อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1883 ความสงสัยของจ้งฉิง
“เอ่อ…” จางเซวียนเกาหัวด้วยความลำบากใจ
จริงอยู่ว่าเขาถอดรหัสตราหยกสำเร็จแล้ว แต่ด้วยนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว ก็คิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอให้ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงผ่านบททดสอบครั้งนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสำนักแห่งขงจื๊อพร้อมกัน โชคร้ายที่เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำปราการที่มีอานุภาพดึงดูดใครก็ตามที่ถอดรหัสค่ายกลสำเร็จแล้วเข้าไปข้างใน!
ขณะที่ไม่ทันระมัดระวังตัว เขาก็ถูกดูดเข้าไปเสียแล้ว
จางเซวียนเหลียวมองสีหน้าพรั่นพรึงและประหลาดใจมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลัง เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญาแล้วรวบรวมความกล้าพูดออกไป “เอาเถอะ…ทุกคนพยายามให้เต็มที่นะ ผมจะล่วงหน้าไปก่อนเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่งหนึ่ง!”
“ล่วงหน้าไปก่อน? ดูเหมือนเขาจะเข้าถึงเส้นชัยก่อนที่พวกเราจะได้ออกสตาร์ทเสียอีก!”
“ขงซือเหยาใช้เวลา 7 ชั่วโมงเต็ม แต่เขา…นั่นยังไม่ถึงหนึ่งอึดใจเลยใช่ไหม?”
“หรือว่าตราหยกของเขามีอะไรผิดพลาด?”
“คุณคิดมากไปแล้วล่ะ สำนักแห่งขงจื๊อจะทำเรื่องผิดพลาดพื้นๆแบบนี้ได้อย่างไร? พูดก็พูดเถอะ เหลวไหลสิ้นดีที่ใครสักคนถอดรหัสฉนวนได้ภายในเวลาเพียงอึดใจเดียว…เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
…..
เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่
เมื่อครู่นี้เองที่ผู้เชี่ยวชาญจ้งฉิงบอกไว้ว่าสถิติการถอดรหัสที่เร็วที่สุดคือ 6 ชั่วโมง แต่ชายผู้นี้ทำสำเร็จได้ภายในหนึ่งอึดใจ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่หมายความว่าแม้แต่อัจฉริยะที่ปราดเปรื่องที่สุดตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งขงจื๊อก็ยังมีความสามารถไม่ถึง 1 ใน 2,000 ของชายหนุ่มหรือ?
ไม่ใช่เฉพาะบรรดาผู้เข้าทดสอบที่ส่งเสียงเซ็งแซ่ แม้แต่จ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิง และกรรมการคนอื่นๆก็ปั่นป่วนจนทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาเคยคิดว่าคงโชคดีเหลือหลายแล้วหากผู้เข้าทดสอบสักคนไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อได้ภายในเวลา 1 วัน ใครจะไปคิดว่าจะมาพบกับปีศาจตนนี้?
“จ้งจื้อชุนกับคนอื่นๆถูกชายผู้นี้กำจัดหรือเปล่า?” จ้งฉิงตั้งคำถาม
“อือ ก็ประมาณนั้นแหละ” หนานกงหยวนเฟิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้ที่กำจัดจ้งจื้อชุนกับคนอื่นๆคือฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิง แต่เขาเป็นคนชี้แนะทั้งคู่…”
“คำชี้แนะของเขาทำให้ 2 คนนั้นกำจัดผู้เข้าทดสอบในตระกูลของผมได้ถึง 8 คน…” จ้งฉิงรู้สึกหายใจหายคอไม่ออกขณะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ได้เห็น
คนอื่นอาจไม่รู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของทายาททั้ง 8 คนของเขา แต่เขารู้ดีว่าคนเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อาจสบประมาทได้ หากไม่ถูกฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงกำจัดเสียก่อน ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นม้ามืด
ทั้ง 8 คนผ่านการทดสอบอันยากลำบากมาเพื่อเข้าสู่การทดสอบครั้งนี้ และต่อให้พวกเขาต้องปะทะกับเหยียนอี้เฉี่ยว ก็มีโอกาสที่จะรอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่สุดท้ายทุกคนก็ลงเอยด้วยการถูกคัดออก
ยิ่งไปกว่านั้น หากชายหนุ่มปล่อยการโจมตีด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะในประวัติศาสตร์ของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็ไม่เคยขาดแคลนนักรบที่มีพละกำลังมหาศาลราวปีศาจ แต่เขากลับใช้คำชี้แนะของตัวเองผ่านพละกำลังของคนอื่น แม้แต่จ้งฉิงเองก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาและถามว่า “เราควรยับยั้งเขาไว้สักครู่เพื่อตรวจสอบตราหยกของเขาไหม?”
