบางเพียงก้าวอาดๆไม่กี่ก้าว คนคล้ายดั่งมายาเลื่อนลอย พริบตาก็บรรลุถึง…

 

สตรีอ้อนแอ้นอรชรนางนี้ รูปหน้างดงามหมดจดนักกอปรทั้งทรวดทรงองค์เอวอันไร้ที่ติ เพียงได้เห็นสักครั้งคงยากที่จะมีผู้ใดสามารถลืมเลือนนางได้

 

เมื่อนางได้ยินคำกล่าวของชายชรา ปากเล็กๆอดไม่ได้ที่จะคลี่หัวเราะส่งสำเนียงพริ้งดังออก

 

“แต่เท่าที่ข้ารู้มามิใช่ว่าผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 6 คนคู่ ยังมิมีข่าวคราวเลยมิใช่หรือ?”

 

สตรีงามกล่าวออกอีกครั้ง

 

“ตอนนี้ผู้สืบทอดคนคู่ได้อยู่ในมือของข้าแล้ว…หลังตามหามาเนิ่นนานในที่สุดข้าก็ได้พบพานผู้สืบทอดที่เหมาะสม และคำนวณจากเวลาตอนนี้ เยว่อู๋หยิ่งสมควรพาตัวทั้งคู่มาใกล้ถึงแล้ว…”

 

ชายชรากล่าวออก

 

“เยว่อู๋หยิ่ง? เจ้ากระเทยน่าตายคนนั้นน่ะรึ?”

 

ได้ยินคำของชายชรา ประกายแห่งความรังเกียจพลันสว่างวาบขึ้นในแววตาของสตรีโฉมงามผู้นี้ทันที

 

‘ความรังเกียจ’ นั่น เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้าไปที่ ‘เย่วอู๋หยิ่ง’ ที่ชายชรากล่าวถึง

 

“หญิงม่ายฮัว เจ้าเรียกผู้ใดว่ากระเทยน่าตายกันหา?”

 

ไม่ทันที่เสียงของสตรีงดงามจะดังจะขาดคำ พลันมีเสียงเล็กแหลมอันแฝงโทสะหนึ่งดังขึ้น

 

เสียงนี้คล้ายดังกึกก้องมาจากทุกทิศทาง หากทว่ามิอาจแลเห็นผู้กล่าววาจาในยอดเขาอันปกคลุมไปด้วยหิมะขาวแห่งนี้ได้เลย…เป็นการเร้นกายอันแยบคายยิ่งนัก!

 

“ผู้ใดน้ำเสียงเหมือนกระเทยน่าตาย ข้าย่อมเรียกหามันผู้นั้น! ทำไม เจ้ามิพอใจรึ? อย่าได้ลืมเสียเล่าว่าด่านพลังฝึกปรือของเจ้ายังด้อยกว่าข้า…แต่หากเจ้ามิพอใจอันใดจะมาต่อยตีกับข้าสักคราก็ย่อมได้!”

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงเล็กเรียกหาตัวว่า ‘หญิงม่าย’  สตรีงดงามร่างอ้อนแอ้นอรชรเมื่อครู่ก็คล้ายจะแปรเปลี่ยนไปเป็นนางจิ้งจอกแสนดุร้ายในพริบตา

 

“ฮึ่ม!”

 

เสียงสบถแหลมดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะจางหายไปและคล้ายกับจะจางหายไปอย่างสมบูรณ์…

 

“เฮ่อ…เจ้าก็ถือว่าเป็นอาวุโสของรุ่นหลังแล้ว…แต่ไฉนยังชมชอบหาเรื่องเด็กน้อยนั่นมิเลิกเล่า?”

 

ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างระอา

 

หากบิดาของต้วนหลิงเทียนอย่างต้วนหรูเฟิงมายืนอยู่ที่นี่ล่ะก็ มันย่อมจดจำชายชราในชุดคลุมมอซอนี้ได้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะชายชราผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นผู้เฒ่าพยากรณ์!

 

และเสียงเล็กแหลมที่ดังขึ้นก่อนหน้า หากต้วนหรูเฟิงได้ยินก็คงต้องคุ้นหูนัก…

 

เพราะนั่นคือเสียงของเยว่อู๋หยิ่ง ที่ติดตามอยู่กับมันมาระยะหนึ่ง!

 

7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น มี 7 ผู้เที่ยงแท้…และผู้ที่เป็นเที่ยงแท้ลำดับ 4 อันถือครองสมญานาม เงาทมิฬ นั้น นับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์และความสามารถในการลอบสังหารอันน่าพรั่นพรึงที่สุด ในอดีตเคยถูกผู้คนขนานนามว่า ราชันแห่งมือสังหาร!

 

และ เยว่อู่หยิ่ง ก็คือผู้สืบทอดนาม ‘เงาทมิฬ’ ในยุคนี้…

 

“ตั้งแต่กระเทยน่าตายเจ้ามาแล้วเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเจ้าพาคนคู่มาแล้วใช่หรือไม่…ไป! ข้าจะไปกับเจ้าเพื่อพบผู้สืบทอดคนคู่!”

 

สตรีงามกล่าวออก

 

ในวาจาของนางเผยให้เห็นชัดว่าบังเกิดความสนใจในตัวผู้สืบทอด ‘คนคู่’ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 6 อยู่มิใช่น้อย เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นคนที่ผู้เฒ่าพยากรณ์เลือกมารับสืบทอดด้วยตัวเอง

 

ในขณะเดียวกันอีกด้านนั้น…ภายในห้องโถงที่งดงามของตำหนักหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ พลันมีเสียงบุรุษ 2 คนดังขึ้นด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียง เมื่อแลเห็นสตรีนางหนึ่งที่พึ่งเดินเข้ามา

 

“แม่นางเฉวี่ยไน!!”

 

“เอ๊า! พวกเจ้า ไฉนมาได้เล่า!?”

 

ดรุณีงดงามที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นร่างคู่แฝดคุ้นตาที่ยืนรออยู่ก่อน!

 

ดรุณีงดงามที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหานเฉวี่ยไน่ ที่ถูกอาจารย์พามายังภูมิภาคเบื้องบนก่อนหน้า นอกจากนี้นางยังเป็นคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานอีกด้วย

 

“ที่แท้พวกเจ้าเป็นคนที่ถูกกระเทยน่าตายผู้นั้นพามาหรือ?”

 

หานเฉวี่ยไน่ที่คล้ายตระหนักใดได้ หลังนิ่งไปครู่ก็รีบกล่าวถามออกมาทันที

 

“แม่นางเฉวี่ยไน่…ข้าขอบอกท่านอีกคราว่าข้ามิใช่กระเทยน่าตาย! ข้าเรียกว่าเยว่อู๋หยิ่ง…ท่านจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่เยว่ หรือท่านเยว่อู๋หยิ่งก็ได้!”

 

ตอนนี้เองพลันมีเสียงเล็กแหลมราวสตรีดังขึ้นในห้องโถง ฟังจากน้ำเสียงแล้วช่างน่ากลัวพิกล…