ตอนที่ 845 ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 845 ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน
อะไรที่เรียกว่าตีงูงูเลื้อยตามไม้

ก็คือการกระทำของไป่เฟิงหลิวในยามนี้นั่นเอง

หลินสวินยังอดอึ้งงันไม่ได้ เมื่อครู่เขาถึงขั้นกดเจ้าเฒ่าคนนี้แล้วซัดหมัดใส่ไม่ยั้งไปหนึ่งยก คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวเจ้าหมอนี่ล้วนไม่ถือสาเลยสักนิด ตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายประชิดเข้าใกล้

ความสามารถในการสร้างเสริมกำลังใจและวิธีการหน้าด้านไร้ยางอายอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ตินี้ พาให้หลินสวินยังบังเกิดความนับถือสุดกำลัง

“เจ้ายังไม่ถอดใจ?” หลินสวินถาม

ไป่เฟิงหลิวโบกมือเป็นพัลวัน กล่าวว่า “คุณชายหลินท่านอย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ข้าเอาศักดิ์ศรีเป็นประกัน จะไม่แพร่งพรายข่าวที่ท่านปรากฏตัวในเมืองผาดาราออกไปอย่างแน่นอน”

ศักดิ์ศรี?

หลินสวินลอบปรามาส เฒ่าสากกะเบืออย่างเจ้ายังกล้าพูดถึงศักดิ์ศรี?

ไป่เฟิงหลิวหน้าหนายิ่งนัก หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “อันที่จริง ขอแค่มั่นใจว่าท่านมาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคก็พอแล้ว อย่างไรเสียมหกรรมรวมตัวผู้กล้าเยื้อแย่งถกมรรคระดับนี้ จากความสง่างามไร้เทียมทานที่ท่านมีอยู่ทั้งหมด แทบไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ช้าเร็วย่อมมีคนรู้อยู่ดี!”

“พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย หากไม่ใช่เพราะเจ้า มีหรือข้าจะต้องเผชิญกับหายนะซี้ซั้วเช่นนี้” หลินสวินกล่าวไปก็นึกอยากตีคนไปด้วย

กลับเห็นไป่เฟิงหลิวกล่าวปลงตก “คุณชายหลิน นี่ก็คือการแก่งแย่งแห่งมหาสงคราม คิดอยากโดดเด่นเหนือเหล่าผู้กล้ารุ่นใหม่ มีหรือจะไม่ต้องเผชิญกับคำครหาและการปลุกปั่น บุคคลไร้เทียมทานที่มาถึงระดับนี้เฉกเช่นท่าน แม้ไม่อยากหาเรื่อง เหล่าผู้กล้าคนอื่นๆ ก็ต้องมองท่านเป็นคู่ต่อสู้ เมื่อสบโอกาสก็คงเหยียบท่านไว้ใต้เท้า ใช้สิ่งนี้แลกมาซึ่งชื่อเสียงและความเด่นดังอยู่วันยังค่ำ!”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กลับรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย คำพูดนี้ของไป่เฟิงหลิวไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้สักเท่าไร

ภายใต้ฉากหลังที่มหาสงครามกำลังใกล้เข้ามาเช่นนี้ ผู้กล้ารุ่นใหม่จากทุกเผ่าพันธุ์ต่างบ่มเพาะพลังสร้างความแข็งแกร่ง ปรารถนาจะหลอมมรรคกลายเป็นราชันบนเส้นทางมหามรรค เหยียบย่างบนมกุฎ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การแก่งแย่งและต่อต้าน เข่นฆ่าประจัญบาน ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่ก็เปรียบดั่งกองทัพนับพันแย่งชิงข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว ผู้ใดสามารถฝ่าวงล้อมออกมา โดดเด่นเหนือปวงชนได้เป็นคนแรก ผู้นั้นก็สามารถคว้าศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปได้!