“ไม่ต้องหรอก การที่เขาถูกดูดเข้าไปในปราการก็หมายความว่าเขามีความสามารถในการถอดรหัสค่ายกลจริงๆ อีกอย่าง ครูบาอาจารย์คนอื่นๆก็กำลังรออยู่ที่อีกฟากหนึ่งของปราการ พวกเขาน่าจะรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในปราการแล้ว สายไปแล้วล่ะที่จะยับยั้งเขาตอนนี้…” จ้งฉิงส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปมองฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง
สายตานั้นเต็มไปด้วยความกังขา
เชื้อสายของตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อมักรั้งท้ายคนอื่นเสมอ…ทำไมจู่ๆพวกเขาถึงไร้เทียมทานขึ้นมาได้?
ด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ จ้งฉิงกระโจนไปปรากฏตัวตรงหน้าฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง เขาโบกมือและพูดว่า “รวมแล้ว คุณทั้งสองกำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากกว่าครึ่ง ผมอยากเห็นว่าพวกคุณมีความสามารถเหนือชั้นจริงๆอย่างที่แสดงออกมาในผลลัพธ์ของการทดสอบหรือเปล่า”
ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงประสานมือ “คุณจะให้พวกเราทดสอบพละกำลังของเราอย่างไร?”
ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายของจางเซวียน คงตื่นตระหนกไม่น้อย เห็นชัดว่าจ้งฉิงกำลังสงสัยว่าพวกเขาใช้กลโกง และทุกอย่างจะเลวร้ายถึงขีดสุดหากพวกเขาถูกประกาศว่ามีความผิด
แต่การทดสอบแบบคัดออกเมื่อครู่นี้ทำให้สภาวะจิตของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก พวกเขามีความมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม และไม่รู้สึกหวาดผวาแม้เมื่อต้องยืนประจันหน้ากับผู้เชี่ยวชาญ
“ผมมีข้อเสนอง่ายๆ ผมจะลดระดับวรยุทธของผมลงให้เท่ากับคุณ แล้วคุณสองคนก็เข้ามารุมผมพร้อมกันได้เลย ถ้าคุณเอาชนะผมได้ ก็แปลว่าคุณมีความสามารถเหนือชั้นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นของคุณจริงๆ” จ้งฉิงอธิบายอย่างสุขุม
ในฐานะนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ต่อให้เขาลดระดับวรยุทธลง ความสามารถในการหยั่งรู้และประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังเหนือชั้นกว่าวัยรุ่นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต่อให้ทั้งสองจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หากไม่ได้มีความสามารถที่พิเศษอย่างเหนือชั้น
ได้ยินคำนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “ได้ พวกเรารับคำท้าของคุณ!”
คนอื่นๆรีบเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่จ้งฉิงจะลดระดับรังสีของเขาลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แม้จะลดระดับลงแล้ว แต่ก็ยังคงแผ่รังสีอันล้ำลึกเกินหยั่งออกมาในแบบที่ทำให้ใครๆไม่กล้าท้าทายอำนาจของเขา
“ผมอนุญาตให้คุณทั้งคู่เปิดการโจมตีก่อน” จ้งฉิงร้องเรียก ส่วนตัวเขายืนนิ่งอยู่กับที่
ถึงอย่างไร เขาก็เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตมาหลายศตวรรษแล้ว ถึงเขาจะท้าทายฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงเข้าสู่การดวลเพื่อไขข้อสงสัยในใจของเขา แต่ก็ไม่มีเจตนาจะเอาเปรียบทั้งคู่
“ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น พวกเราก็จะไม่เกรงใจละนะ!”
ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดและคำราม
ในบรรดาผู้เข้าทดสอบกว่าพันคนที่พวกเขากำจัดไป มีบางคนที่มีวรยุทธสูงกว่าพวกเขาถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ การท้าทายคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังระดับนั้นได้ช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณของการรับรู้อันตรายและการเข้าถึงกระแสของการต่อสู้ ทั้งคู่ดูออกว่าแม้จ้งฉิงจะกดข่มวรยุทธไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้โดยง่าย
ดังนั้นทั้งคู่จึงออกตัวพร้อมกัน
ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงพุ่งออกไป คนหนึ่งเล็งที่หน้าอกของจ้งฉิง ขณะที่อีกคนเล็งแผ่นหลัง
นึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมีความเร็วอย่างน่าทึ่ง อีกทั้งยังตัดสินใจเปิดการโจมตีอย่างเฉียบขาด จ้งฉิงพยักหน้า “ไม่เลว!”
ไม่แปลกใจแล้วที่พวกเขากำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้มากมาย จนถึงขนาดที่แม้แต่ทายาทของเขาก็ยัง เอาชนะไม่ได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่ถือว่าประมาทไม่ได้จริงๆ
อย่าว่าแต่เรื่องอื่น ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถขจัดความลังเลออกไปได้ก็ถือเป็นวีรกรรมน่าทึ่งแล้ว สิ่งนี้เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่นักรบคนหนึ่งจะมีต่อคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง พวกเขาจะเกิดความลังเลสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง และนี่คือปัญหาที่แม้แต่นักรบชั้นยอดก็ยังต้องเผชิญ
ความลังเลอาจไม่มีผลอะไรมากนักในช่วงแรก แต่สำหรับการต่อสู้อันดุเดือด การเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้เพียงเสี้ยววินาทีอาจหมายถึงความเป็นหรือความตาย
แต่ถ้านั่นคือทั้งหมดที่ทั้งคู่มี…ก็ยังไม่มากพอจะเอาชนะเขา!
