ตอนที่ 850 การตอนหมู

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 850 การตอนหมู

มิมีผู้ใดรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นที่ห้องเทียนหยุนบนหอหลิวหยุนในคืนเทศกาลหยวนเซียว

แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าในราตรีนั้นฝ่าบาทได้พระราชนิพนธ์บทกวี ‘คืนเทศกาลโคมไฟ’ ขึ้นมา

เป็นหนึ่งในบทกวีอันแสนวิจิตรบรรจงของพระองค์ ในราตรีเดียวกันนั้นเองบทกวีก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองกวนหยุนและได้กลายเป็นกวีที่ใช้พรรณนาถึงความรักแสนอาภัพของคนหนุ่มสาวโดยแพร่หลาย

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าผู้ที่อยู่ในห้องด้านข้างคือบิดาอ้วน และมิรู้อย่างแท้จริงว่าเมื่อสองวันก่อนที่ชายอ้วนร้องขอให้เขาประพันธ์บทกวีให้ก็เพื่อที่จะนำไปเกี้ยวสตรีนางหนึ่ง

ขุนนางเหล่านั้นร้องขอให้เขาประพันธ์กวี เขาจึงขับกวีบทนั้นออกมาและได้ทำลายบรรยากาศที่กำลังจะบรรลุเป้าหมายของบิดาอย่างพอดิบพอดี

วันถัดมา เว่ยซานเหนียงไปที่ห้องเทียนอินด้วยตนเอง นางเห็นขวดสุราโล่งเปล่า 2 ขวด ส่วนสุราอีก 10 ขวดหายไปอย่างไร้ร่องรอย !

ในห้องเทียนอินมีที่นอนก็จริง ทว่าที่นอนและเครื่องนอนต่าง ๆ ยังคงไร้รอยตำหนิมัวหมองใด

ชายอ้วนพ่ายแพ้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อครุ่นคิดก็เห็นท่าจะจริง เพราะอายุอานามก็มากกันแล้ว อีกทั้งยังดื่มสุรามากถึงปานนั้น เขาจะเอาเรี่ยวแรงจากที่ใดไปสู้

ในเช้าตรู่ของวันเดียวกัน หมอกยังคงหนาทึบมิเลือนหาย บัดนี้หยูเวิ่นหวินจึงได้เห็นสภาพของพระมารดาที่เพิ่งกลับมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

พระพักตร์ของเสด็จแม่ดูเหนื่อยล้ามากยิ่งนัก

พระเกศายุ่งเหยิงเล็กน้อย นัยน์ตาก็ดูเลื่อนลอย

แม้แต่พระสรวลก็ราวกับฝืนใจทำ

มีคราบน้ำตาให้เห็นเลือนรางบนดวงพักตร์ ทั้งยังมีกลิ่นสุราโชยมาจากพระวรกาย

เกิดอันใดขึ้นกับเสด็จแม่กัน ?

“เมื่อวานนี้ แม่ได้พบคนรู้จักจึงไปสนทนากันยังที่ราบหลีลั่วและได้ชมดาวด้วยกันทั้งคืน”

“เสด็จแม่มีคนรู้จักที่นี่ด้วยหรือเพคะ ? ”

“อืม…เคยรู้จักกันที่เมืองจินหลิง ทว่ามิได้ติดต่อกันนานแล้ว จึงสนทนากันยาวและมิได้กลับมายังพระราชวังเมื่อคืนนี้”

“อ่า…ให้ลูกคอยดูแลนางดีหรือไม่เพคะ ? ”

ฮองเฮาซั่งทรงแย้มพระสรวลบาง ๆ “เจ้า… เจ้าก็ดูแลตนเองให้ดีเถิด แม่ต้องไปแล้ว จากราชวงศ์หยูมานานมากแล้ว บัดนี้ถึงเวลากลับไปเสียที”

“…แล้วเสด็จแม่จะกลับมาหาลูกอีกเมื่อใดเพคะ ? ”

“มิรู้สิ”

ฮองเฮาซั่งมิรู้จริง ๆ ว่าเมื่อใด เนื่องจากพระองค์มิรู้ว่าจากนี้ต่อไป ควรจะทำเยี่ยงไรดี

เจ้าอ้วน เจ้าคนต่ำทราม !

ฮองเฮาซั่งก่นด่าอย่างหยาบคายอยู่ข้างในพระทัย จากนั้นก็ดำเนินจากไป

ส่วนชายอ้วนกลับนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าที่เปียกแฉะ พร้อมกับหัวเราะดังลั่นอย่างได้ใจ “ชีวิตที่ข้าเฝ้าฝันมาถึงเสียที ! ”

……

……

ชีวิตที่ชายอ้วนเฝ้าฝันมาถึงจริงหรือไม่ก็ไร้ผู้ใดทราบ ทว่าบัดนี้ขุนนางทุกฝ่ายในราชสำนักทราบเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี… เรื่องจักรพรรดิเต๋อจงของพวกตนสามารถจัดการเรื่องหมูให้อยู่หมัดได้เมื่อมินานมานี้

