บทที่ 919 ก็จำต้องกินสิ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“เจ้าสวะ!!!” เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ห่างออกไป ความเดือดดาลในใจของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ยากจะพรรณนาได้ แม้จะรู้สึกล้มเหลวและหดหู่จนอยากจะสังหารทั่วทิศ แต่เขากลับต้องยอมรับ ว่าครั้งนี้ตนทำพลาดไปเสียแล้ว

เขาพลาดเพราะดูแคลนหลงหนานจื่อ ไม่ได้ชิงสังหารมันตั้งแต่คราแรกที่มายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทว่าใจเขารู้สึกกดดันยิ่งกว่า เพราะการมีอยู่ของตระกูลเซี่ย เขาจึงไร้หนทางใช้วิธีขั้นเด็ดขาดบุกเข้าดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ได้

สรุปแล้วหากพูดให้ชัดไปอีกก็คือ เขาล้วนคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะใจกล้าถึงเพียงนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ยังเลือกช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วย!

เรื่องครั้งนี้ อยู่เหนือกว่าที่เขาคาดการณ์และประเมินเอาไว้มาก อาศัยจากที่ได้ยินมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ส่วนการข่มขู่และการตอบโต้ก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากว่าอีกฝ่ายฆ่าผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าของเขาไปแล้วก็ช่างเถอะ เขายังจะฝืนดำเนินการต่อไปได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่โง่นัก เห็นชัดว่าไม่ได้หมายสังหาร แต่กลับจงใจละชีวิตไว้ เพื่อไม่ให้เขาตัดสินใจทำเรื่องบุ่มบ่าม เขาจำต้องปิดตาข้างหนึ่ง ทางหนึ่งฝืนกดจิตสังหาร อีกทางก็รีบคิดหาวิธีการแก้ปัญหาถัดไปโดยเร็ว

ทว่าในตอนที่สีหน้าของเขาดูย่ำแย่เต็มทน และความโกรธยากจะระงับ จนแทบจะระเบิดออกมานั้น หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ในเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแล่นห่างออกไป จ้องกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าขาวเผือด เหงื่อเย็นไหลออกมาไม่หยุด ชายชรามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในใจเหมือนถูกคลื่นสูงเท่านภาฟาดกระหน่ำ เขาต้องยอมรับอยู่บ้าง ว่าตนเองดูเบาความกล้าของหลงหนานจื่อไปแล้ว และในพริบตานี้เอง เขาก็นึกถึงผลงานที่หลงหนานจื่อเคยมี!

อาจเพราะหลังจากที่หวังเป่าเล่อเหยียบเข้าระดับจิตวิญญาณอมตะ ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงกิริยาโหดเหี้ยมหรือใจคิดแค้นเล็กน้อยอีก ดังนั้นก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงลืมเรื่องพวกนี้ของอีกฝ่ายจนสิ้น

ในขั้นเชื่อมวิญญาณ เหตุเพราะเสียเปรียบให้กับกองทหารมังกรหยดหมึกแห่งสำนักเต๋าใหม่ พี่น้องของแม่ทัพเขาถูกสังหาร มีเขาหนีออกมาได้ ทว่ากลับหวนไปทำลายพวกกองทหารมังกรหยดหมึกอีก ดังนั้นจึงได้รับสมญานามว่าไอ้บ้าคนหนึ่งมา

“ไอ้บ้า!!”

ชื่อไอ้บ้าที่เรียกนี ก็ได้มาเพราะการไม่สนเป็นตายของตน เพียงสนแต่ความสะใจเท่านั้น ต่อให้ตนสลายเป็นพันชิ้นก็ต้องขอสับอีกฝ่ายสักแปดร้อยชิ้น

ชื่อไอ้บ้านี ได้มาเพราะมุทะลุชิงเนื้อจากปากเสือต่อหน้าพลังระดับดารานิรันดร์ แต่มันก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

เวลานี้ หวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่บนเรือทอดสายตามองไปไกล เมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์นึกถึงความบ้าคลั่งและผลงานของอีกฝ่ายแล้ว ในใจเขาก็พลันรู้สึกสำนึกเสียใจนัก คิดว่าตนไม่ควรไปยั่วโมโหหลงหนานจื่อเลย!

แต่ในขณะที่เขายืนรันทดใจ และศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่กำลังสับสันอยู่นั้น เงาของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็พลันลางเลือนไปจากสายตาของคนทั้งสอง หายไปในนภามากดาราด้วยความเร็ว

หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือ มองไปทางด้านนอก ฉากท้องฟ้ามวลหมู่ดาราที่เหมือนธารน้ำไหลวนผ่านสายตาของเขาไป ฉากนี้พาให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความเร็วของเรือลำนี้ มันเร็วจนทำให้ต้องสั่นสะท้าน แต่ขณะเดียวกันในใจเขาก็พลันปลดความกังวล

ในเมื่อกระดาษรูปมนุษย์พยักหน้า อีกทั้งตอนนี้เรือวิ่งแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้ไล่เขาไป ก็หมายความว่าแผนของเขาประสบความสำเร็จได้รับไพ่กระดาษใบนั้น ตนเองก็เหมือนได้รับตั๋วขึ้นเรือ มีพร้อมซึ่งคุณสมบัติไปยังสุสานดวงดาราแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็คลายใจเต็มที่ เขามองไปยังท้องฟ้าข้างนอกซึ่งพร่างพราวดาราด้วยหัวใจพองฟู แถมยังยักคิ้วส่งสายตาให้กับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าห้าสิบคนที่อยู่รอบๆ

คนพวกนี้มีทั้งหญิงชาย ต่างเลือกที่นั่งเว้นระยะห่างกันช่วงหนึ่ง เห็นชัดว่าแต่ละคนล้วนมีสถานะแตกต่าง ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย นอกจากพวกที่ปะทะกับหวังเป่าเล่อเมื่อเริ่มแรกซึ่งจ้องมองมาด้วยสายตาแฝงแววคิดร้าย คนที่เหลือต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป

บ้างก็มองด้วยแววตาประหลาด บ้างก็มองด้วยความสนเท่ห์ มีบางคนถึงขั้นไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ

“ไง เจอกันอีกแล้ว” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนจำต้องผูกมิตรกับทุกคนเอาไว้ หลังจากกะพริบตาปริบๆ ก็ทักทายหากลุ่มคน

แต่กลับกัน คนส่วนมากกลับไม่แยแสเขาสักนิด แถมยังมีเสียงเฮอะเย็นชาลอยมาด้วย เห็นได้ชัดว่าแม้พวกเขาจะยอมรับว่าตนแข็งแกร่ง แต่การขึ้นเรือด้วยวิธีนี้ถือว่าละเมิดกฎหลายข้อ พาให้คนไม่ชอบใจนัก

“เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว จะอย่างไรข้าก็ช่วยพวกเจ้าพายเรือในตอนแรกนะ” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงนึกในใจ เมื่อพวกเจ้าไม่สนข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่สนใจเจ้า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่คิดสานสัมพันธ์ต่อ เขามองออกแล้วว่าคนพวกนี้หยิ่งยโสนัก แต่เขาก็ยอมรับว่าพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือลำนี้มีคุณสมบัติพอจะยโสโอหังจริง

ไม่ว่าใครๆ ในที่นี้ล้วนมีพลังปราณไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าอารยธรรมครามทองคำ กระทั่งยังมีบางคนที่แข็งแกร่งกว่า ต่อให้เป็นระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เหมือนกัน แต่พื้นฐานกลับแตกต่าง พรสวรรค์ไม่เท่า ทำให้มีการแบ่งระดับชั้นกันอีกและมีช่องว่างไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยเฉพาะคนหนึ่งในบรรดามหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านี้ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องมองด้วยความสนใจ คนผู้นี้เป็นหญิงสวมหน้ากาก มองไม่เห็นว่ารูปลักษณ์จริงเป็นเช่นไร พอเดาได้จากโครงหน้าผ่านหน้ากากเท่านั้น คล้ายว่าจะเป็นผู้งดงามสยบหล้า

หวังเป่าเล่อแอบมองอีกหลายครา ผู้หญิงคนนั้นคล้ายสัมผัสได้จึงมองไปยังหวังเป่าเล่อ แววตาไม่ได้ฉายความเป็นมิตรสักนิด เหมือนมองคนตายไม่ปาน แต่คล้ายว่าหวังเป่าเล่อไม่สะทกสะท้าน สีหน้าเขาเหมือนปกติ กลับกันยังถึงขั้นส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วย

แววตาของหญิงสาวทอประกายวูบ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว อุตส่าห์ใช้หนังหน้าและรูปร่างของชายผู้งดงามที่สุดในสหพันธรัฐส่งยิ้มให้ คนผู้นี้กลับไม่สนใจเสียเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงอดแค่นเสียงในใจไม่ได้

“ปกติผู้หญิงที่ใส่หน้ากากก็มักจะหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะนะ”

ระหว่างที่ในใจกำลังบ่นพึมพำหลายประโยค เขาก็เสาะหาที่ว่างไร้ผู้คนแล้วนั่งลงไป คิดชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียของการเดินทางนี้และเรื่องหลังจากที่ลุถึงสุสานดวงดารา ตนเองจะใช้แหวนคลังเก็บสานสัมพันธ์กับพวกกระดาษรูปมนุษย์เช่นไร เพื่อให้โชควาสนาในครั้งนี้นำพาประโยชน์มาให้