หอวสันตสารท

ตั้งอยู่ใจกลางเมืองผาดารา ความสูงหลายร้อยจั้ง ทั่วตัวอาคารทำมาจากหยกเคลือบ ทอแสงแวววาวราวภาพมายาภายใต้แสงแดดที่อาบชโลม

หอวสันตสารทเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานในเมืองผาดาราแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าในสมัยบรรพกาลเคยมีอริยะผู้หนึ่งเยี่ยมกรายผ่านที่แห่งนี้ แหงนมองปรากฏการณ์ดารา ทำนายเหตุการณ์รุ่งเรืองเสื่อมถอยอยู่ภายในตัวอาคาร ก่อนจากไปได้ทิ้งอริยะวาจาที่สั่นสะเทือนชั่วนิรันดร์เอาไว้หนึ่งประโยค…

ชั่วดีเป็นตรา วสันตสารทตัดสิน!

เพียงแปดคำสั้นๆ กลับมีความยิ่งใหญ่โชติช่วงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าคนใต้หล้าจะวิจารณ์อย่างไร สุดท้ายประวัติศาสตร์นิรันดร์จะเป็นผู้ตัดสินข้า!

นี่ก็คือความสง่างามของอริยะ

ด้วยเหตุนี้หอวสันตสารทจึงขึ้นชื่อลือกระฉ่อนเพราะอริยะวาจาแปดคำนี้ กลายเป็นสถานที่เก่าแก่เลื่องชื่อ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าใดมาเยือน

เพียงแต่ทุกครั้งที่เทศกาลโคมกถามรรคใกล้เข้ามา หอวสันตสารทก็จะกลายเป็นดั่งสถานที่ต้องห้ามไม่ปาน

มีเพียงเหล่าผู้กล้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้นจึงจะสามารถเหยียบย่างบนนั้นได้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าเฉียดใกล้

นี่เป็นกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้

ในกาลพ้นผ่านก็เคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากไม่ยอมรับ คิดว่าหอวสันตสารทเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่อริยบุคคลบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ไม่ว่าใครต่างมีสิทธิ์เข้านอกออกในได้

แต่พวกเขาไม่ทันได้เฉียดใกล้ ก็ถูกเหล่าผู้กล้าบางส่วนสยบคาที่ ต้องถอยฉากอย่างโซซัดโซเซ เมื่อเวลาผันผ่านนานไป กฎข้อนี้ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา

ยังเหลือระยะทางห่างจากหอวสันตสารทอยู่พอสมควร ก็เห็นบนท้องถนนที่คึกคักกว้างขวางมีสัตว์ปีศาจเดินขวักไขว่ ปักษาเทพสยายปีก ดูน่าทึ่งหาใดเปรียบ แต่เวลานี้ต่างรับหน้าที่เป็นสัตว์พาหนะ บรรทุกผู้คนไว้บนหลัง

ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างพากันทยอยหลบฉาก ไม่กล้าขวางทาง

เพราะทุกคนรู้ดี ผู้ฝึกปราณที่สามารถบังคับสัตว์พาหนะน่าสะพรึงระดับนี้มาได้ แต่ละคนต้องมีที่มายิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่หาเรื่องเลย ยังต้องรักษาท่าทางยำเกรงเอาไว้อีกต่างหาก!

“ดูนั่น! เป็นสัตว์ราชันที่ทรงพลังยิ่ง นั่นคืออสูรกิเลนเพลิงเขียวในตำนานหรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวพวยพุ่งทั่วทั้งตัว แสงเรืองคละคลุ้ง กลิ่นอายราวกับราชัน!”

บนท้องถนนมีเสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่ขาด

“ตามตำนาน อสูรกิเลนเพลิงเขียวเป็นสัตว์ราชันผู้พิทักษ์สำนักโบราณอารมพรางมรกต มีพลานุภาพคับฟ้าเปรียบได้กับราชันกึ่งระดับ กล่าวเช่นนี้แล้ว ชายหญิงที่นั่งอยู่บนอสูรกิเลนเพลิงเขียวนั้นจะต้องเป็นเหล่าผู้กล้าในอารามพรางมรกตเป็นแน่!”