นั่นเป็นเพราะเจตจำนงและการปลดปล่อยกระบวนท่าของทั้งคู่ยังคงอ่อนด้อยในเรื่องความซับซ้อน ราวกับสองคนนั้นมายืนเปลือยกายต่อหน้าเขา
จ้งฉิงทำนายได้เลยว่าในก้าวต่อๆไปทั้งคู่จะทำอะไร ในการเล่นงานคู่ต่อสู้ระดับนี้ เขาต้องการแค่กระบวนท่าดีๆสักกระบวนท่าหนึ่งเท่านั้น
จ้งฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นแล้วกดลงไป ตั้งใจจะเล่นงานทั้งคู่ให้กระเด็นไปพร้อมกัน เพื่อให้รู้ซึ้งถึงช่องว่างระหว่างพวกเขา
แต่ก่อนที่พลังจากฝ่ามือของเขาจะถึงเป้าหมาย ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็พุ่งเข้ามาขนาบข้างเขาอย่างฉับพลัน ด้วยการใช้เรี่ยวแรงหนักหน่วง ทั้งสองปล่อยหมัดซ้ายและหมัดขวาพร้อมกันเข้าที่ใบหน้าของเขาทั้งสองข้าง
“อะไรกัน?” จ้งฉิงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ
การต่อสู้โดยทั่วไปควรจะเริ่มด้วยการด้วยกระบวนท่ารองเพื่อหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ก่อนจะกระโจนเข้าสู่การโจมตีอย่างเต็มกำลังไม่ใช่หรือ?
เมื่อครู่นี้ทั้งคู่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอยู่เลย ทำไมถึงเปลี่ยนมาสำแดงกระบวนท่าอย่างฉับพลันแบบนั้น?
อีกอย่าง มันเหมาะสมแล้วหรือที่จะเล่นงานใบหน้าของผู้อาวุโสอย่างเขา?
“ฮึ่มมมม!” จ้งฉิงคำรามแล้วใช้ฝ่ามือปัดป้องพลังจากหมัดของทั้งสอง จากนั้นก็กำลังจะปล่อยการโจมตีเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้ทั้งคู่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เข้าโจมตีหน้าอกและหว่างขา
เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นขาของฟ่านเฉี่ยวชิงปะทะกับหน้าอกของเขา ขณะที่เท้าของฟ่านเฉี่ยวเฟิงเตะเสยที่หว่างขา
“อ๊ากกกกกก!” จ้งฉิงกู่ร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน ก่อนจะกระเด็นไปและร่วงลงไปกองกับพื้น ร่างของเขางอหงิกราวกับกุ้ง
แม้จะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาฝึกฝนกายเนื้อจนแข็งแกร่งอย่างทั่วถึง ดังนั้น จึงยังมีจุดอ่อนตามแบบของผู้ชายทุกคน เจอลูกเตะอย่างจังเข้าไปแบบนั้น ก็ถือว่าบุญโขแล้วที่ไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย!
แต่ถึงอย่างนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ยังประเคนทุกอย่างที่พวกเขามีเพื่อเล่นงานจ้งฉิงต่อไป ราวกับกลัวว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้จะไม่ได้ผล ความเจ็บปวดแสนสาหัสเข้าเล่นงานจ้งฉิงจนเหงื่อแตกทั้งร่าง
จ้งฉิงรีบปลดปล่อยการสกัดกั้นพลังปราณและกลับคืนสู่วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกก่อนจะเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทั้งคู่อยู่ไม่ห่างออกไป
“ผมทำได้? หรือเขาอ่อนแอจริงๆ?”
“หรือว่าเขาออมมือให้พวกเรา? นั่นคงไม่ใช่พละกำลังที่แท้จริงของผู้เชี่ยวชาญหรอก ใช่ไหม?”
คำพูดเหล่านั้นคือความสงสัยและสับสนอย่างแท้จริงในใจของฟ่านเฉี่ยวชิงกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง
ที่ผ่านมา สำนักแห่งขงจื๊อคือเป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาวางไว้ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะสามารถเล่นงานผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังของสำนักแห่งขงจื๊อได้ด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว
ราวกับว่าวีรบุรุษที่พวกเขาเทิดทูนบูชามาตั้งแต่ยังเด็กกลับกลายเป็นแค่เรื่องเล่า!
“อ่อนแอ? ออมมือให้?”
จ้งฉิงรู้สึกได้ถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในปาก เขาใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป