ราชันเร้นลับ 783 : วาทศิลป์ในการสื่อสาร

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 783 : วาทศิลป์ในการสื่อสาร Ink Stone_Fantasy

ขณะได้ยินเสียงเพรียกมายาที่ดังกังวานซ้อนทับ เนื่องด้วยเวลาที่ต่างกัน ไคลน์กำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านของพอร์ตแลน·โมมงต์

งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง มีกำหนดจบลงตอนสามทุ่มครึ่งหรืออาจสี่ทุ่ม เนื่องจากมื้ออาหารมีหลายคอร์ส ประกอบด้วยจานเรียกน้ำย่อย จานซุป จานเครื่องเคียง จานหลัก จานผลไม้ จานขนมหวาน และอื่นๆ รวมกันแล้วมากถึงเกือบยี่สิบจาน คนรับใช้จะคอยยกมาเสิร์ฟแขกทุกคนตามลำดับ มีการเก็บจานการและเปลี่ยนภาชนะอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก และยังคอยเว้นช่วงอาหารแต่ละจานไว้ให้แขกสนทนากัน สุภาพบุรุษควรเป็นฝ่ายริเริ่มสนทนากับสตรีทางฝั่งขวามือ

สรุปโดยสั้น… ช่างเป็นงานเลี้ยงที่วุ่นวายและเปลืองพลังสมอง ต้องคอยใส่ใจว่าอาหารจานใดจับคู่กับเครื่องดื่มอะไร… แต่รสชาตินับว่าไม่เลว… ไคลน์ใช้ประโยชน์จากจังหวะที่เนื้อแกะย่างกำลังถูกยกมาเปลี่ยน หันไปพูดกับมาดามวิลลิสทางขวามือ

“ขอประทานโทษครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน วางมือขวาไว้ระหว่างหน้าอกและท้อง ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อขออภัยแขกร่วมโต๊ะ จากนั้นก็เดินปลีกตัวออกมา ตรงไปยังห้องน้ำบนชั้นสอง

เมื่อเข้าไปในห้อง ไคลน์ลงกลอนมิดชิด เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา

“…” เป็นคำสวดวิงวอนจากมิสเตอร์แฮงแมน… อยากให้เราช่วยทำให้อ็อบนิสเป็นมิตรกับเขา ยินดีตอบแทนด้วยไดอารีจักรพรรดิโรซายล์จำนวนสิบห้าหน้า หรือไม่ก็ภารกิจอื่นที่มีมูลค่าเท่าเทียม… เขาพัฒนาตัวเองเร็วมาก… ไคลน์บนเก้าอี้เดอะฟูล แผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับดวงดาวสีแดงเข้มที่กำลังยุบพองตัว

ชายหนุ่มครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะตอบ

“จงสืบค้นข้อมูลของนาวาเอกแห่งกองทัพเรือฟุซัคทุกคนที่เข้าร่วมสงครามโคโนโต้ในปี 1338”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ อาศัยคำบอกเล่าของวิญญาณ ‘นักสอบสวน’ ที่ตายในปี 1338 ด้วยฝีมือกองทัพเรือฟุซัค ไคลน์ผุดชื่อสงครามกลางทะเลที่สอดคล้องกับข้อมูลดังกล่าว

ตลอดทั้งปี 1338 ความสัมพันธ์ของโลเอ็นกับฟุซัคตึงเครียดอย่างหนัก เกิดการกระทบกระทั่งหลายครั้ง แต่มีเพียงสงครามเดียวที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับนาวาโท นั่นคือสมรภูมิทางทะเลที่เกิดขึ้นแถบโคโนโต้ทางชายฝั่งไบลัมตะวันออก

และในกองเรือฟุซัค จำนวนนาวาเอกต้องมีไม่มากแน่นอน!

ท่ามกลางท้องทะเลลึกที่มืดมิด อัลเจอร์·วิลสันได้เห็นหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล

ให้เราสืบข้อมูลนาวาเอกทุกคนของกองทัพเรือฟุซัคที่ร่วมรบในสงครามโคโนโต้ปี 1338… เหตุใดมิสเตอร์ฟูลถึงสนใจนายทหารตัวเล็กๆ เช่นนี้? มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่? อัลเจอร์เริ่มใจเต้นแรง ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบรับในทันที

“ประสงค์ของท่านคือประสงค์ของข้า”

งานดังกล่าวอาจฟังดูค่อนข้างยากสำหรับอัลเจอร์ แต่ก็ไม่อันตราย เป็นประเภทที่ฝืนทำให้สำเร็จได้

หลังจากตอบสนอง อัลเจอร์ได้ยินเสียงทุ้มของมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง

“กลับไปหาเป้าหมายได้เลย”

เสร็จแล้ว? สมกับเป็นมิสเตอร์ฟูล! หลังจากได้ยึดครองอำนาจ ท่านทำตัวสมกับฉายา ‘เทพสมุทร’ ยิ่งกว่าคาเวทูว่าเสียอีก… ขอบเขตอำนาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหมู่เกาะรอสต์อีกต่อไป! อัลเจอร์เปี่ยมความสุข ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยท่าทีขึงขัง จากนั้นก็เอนหลัง กางขาออก พุ่งลงไปยังส่วนลึกของทะเล

ไม่กี่นาทีถัดมา มันกลับมาถึงเขตภูเขาไฟใต้ทะเลลึก มองเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ รวมถึง ‘หนวด’ ขนาดมหึมาที่ยังคงสะบัดอย่างต่อเนื่อง มองยังไงก็ดูไม่เหมือนสงบลง

แม้อัลเจอร์จะไม่เคลือบแคลงในอำนาจและบารมีของเดอะฟูล เชื่อว่าอีกฝ่ายคือเทพบรรพกาลที่กำลังฟื้นคืนพลัง แต่เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าเต็มสองตา ความหวาดระแวงพลันผุดขึ้นตามสัญชาตญาณ ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง

มันเดาเอาว่า การสะบัดหนวดจำนวนมากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส คงเป็นการเชื้อเชิญให้ตนเข้าไป

ในเวลาเดียวกัน เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่กำลังถือคทาเทพสมุทร ขมวดคิ้วชนกันอย่างฉงน

ไม่ยอมสื่อสารกับเทพสมุทร… แถมยังแผ่ความเกลียดชังอย่างชัดเจน ไม่อยากผูกมิตรด้วย… ไคลน์พึมพำคล้ายกับคนปวดฟัน

มันล้มเหลวในการผูกมิตรกับสัตว์ทะเลรอบๆ ตำแหน่งที่สวดวิงวอน!

ด้วยเหตุผลบางประการ สัตว์ทะเลอ็อบนิสสามารถต้านทานพลังพิเศษที่สามารถผูกมิตรกับสัตว์ทะเล!

ณ ตอนนี้ ฉากในจอสวดวิงวอนคือภาพของหนวดยักษ์ที่กำลังสะบัดอย่างเกรี้ยวกราด ไคลน์สัมผัสได้ถึงความโกรธ อีกฝ่ายคงคิดจะทำลายทุกสรรพสิ่งที่ย่างกรายเข้าไปใกล้มัน

มิสเตอร์แฮงแมนกำลังเข้าไปใกล้… ใกล้มากแล้ว… ทำยังไงดี… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น

ชายหนุ่มยกคทาเทพสมุทร ปล่อยให้อัญมณีสีฟ้าสว่างขึ้นทีละเม็ด เปล่งประกายระยิบระยับ!

ในวินาทีถัดมา มันแผ่ออร่าอันท่วมท้นของ ‘พายุสายฟ้า’ และส่งไปหาสัตว์ทะเลอ็อบนิส

กลุ่มหนวดหนาๆ ที่กำลังอาละวาดอยู่ปากถ้ำก้นทะเลพลันแข็งทื่อ ร่วงหล่นลงพื้นอย่างอ่อนแรงในทันที ภายในถ้ำที่มืดและเงียบสงบ จุดแสงสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้น

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังอึกทึก สัตว์ทะเลที่สามารถกลืนเรือใบได้ทั้งลำค่อยๆ คลานออกมา ร่างกายสีดำของมันมีลวดลายมหึมาและบิดเบี้ยว มีสามเศียร มีดวงตามากกว่าสิบสองดวงในแต่ละหัว ทุกดวงล้วนเปล่งแสงสีเขียว!

สัตว์ทะเลตนดังกล่าวกำลังคลานออกมาด้วยท่าทีเซื่องซึมประหนึ่งสุนัขเฝ้าบ้าน

เป็นอย่างที่คิด… การสื่อสารจำเป็นต้องใช้วาทศิลป์สักเล็กน้อย… ไคลน์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เริ่มใช้พลังพิเศษเพื่อผูกมิตรกับอ็อบนิส สื่อสารในระดับจิตวิญญาณ สั่งให้สัตว์ทะเลอ้าปากทั้งสามพร้อมกัน

นั่นทำให้อัลเจอร์ได้เห็น ‘ปากถ้ำ’ ขนาดใหญ่สามแห่งตรงหน้า ทุกทางเข้าสามารถนำเรือใบแล่นเข้าไปจอดได้สบาย

มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ… อัลเจอร์แหงนหน้ามองฉากสุดอลังการ อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ

มันไม่มัวเสียเวลา เลือกเข้าไปในศีรษะกึ่งกลาง ว่ายน้ำด้วยความเร็วสูง

อุโมงค์คดเคี้ยวปรากฏขึ้นในการมองเห็นของอัลเจอร์ สองฝั่งคือผนังเลือดเนื้อ ความกว้างเทียบเท่าดาดฟ้าหัวเรือโทสะสีคราม

