ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 29 ตั๊กแตนจับจักจั่น มิได้ระวังนกด้านหลัง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เจ้าเมืองอนันต์ เขามีผิวหนังสีเขียว บนศีรษะยังมีเขาโค้งสีแดงโลหิตอยู่สองอันด้วย เพียงแต่นัยน์ตาของเขากลับเต็มไปด้วยความสงบ แม้กระทั่งสัตว์ที่อ่อนแอไร้ซึ่งสติปัญญาเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองอนันต์ ก็ยังมิอาจรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย เจ้าเมืองอนันต์ก็คล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ ไม่มีกลิ่นอายใดๆ ทั้งยังไม่มีความกดดันคุกคามใดๆ เลยด้วย สามัญธรรมดาอย่างที่สุด

“ท่านเจ้าเมือง รบกวนท่านแล้ว” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาถ่ายเสียงพูด มาถึงสถานะเช่นเขา ย่อมไม่ขอความช่วยเหลือผู้ใดโดยง่าย แต่ในบรรดายอดฝีมือใต้บังคับบัญชาของเขา ‘เจ้าเมืองอินทรี’ ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญ เขาก็ยังต้องคุ้มครองอยู่

“เรื่องเล็กเท่านั้นน่า” เจ้าเมืองอนันต์ถ่ายเสียงตอบกลับมา

เพียงแต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ห่างๆ เช่นเดิม

ที่ทิศทางอันไกลโพ้นนั้น…

เขาสัมผัสได้ถึงสหายเก่าที่คุ้นเคยคนหนึ่ง

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะกลับมาแล้ว” เสียงของเจ้าเมืองอนันต์สื่อสารกับบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นอีกคนหนึ่งผ่านทางความคิด

“ฮ่าฮ่า ข้าก็รู้อยู่ว่าข้าเปิดเผยกลิ่นอายเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องถูกเจ้าค้นพบได้อย่างแน่นอน! ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา คนอื่นข้าล้วนปกปิดได้ทั้งสิ้น ก็มีแต่เจ้าที่ข้าปกปิดมิได้” ความคิดของบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นผู้นั้นแฝงเอาไว้ด้วยความตายและการผลาญทำลาย รับสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ทำให้วิญญาณคล้ายกับติดเข้าไปในห้วงความฝันอันไร้ที่สิ้นสุดที่มิอาจตื่นขึ้นได้

เจ้าเมืองอนันต์พูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่ก้าวออกมาจากจุดนั้นอีกหรือ ตอนนั้นเจ้าก็เย่อหยิ่งลำพองเป็นอย่างยิ่ง ไปจากดินแดนจิตโลกาเพื่อเบิกทางของเจ้าเองเสียแล้ว ยังคิดว่าผ่านไปเป็นเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ เจ้าจะได้ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังเหมือนกับข้าอยู่เลย”

“การก้าวออกมาจากจุดนั้นมันง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ความคิดอันน่าหวาดหวั่นสายนั้นเงียบงันไปครู่หนึ่งจึงค่อยตอบกลับมา

“เจ้าดันไม่ยอมคว้าโอกาสอันดีที่สุดเอาไว้! นับจากนี้ไปเจ้าก็เหลือเพียงแค่การใช้พลังทำลายกฎเพียงทางเดียวเท่านั้นแล้วล่ะ” เจ้าเมืองอนันต์ถ่ายเสียงพูด “แต่เจ้าเมืองหลัวแห่งแผ่นดินต้นกำเนิดในตำนานผู้นั้นก็เดินบนเส้นทางการใช้พลังทำลายกฎ บางทีเจ้าอาจจะสำเร็จก็ได้!”