ตั้งแต่ต้นเดือนสองที่เผิงฟางชื่อหลางกรมเกษตรไปซื้อลูกหมูมาจากชาวบ้านจำนวน 20 ตัว หลังเสร็จงานประชุมราชสำนัก องค์จักรพรรดิก็จะกุลีกุจอไปยังที่ว่าการกรมโยธาธิการทันที

ถัดจากที่ว่าการของกรมโยธาธิการเป็นเล้าหมูที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ โดยมีเผิงฟางเป็นผู้ดูแลหมูเหล่านั้นด้วยตนเอง เพราะเขามิเชื่อว่าฝ่าบาทจะสามารถทำให้เนื้อหมูอร่อยขึ้นมาได้

วันนี้เมื่อเสร็จการประชุมราชสำนักฟู่เสี่ยวกวนจึงไปยังที่ว่าการกรมโยธาธิการอีกตามเคย เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจสำหรับจัวอี้สิงและเสนาบดีคนอื่น ๆ แม้ทุกวันนี้ได้กำหนดนโยบายหลักออกมาอย่างเป็นทางการและได้รับอนุมัติจากทั้งสามสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม กระนั้นผู้ที่เป็นถึงโอรสสวรรค์ก็ยังวิ่งไปเลี้ยงหมูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…ช่างน่าอับอายเสียเหลือเกิน

ดังนั้นจัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ อีกทั้งเสนาบดีฝ่ายบริหารเมิ่งฉางผิงก็ได้รวมหัวกันไปสังเกตการณ์

เมื่อทั้งสามมาถึงเล้าหมูก็ได้ยินเสียงลูกหมูกรีดร้องอย่างโหยหวนน่ารำคาญ !

ไม่ ! หรือฝ่าบาทจะเชือดลูกหมูเหล่านั้นเสียแล้ว ?

หากเชือดแล้วก็ดี เพราะจากนี้สืบไปฝ่าบาทจะได้มิเลือกเดินทางผิดอีก !

ทว่าเมื่อผ่านโค้งตรงหัวมุมแล้วเข้าใกล้เล้าหมูมากขึ้น พวกเขาก็เห็นขุนนางประจำกรมโยธาธิการหลายคนยืนล้อมเล้าหมูเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว

ทั้งสามจึงรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชะโงกศีรษะเข้าไปดู…

ภาพที่เห็นคือมือซ้ายของฟู่เสี่ยวกวนกำลังกดลูกหมูตัวน้อยเอาไว้ ส่วนมือขวากำลังถือกริชที่มีโลหิตอาบอยู่

มีเผิงฟางนั่งคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้าม บัดนี้ฝ่าบาทกำลังเอ่ยกับเผิงฟางว่า “นี่เรียกว่าการตอนหมู มิว่าหมูเพศเมียหรือเพศผู้ก็จับมาตอนให้หมด…” ในระหว่างที่เอ่ย เขาก็ได้หันมามองหลิวจิ่นที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ กัน หลิวจิ่นรู้สึกเสียววาบบริเวณท่อนล่างจนต้องหุบต้นขาเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

“งานนี้ง่ายดายมากยิ่งนัก หมูมีชะตาชีวิตแข็งแกร่ง มันมิตายง่าย ๆ หรอก เมื่อจับมันตอนแล้ว มันจะเติบโตได้เร็วขึ้น เนื้อก็จะไร้กลิ่นสาบ ข้าจะสาธิตการตอนอีกตัวหนึ่งให้ดูก็แล้วกัน ประเดี๋ยวท่านก็ลองลงมือเองเถิด”

ในขณะที่จัวอี้สิงและคนอื่น ๆ กำลังมองด้วยสายตาฉงน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ถือกริชในมือขึ้นมาแล้วอธิบายต่อว่า “มีดขนาดยิ่งเล็กยิ่งดี ให้เล็กพอที่จะเอาไอ้นี่ออกมาได้ จากนั้นก็ดึงท่อนำน้ำเชื้อออกมาตัดให้ขาด…”

“เพียงแค่นี้เอง… สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสะอาดของเล้าหมูอย่างดี มิเช่นนั้นถ้าหมูเกิดแผลอักเสบขึ้นมาจะลำบาก เอาล่ะ ! ท่านลองทำเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนส่งกริชให้เผิงฟาง จากนั้นก็เดินไปริมสระน้ำ หลิวจิ่นรีบวิ่งปรี่เข้าไปตักน้ำพลางส่งสบู่ให้กับฟู่เสี่ยวกวน

เจ้าหมอนี่นับวันยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ ยอดเยี่ยม !