ซู่ว! กระแสน้ำเริ่มไหลทะลักเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ อัลเจอร์ไม่พลาดโอกาส ปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามธรรมชาติ

ทันใดนั้น มันรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในตอนที่เพิ่งกลายเป็นอาชีพ ‘ลูกเรือ’ หมาดๆ ต้องคอยรับมือกับคลื่นทะเลอย่างยากลำบาก ถูกโยนไปมาจนศีรษะวิงเวียน ยากที่จะรักษาสมดุลร่างกาย

จนกระทั่งอัลเจอร์ใช้พลังพิเศษเพื่อประคองตัว มันถูกส่งออกจากอุโมงค์เลือดเนื้อมายังโลกที่มืดมิดและว่างเปล่า ฝ่าเท้าสัมผัสความรู้สึกเหนียวหนืด กลิ่นเหม็นอับลอยโชยจากทุกสารทิศ

ไม่กี่วินาทีถัดมา อัลเจอร์พบว่าของเหลวในที่แห่งนี้กำลังกัดกร่อนร่างกายตน จึงรีบสร้างเยื่อบางๆ ปกคลุมร่างกาย ขยายขนาดออกไปจนกลายเป็นลูกบอลสีใส

มันทราบทันทีว่าตนได้มาอยู่ในท้องอ็อบนิสเรียบร้อยแล้ว จึงรีบหยิบวัตถุดิบพี่พกติดตัวออกมา รวมถึงขวดและกระป๋องที่เตรียมไว้ เริ่มลงมือปรุงโอสถ

วัตถุดิบเสริมถูกโยนลงในขวดโลหะปากกว้างทีละชิ้น ผสมกันจนกลายเป็นของเหลวสีน้ำเงินเข้ม ถัดมา อัลเจอร์ใส่ ‘แมงกะพรุน’ สีใสที่ห่อหุ้มด้วยเยื่อน้ำทะเลสีฟ้าอย่างระมัดระวัง

เสียงร้องอันล่องลอยและไพเราะดังขึ้นกะทันหัน แต่ไม่นานก็สงบลง ของเหลวในขวดโลหะปากกว้างปราศจากแรงกระเพื่อมหรือฟองอากาศโดยสิ้นเชิง สงบนิ่งประหนึ่งมหาสมุทรก่อนพายุก่อตัว

อัลเจอร์สงบสติ เข้าฌานทำสมาธิ จากนั้นก็หยิบขวดโลหะขึ้น กระดกดื่มโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ อึกอึกรวดเดียวจนเกลี้ยง

ของเหลวที่เย็นเยียบและชวนให้มึนงงไหลไปทั่วหลอดอาหาร แผ่ซ่านลงกระเพาะ แพร่กระจายไปยังทุกเซลล์ในพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์

ในวินาทีนี้ อัลเจอร์พลันท่วมท้นไปด้วยเสียงมากมาย ทั้งหมดมาจากสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยรอบ แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้โดยร่างกายของสัตว์ทะเลอ็อบนิส เหลือเพียงเสียงตกค้างที่คลุมเครือ

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

อัลเจอร์รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นแรงพร้อมกับสูบฉีดเลือด พลังวิญญาณ และคลื่นเสียงไปทั่วร่างกายอย่างหนักหน่วง ค่อยๆ เปลี่ยนเส้นเสียงและโครงสร้างทางวิญญาณของตน

มันอ้าปากค้างอาจมิอาจควบคุม พ่นลมหายใจครั้งใหญ่

ขณะลมหายใจพุ่งออก อัลเจอร์พบว่าร่างวิญญาณของตนฉีกขาดเล็กน้อย เมื่อคลื่นเสียงแพร่กระจายออกไปทุกทิศ เกล็ดปลาเริ่มปรากฏบนผิวหนังในหลายจุด จากนั้นก็ยืดออกเป็นเนื้อยาว วิวัฒนาการกลายเป็นโหนวดโบกสะบัด

คลื่นเสียงแผ่ไปรอบทิศพร้อมกับชิ้นส่วนร่างวิญญาณที่ฉีกขาด สัมผัสกับเมือกในท้องของสัตว์ทะเลอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ของร่างกาย

อัลเจอร์ที่เกือบจะคลุ้มคลั่ง เริ่มฟื้นคืนสติกลับมาหลายส่วน รีบฉวยโอกาสตรงหน้าโดยไม่ลังเล ไม่เขินอายต่อสิ่งใด ร้องเพลงเพื่อระบายคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นในร่างกายออกไป ป้องกันไม่ให้ร่างกายระเบิด