“เลื่อนระดับดาวพระเคราะห์” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นก็เผยท่าทางคาดหวังแรงกล้า

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไปช้าๆ เช่นนี้ เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หยุดพักที่ใดอีก ประหนึ่งว่าหวังเป่าเล่อคือสมาชิกบนเรือคนสุดท้าย หวังเป่าเล่อเองก็นั่งอยู่ที่นี่มาหลายวันจนเริ่มอยู่ไม่สุข

ก็เพราะว่าที่นี่เงียบสงบเกินไปจริงๆ เขาไม่มีคนคุยด้วย กระทั่งว่าคนจะลงมือกับเขาสักนิดก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่นั่งอยู่กับที่นิ่งๆ รอให้การเดินทางนี้สิ้นสุดลง

ตอนหลายวันแรกยังดีหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่าวัน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงน่าเบื่อนัก ดังนั้นแล้วเขาจึงอาศัยจังหวะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจ พลันลุกขึ้นเดินไปยังหัวเรือ

“ลำบากท่านแล้ว ข้ามาช่วยท่านพายเรือ ท่านยังจำได้หรือไม่ ข้าชมชอบการพายเรือนัก”

พลันเมื่อหวังเปาเล่อเปิดปาก ก็ดึงความสนใจจากคนจำนวนมากทันที เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เคยเห็นเขาพายเรือมาก่อน แต่ละคนเผยสีหน้าไม่สู้ดี ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นกลับเผยแววตาพิกลออกมา

ในจังหวะที่พวกเขาลอบมองมา หวังเป่าเล่อก็ยืนรออยู่ตรงนั้นครึ่งครู่ใหญ่ จับจ้องกระดาษรูปมนุษย์ที่คล้ายไม่สนใจเขา หวังเปาเล่อถอนหายใจ ถึงแม้ว่าการยืนต่อหน้าคนจำนวนมากจะขัดเขินอยู่บ้าง แต่หนังหน้าเขาหนานัก แถมยังโอ้อวดเรื่องฝีมือยุทธ์ได้ ดังนั้นจึงกระแอมกระไอคราหนึ่ง แล้วกำหมัดขึ้นคำนับกระดาษรูปมนุษย์ โค้งตัวต่ำ

“ขอบพระคุณน้ำใจทุกท่าน ท่านคงทราบดีว่าผู้น้อยต้องการเสาะหาชะตาต่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้ข้าเหนื่อยยาก คราหน้าค่อยตอบแทนพระคุณท่านแล้วกัน” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็หันกายเดินกลับไปยังที่นั่งเดิม เขานั่งตัวตรงมีสง่าอยู่ตรงนั้นท่ามกลางสายตาประหลาดของคนรอบข้าง

หลังไม่แยแสสายตาคนรอบข้าง หวังเป่าเล่อที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นมานานสองนานก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ

“ไม่ใช่ว่าที่สุสานดวงดาราคราวนี้จะมีแค่พวกนี้นะ” เขาแอบสำรวจคนโดยรอบในใจแล้วคราหนึ่ง หลายวันมานี้เมื่อลองคิดเปรียบเทียบดู นอกจากหญิงสวมหน้ากากคนนั้นแล้ว ผู้อื่นแม้จะฝีมือเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน แต่เขาย่อมเอาชนะได้ไม่ยากแน่

ในเวลาเดียวกันไม่เพียงเขาจะสำรวจคนบนเรือเรียบร้อยหมดทุกคน กระทั่งเรือลำนี้เขาก็สำรวจโครงสร้างแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่สิ่งที่เขาติดใจมากที่สุด ก็คือแท่นบูชาที่ติดอยู่ตรงหางเรือ

แท่นบูชานี้ดูแล้วสร้างมาจากเนื้อไม้และไม่มีสิ่งผิดสังเกต บนนั้นมีธูปที่เหมือนจะไม่มีวันมอดดับลุกโชนอยู่ดอกหนึ่ง แล้วยังมีผลไม้สีแดงชาดจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดผลวางประกอบอยู่ถาดหนึ่ง

บุคคลที่ว่างเช่นเขาตอนนี้ คิดว่าในเมื่อตนเองพายเรือต่อไม่ได้ ย่อมไม่แคล้วถูกผลไม้พวกนี้ดึงดูดความสนใจไป

“ผลไม้พวกนี้ น่าจะกินได้นะ… ดูๆ ไปแล้วรสชาติคงไม่เลวทีเดียว” หวังเป่าเล่อมองผลไม้เหล่านั้น กะพริบตา ลูบหน้าท้องตนโดยสัญชาตญาณ

…………………………