“ใช่แล้ว จะต้องเป็นมู่เจี้ยนถิงศิษย์สืบทอดแท้จริงคนแรกในยุคนี้ของอารามพรางมรกตมาถึงแล้วเป็นแน่! ก็มีแต่ผู้กล้าเช่นเขาเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติได้รับการคุ้มครองจากอสูรกิเลนเพลิงเขียว!”

ยามที่หลินสวินกับไป่เฟิงหลิวเดินมาจากไกลๆ บังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี ก็รู้สึกทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขบวนเดินทางของผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณพวกนี้แต่ละคนยิ่งใหญ่กว่าคนก่อนหน้า แม้แต่สัตว์พาหนะยังอยู่ในระดับราชันกึ่งระดับ

“หลายวันมานี้เหล่าคนมีชื่อเสียงมารวมตัวกันที่เมืองผาดารา และหอวสันตสารทยิ่งเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของผู้คนนับหมื่น ผู้กล้ามากมายที่มาจากแต่ละอาณาเขตในแดนฐิติประจิมต่างก็มารวมตัวกันที่นี่”

ไป่เฟิงหลิวอธิบายอยู่ข้างๆ “และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากจึงถูกดึงดูดเข้ามา หมายจะได้ยลความสง่างามของผู้กล้าหลายๆ คนสักแวบ พาให้พื้นที่ละแวกใกล้เคียงหอวสันตสารทกลายเป็นจุดที่มีผู้คนนิยมชมชอบมากที่สุดในบัดดล”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ยามเอ่ยวาจา หลินสวินฉุดไป่เฟิงหลิวเดินเข้าใกล้ริมถนนด้วย

เวลานี้เองระลอกคลื่นน่าสะพรึงแผ่กระจายในห้วงอากาศวูบหนึ่ง ปักษาเทพที่สูงหลายสิบจั้ง เรือนร่างประหนึ่งหลอมด้วยทองคำอำมฤต ขนปีกสีสด อานุภาพศักดิ์สิทธิ์หาที่เปรียบไม่ได้โฉบบินผ่าน

ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งหลบไม่ทันถูกหอบม้วนลอยออกไป เซถลาทุลักทุเลทันที

“นกจาบกาฬทอง! นี่เป็นถึงปักษาเทพที่มีสายเลือดราชันเทพบรรพกาล กลิ่นอายทรงอานุภาพ ดูแล้วน่าอยู่ห่างจากระดับราชันเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!”

เสียงร้องอุทานดังขึ้นหนึ่งระลอก

สายตาของผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างมองไปทางนกจาบกาฬทองตัวนั้น มันบรรทุกเงาคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งชายและหญิง

“ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม!” พริบตานี้ไป่เฟิงหลิวก็มีสีหน้าตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน

หลังได้รับการอธิบายหลินสวินจึงรู้ว่า ตำหนักปรกอุดมแห่งนี้ก็เป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง เพียงแต่ตั้งอยู่ในอาณาเขตลับโลกขนาดเล็กแห่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘แดนประมุขพิภพ’

ในแดนฐิติประจิม นอกจากเขตแคว้นนับพัน ยังมีโลกเล็กๆ ที่เป็นเอกราชอยู่มากมาย แดนประมุขพิภพแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในแดนที่มีชื่อเสียงที่สุดในนั้น

อิงจากคำพูดของไป่เฟิงหลิว ความเป็นมาของตำหนักปรกอุดมสามารถย้อนไปถึงยุคบรรพกาลได้ รากฐานเก่าแก่หาที่เปรียบไม่ได้

เพียงแต่ผู้สืบทอดของสำนักนี้ไม่เคยปรากฏกายอยู่ในแดนฐิติประจิมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวอีกครั้งในเวลานี้!

ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมก็มาเพราะเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ…”

หลินสวินทอดถอนใจอีกหนึ่งระลอก ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งค้นพบความไพศาลและความลี้ลับของดินแดนรกร้างโบราณ นี่แค่แดนฐิติประจิมแห่งเดียวเท่านั้นก็ครอบคลุมเขตแดนเกือบไร้พรมแดน รวมถึงอาณาเขตโลกขนาดเล็กที่ยังไม่เคยได้ยินอีกจำนวนมาก

แค่คิดก็รู้ว่าดินแดนรกร้างโบราณที่แบ่งพื้นที่เป็นสี่แดนวิภูจะกว้างขวางมากเพียงใด!

ตู้ม!

ทันใดนั้นพื้นถนนสั่นสะเทือนรุนแรง อาคารก่อสร้างละแวกนั้นสั่นโคลง เสียงคำรามปานอสนีบาตสายหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนทั่วจักรวาล

ไม่ไกลนักสิงห์ขาวมหึมาที่ทั่วตัวอาบแสงสายฟ้าตัวหนึ่งปรากฏขึ้น พ่นเมฆคลายหมอก แผงคอระย้าร่ายรำ สายฟ้าทั่วร่างส่งเสียงกึกก้อง ปลดปล่อยสายฟ้าสีเงินบาดตาออกมา

“สวรรค์! สิงห์อสนีหยกขาว! นี่เป็นถึงสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลเชียว!” ผู้คนสูดหายใจเฮือก

“ผู้แข็งแกร่งเผ่าอสนีรกร้างมาถึงแล้ว!”

บนหลังสิงห์อสนีหยกขาวตัวนั้นบรรทุกตำหนักหลังหนึ่ง พอมองเห็นเงาร่างส่วนหนึ่งรำไรอยู่ในนั้น มีทั้งชายหญิง กลิ่นอายเหนือธรรมดา

“เผ่าอสนีรกร้างเป็นเผ่าใหญ่ห้าอันดับแรกในแดนฐิติประจิม ทายาทเผ่านี้ต่างมีโลหิตสมบัติที่บรรจุพลังแห่งสายฟ้าไหลเวียนอยู่ พรสวรรค์ผิดแผกพิสดาร พลังต่อสู้น่าสะพรึง หากข้าเดาไม่ผิด คนที่มาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะต้องเป็นเหลยเชียนจวินผู้ได้รับสมญานามว่า ‘นายน้อยเหลยโหว’ ในคนรุ่นใหม่เผ่าอสนีรกร้างอย่างแน่นอน!”

ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ถ้อยคำหนักแน่นยิ่ง เขาเคยทำความเข้าใจข่าวสารของนายน้อยเหลยโหว รู้ดีว่านี่คือบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่ง พลังต่อสู้สะท้านโลก พรสวรรค์น่ากลัวเป็นที่สุด

หลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะแล้ว นี่แค่ระหว่างทางยังพบเห็นบุคคลแกร่งกร้าวตระการตามากมายขนาดนี้ ไม่ว่าใครเกรงว่าคงยากทำใจให้สงบ

มุ่งหน้าต่อไปตลอดทาง สัตว์ปีศาจปักษาเทพที่พบเห็นระหว่างทางยิ่งมีมากขึ้นทุกที ทั้งหมดต่างน่าสะพรึงเป็นที่สุด พาให้ผู้ฝึกปราณมากมายใจสั่นไม่สิ้น

เมื่อเทียบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่สะดุดอย่างยิ่ง มีเพียงเฒ่าสากกะเบือจากเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งอยู่ข้างกายเท่านั้น แม้แต่สัตว์พาหนะยังไม่มีสักตัว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดความสนใจ

“คุณชายหลิน จากฐานะของท่านในปัจจุบัน เห็นชัดว่าวางตัวต่ำต้อยเกินไป นี่ไม่ดีเอาเสียเลย ต่ำต้อยเกินไปจะถูกคนมองข้ามและดูถูกเอาง่ายๆ” ไป่เฟิงหลิวกล่าวทอดถอนใจ