“หลิวจิ่น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

“วันพรุ่งนี้ต้องออกเดินทาง เจ้าจงเตรียมการให้ข้าด้วย”

“…ฝ่าบาทจะเสด็จที่ใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ณ ที่ราบหลีลั่ว”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงลูกหมูร้องโหยหวนดั่งลั่นอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนเดินกลับเข้าไป เห็นพวกของจัวอี้สิงทั้งสามคนกำลังยืนจ้องตาเขม็ง

เขาฉีกยิ้มแล้วก้มศีรษะมองลูกหมูบนพื้น ช่างน่าสงสารเสียจริง เห็นทีว่าจะมิรอดเสียแล้ว

“จงจำเอาไว้ให้ดีว่าต้องหาตำแหน่งให้ได้เสียก่อน เชือดเพียงคราเดียวเท่านั้นและคมมีดต้องเล็ก ลงมือต้องฉับไว…”

หัวใจของเผิงฟางเต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกจากอก เขาจับลูกหมูมาอีกหนึ่งตัว จากนั้นก็ค่อย ๆ ย้อนนึกวิธีที่ฝ่าบาททรงใช้เมื่อครู่ พลางเอามีดในมือเฉือนลงไป…เหมือนว่าจะสำเร็จใช่หรือไม่ ?

“มิเลวนี่ ทำถูกต้องแล้ว ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของท่านก็แล้วกัน อีกสองสามวันข้าจะกลับมาดูอีกครา”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินนำเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ออกจากเล้าหมู ทว่าขุนนางจากกรมโยธาธิการยังคงล้อมอยู่ที่นั่นดังเดิม

ช่างอัศจรรย์มากยิ่งนัก หมูที่เลี้ยงโดยผ่านการตอนมาแล้วจะไร้กลิ่นเหม็นสาบจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

“ข้าจะบอกให้ คำว่าเศรษฐกิจของราชอาณาจักรและการดำรงชีพของราษฎร หมายความว่าราษฎรต้องสามารถเข้าถึงเนื้อสัตว์และมีเนื้อสัตว์ทานในทุกวัน นี่คือการดำรงชีพของราษฎร ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรโดยมีหลิวจิ่นนั่งคุกเข่าชงชาให้ ทั้งยังมีจัวอี้สิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ดังนั้นข้าขอเอ่ยถามพวกท่านสักหน่อยว่า กว่าหมูจะโตเต็มวัยและพร้อมชำแหละ จะต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน ? ”

เรื่องนี้ผู้ใดจะไปรู้เล่า ?

เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามหันมาสบตากัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อว่า “ดูเถิด พวกท่านก็มิทราบเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นในอดีตหมูจะโตเต็มวัยพร้อมชำแหละได้ก็ต่อเมื่อมีอายุครบ 1 ปีและมีน้ำหนักราว 200 ชั่ง…”

“ฝ่าบาทหนักมิถึง 200 ชั่งหรอก มากสุดก็แค่ 150 ชั่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนแทบจะหงายหลังตึง เขาจ้องมองเมิ่งฉางผิงตาเขม็ง ข้าย่อมหนักมิถึง 200 ชั่งอยู่แล้ว…

“เอาเถิด 150 ชั่งก็ 150 ชั่ง ทว่าเมื่อใช้วิธีของข้าแล้วอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 8 เดือนโดยประมาณ หมูก็จะโตเต็มวัยและหนักถึง 150 ชั่ง สามารถประหยัดเวลาได้ตั้งสามในสิบส่วน ทีนี้จะประหยัดอาหารได้เท่าใด ? แล้วปริมาณเนื้อหมูในตลาดจะเพิ่มขึ้นเท่าใด ? ”

“ข้าจะบอกให้ หากข้ามิต้องมาเป็นจักรพรรดิก็คงจะทำอาชีพเลี้ยงหมูอย่างจริงจังไปแล้วล่ะ สร้างโรงเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ที่สุดขึ้นมา ข้าย่อมจะร่ำรวยมั่งคั่งอย่างแน่นอน ! ”

แม้มิมีผู้ใดเข้าใจ แต่เมื่อได้ยินคำเอ่ยหนักแน่นเช่นนี้ เสนาบดีทั้งสามก็ยากที่จะโต้แย้ง…เพราะฝ่าบาททำเพื่อความเป็นอยู่ของราษฎร หากมีเนื้อหมูขายในตลาดมากขึ้น ราคาหมูก็ย่อมถูกลง ราษฎรก็จะสามารถซื้อเนื้อหมูมาบริโภคได้บ่อยขึ้น

จัวอี้สิงตัดสินใจมิถกเถียงเรื่องการเลี้ยงหมูของฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไป เพราะตนเองมักจะโดนโน้มน้าวจนไขว้เขวอยู่เสมอ

“ทูลฝ่าบาท ทางสำนักดาราศาสตร์ได้คำนวณฤกษ์ยามมาแล้ว พบว่าวันที่เจ็ดเดือนสามนี้สามารถจัดพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“อ่า…เช่นนั้นก็ให้จัดวันที่เจ็ดเดือนสามเถิด ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อมิจำเป็นแล้ว มันมิได้สลักสำคัญอันใด”

“ฝ่าบาท ถึงเวลาที่ต้องแต่งตั้งองค์จักรพรรดินีและพระสนมเอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”