เสียงเพลงที่อัดแน่นด้วยความหยาบกระด้าง ยุ่งเหยิง และแหบพร่าประหนึ่งเฮฟวี่เมทัล ดังกังวานไปรอบทิศ ผสมผสานกับเศษชิ้นส่วนร่างวิญญาณ จากนั้นก็ปะทะกับของเหลวเหนียวหนืดในกระเพาะอาหารของอ็อบนิส สะท้อนกลับมาหาอัลเจอร์อีกครั้ง

ระหว่างกระบวนการ อัลเจอร์เปรียบดังวัตถุดิบที่ถูกอบในเตาคลื่นเสียง ค่อยๆ ถูกขัดเกลาทีละนิด

ท้ายที่สุด มันได้รับสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายกลับคืนมา ก่อนอื่นจึงรีบยับยั้งพลังวิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่าน

สำเร็จแล้ว… อัลเจอร์หลับตาลง รอยยิ้มที่มิอาจเก็บซ่อนกำลังฉาบบนใบหน้า

มันบรรลุเป้าหมายที่วางแผนมานานหลายปี เลื่อนลำดับเป็น ‘ผู้ขับขานสมุทร’ สำเร็จ!

เราเริ่มควบคุมสายฟ้าได้เล็กน้อย… กิจกรรมใต้น้ำทั้งหมดถูกยกระดับและเพิ่มความหลากหลาย สามารถดำรงชีวิตใต้น้ำได้นานขึ้น และยังมีพลังในการสร้างอิทธิพลต่อเป้าหมายด้วยเสียงเพลง… เสียงเพลงของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน แยกได้หลายแขนง มีทั้งการก่อกวนร่างวิญญาณของศัตรูด้วยเสียงร้องที่ไพเราะ ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ หรือไม่ก็เพิ่มพลังทางกายภาพของตัวเองในพริบตา หรือไม่ก็จำลองเสียงฟ้าร้อง ทำให้ศัตรูตกใจและชะงัก หรือไม่ก็เสียงร้องสุดห่วยแตกที่ทำให้ศัตรูเกิดความหงุดหงิด ระเบิดโทสะออกมาอย่างเกรี้ยวกราด… อัลเจอร์ค่อยๆ ตรวจสอบสถานภาพของตน สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว

มันรีบขจัดความคิดฟุ้งซ่าน เก็บข้าวของ ว่ายทวนน้ำตรงไปยังบริเวณปากของสัตว์ทะเลอ็อบนิส ใช้มือเคาะปากที่กำลังปิดสนิท

ปากขนาดมหึมาค่อยๆ อ้ากว้าง ก่อนจะคำรามและพ่นทุกสิ่งด้านในออกมาจนหมด

ร่างกายอัลเจอร์พุ่งแหวกน้ำทะเลด้วยความเร็วสูงประหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เกือบชนเข้ากับฉลามตัวหนึ่ง

หลังจากผ่านอะไรมากมาย มันโผล่ศีรษะขึ้นจากผิวน้ำ ว่ายไปยังตำแหน่งของโทสะสีคราม

จนกระทั่งเค้าโครงของเรือผีสิงปรากฏในการมองเห็น อัลเจอร์เกิดความโล่งใจจากก้นบึ้ง

หนึ่งในสิ่งที่มันกังวลก็คือ ขณะที่ตนออกไปเลื่อนลำดับ โทสะสีครามอาจเกิดอาการผิดปรกติขึ้นพอดี

แม้ว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงจะไม่มากมายอะไร แต่โลกนี้มักเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสมอ

ไคลน์ที่ได้รับการขอบคุณจากแฮงแมนอีกครั้ง ส่งตัวเองกลับมายังโลกความจริง ล้างมือจนสะอาดและเช็ดให้แห้ง ออกจากห้องน้ำ เดินกลับไปยังโถงรับประทานอาหาร

เมื่อได้กลิ่นอาหารแตะจมูก ชายหนุ่มสูดลมหายใจแผ่วเบา เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับเล็กน้อยและนั่งลง

ขณะนี้ งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงขนมหวาน

เราอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปสินะ… หวังว่าจะไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับอาการท้องเสียของดอน·ดันเตสแพร่กระจายออกไป… ไคลน์พึมพำ หันไปยิ้มให้มาดามวิลลิสทางด้านขวามือ

“เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยกินอาหารแปลกๆ ของทวีปใต้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือเบอร์รี่เทเน็ต รสชาติคล้ายวิปครีม เหมือนกับของหวานจานนี้มาก”

ชายหนุ่มแถแบบมีวาทศิลป์ว่า ที่ตนกลับมาจากห้องน้ำช้าก็เพราะสมัยเด็กเคยทำร้ายลำไส้ตัวเองหลายครั้ง

…………………………………………………………………..