หลินสวินเอ่ย “พวกเจ้าเผ่าวาทวาโยไม่ใช่ว่ามาเกิดมาพร้อมกับปีกคู่หนึ่งหรอกหรือ อยากสยายออกมาบรรทุกข้าขึ้นบินสักเที่ยวหรือไม่ พวกเราจะได้สูงส่งขึ้นมาหน่อย”

สีหน้าไป่เฟิงหลิวแข็งค้างไป รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นพัลวัน เทพมารหลินคนนี้ช่างจินตนาการหลุดโลกเสียจริง ขี่กระดูกเฒ่าอย่างเขาขึ้นบินหนึ่งเที่ยว หากให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้าคงไม่พ้นขายขี้หน้าแย่

ฉับพลันนัยน์ตาหลินสวินแข็งทื่อ สีหน้าอึ้งงัน มองเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งแวบผ่านบนถนนไม่ไกลออกไปนัก

นั่นคือเด็กสาวชุดขาวคนหนึ่ง งดงามโดดเด่น ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาสงบงามพิสุทธิ์ เนตรดาราของนางพราวระยับ ผมงามดำขลับ ริมฝีปากแดงเอิบอิ่ม ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาปานมันแพะ ราวกับเทพธิดาเดินออกมาจากภาพเขียน ไม่แปดเปื้อนหมอกควันในโลกมนุษย์

ไป๋หลิงซี!

เป็นนางจริงๆ ด้วย…

ในใจหลินสวินไม่ใคร่สงบเท่าใดนัก

แรกเริ่มยามอยู่นครเตโช เขาเคยเห็นเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งลากตำหนักอมตะที่สุดหยั่งถึงหลังหนึ่งเคลื่อนผ่านห้วงอากาศไป

ตอนนั้นหลินสวินเห็นแวบๆ ว่าภายในตำหนักอมตะหลังนั้นมีเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งยืนอยู่ น่าเสียดายที่อยู่ไกลเกินไป ในตอนท้ายจึงไม่กล้ามั่นใจนัก

แต่ตอนนี้ยามที่เห็นอีกฝ่ายในเมืองผาดาราอีกครั้ง หลินสวินก็มั่นใจในทันทีว่าที่เห็นในตอนแรกจะต้องเป็นไป๋หลิงซีอย่างไม่ต้องสงสัย!

เห็นได้ชัดว่าหลังออกจากจักรวรรดิจื่อเย่ามุ่งสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไป่เฟิงหลิวก็เข้าสู่แดนกาฬทักษิณ ฝากตนเป็นศิษย์ในแดนพิสุทธิ์อมตะ สำนักโบราณแห่งหนึ่งทันที

เดิมทีหลินสวินคิดจะก้าวออกไปทักทาย แต่สังเกตเห็นว่าข้างกายไป๋หลิงซียังมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ด้วย แต่ละคนวางขรึมเป็นพิเศษ เห็นชัดว่าต่างก็เป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะ

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินลังเลเล็กน้อย

“คุณชายหลิน ท่านคงไม่ได้ถูกใจแม่นางน้อยคนนั้นหรอกกระมัง เช่นนั้นก็รีบไล่ตามไปสิ มนุษย์ไม่เจ้าสำราญก็เสียดายวัยหนุ่มเปล่าๆ!”

ด้านข้างไป่เฟิงหลิวเบิกตากว้าง หัวเราะฮ่าๆ บนใบหน้าชราเปี่ยมด้วยแววสัปดน

หลินสวินตบผัวะเข้าที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งฉาด ตีจนเขากัดฟันแยกเขี้ยวร้องด้วยความเจ็บไม่หยุด

เวลานี้เองห่างออกไป ไป๋หลิงซีดูเหมือนจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาพิสุทธิ์คู่นั้นหันขวับมามองทางนี้ทันใด ยามที่มองเห็นหลินสวินนางอดอึ้งงันน้อยๆ ไม่ได้ จากนั้นจึงเดินมาทางนี้…

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่ง ยามนี้เขาใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูป เปลี่ยนรูปลักษณ์และกลิ่นอายรอบตัวอยู่ ใช่ว่าใครๆ จะจำได้ง่ายๆ