“อย่ามีความสุขบนเคราะห์ร้ายของผู้อื่นเลย”

ความคิดอันน่าหวาดหวั่นถูกเก็บกลับมาอย่างรวดเร็ว คร้านจะพูดอะไรมากอีก

ใช้พลังทำลายกฎ เส้นทางสายนี้ช่างยากเย็นยิ่งนัก

เจ้าเมืองอนันต์ก็เก็บความคิดกลับมาเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะสนทนากันอย่างง่ายๆ ไม่กี่ประโยค แต่เขาก็ยังพูดด้วยเสียงต่ำเบาๆ “แล้วก็พ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง ฮึ มิได้สั่งสมอย่างเพียงพอก็ไปจากดินแดนจิตโลกาไปยังการต่อสู้สุดท้ายแล้วหรือ”

******

ณ รัฐเหินประจิม

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแขนขนาดยักษ์ที่ขวางอยู่บนท้องฟ้าที่จับกุมตัวเจ้าเมืองอินทรีเอาไว้นั้น จากนั้นก็เก็บกลับมาและหายไปอย่างง่ายดาย อดที่จะตื่นตระหนกมิได้

“เจ้าเมืองอนันต์ เมื่อใดข้าจึงจะสามารถไปถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้บ้างเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงริษยาเป็นอย่างยิ่ง ต้องไปถึงระดับสุดยอดอย่างแน่นอน แล้วก็สามารถพาญาติสนิทมิตรสหายไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ได้ ถึงอย่างไรอากาศอันสับสนอลหม่านก็อยู่ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกามากเหลือเกิน ถ้าหากในอนาคตตนไม่สามารถพาคนไปได้ไกลผ่าน ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ก็ได้แต่เลือกโลกกำเนิดใกล้ๆ แทนแล้ว

“รีบออกไปให้เร็วที่สุด”

มือกุมหอกเทพเมฆาแดงแล้วมุ่งหน้าเข้าไปด้วยความเร็วสูง

ห้วงอากาศบิดเบี้ยว พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ! เพียงชั่วพริบตาก็เคลื่อนย้ายไปแปดครั้งสิบครั้ง เพียงไม่นานก็พุ่งผ่านระยะห่างช่วงสุดท้ายไปเสียแล้ว ถึงอย่างไรระยะทางแสนล้านลี้ทั้งค่ายกล ในตอนแรกตนก็อยู่ห่างจากชายขอบหลายหมื่นล้านลี้

“ออกมาแล้ว”

ถึงแม้ค่ายกลจะร้ายกาจ แต่การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดกลับสามารถผ่านออกมาได้อย่างง่ายดาย

“เฮ้อ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนลมหายใจ หลังออกมาแล้วการเคลื่อนที่ในพริบตาครั้งเดียวก็มาถึงที่ไกลๆ แล้ว ใช้การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดปกปิดร่างกาย นี่จึงจะสามารถพินิจดูการห้ำหั่นของพวกจักรพรรดิซวงกู่กับบรรพชนเหินประจิมและจอมเคารพสะบั้นฟ้าได้อย่างสบายๆ

“ดูท่าทางคราวนี้พวกบรรพชนเหินประจิมคงจะฆ่าไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบพึมพำ

ก็ใช่

ระดับเทพจักรวาลขั้นที่สอง จะฆ่าแกงได้ง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไรกัน นอกเสียจากเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานลงมือโดยตรง แต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานแต่ละคนก็เป็นระดับสูงสุดของดินแดนจิตโลกา จึงได้รักษาหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ศัตรูจำนวนหนึ่งทั่วทั้งสี่ทิศ… พวกเขากลับยอมปล่อยเลยตามเลย สำหรับพวกเขาแล้วก็เป็นการเคี่ยวกรำอย่างหนึ่งสำหรับเทพจักรวาลใต้บังคับบัญชา

“ปัง” “ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปในทันที มองดูทิศใต้และทิศเหนือ การรับสัมผัสเข้าสู่ภายในแก่นห้วงอากาศของเขาเฉียบแหลมเพียงใด สามารถรับสัมผัสสถานที่สองแห่งอยู่ห่างๆ ได้ ว่ากำลังแยกกันเกิดมหาสงครามขึ้น

“สงครามหรือ”

“ก่อนหน้านี้ข้ารอคอยมาห้าหมื่นกว่าปีก็ไม่มีสงครามเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว! ตอนนี้พวกบรรพชนเหินประจิมลงมือ เจ้าเมืองอนันต์ยื่นมือช่วยเหลือคน สถานที่อื่นๆ ก็เกิดสงครามขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ พวกเขาพบตัวสี่วายร้ายเหินประจิมคนอื่นๆ แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการสอดแนมในทันที

สอดแนมทางทิศใต้ก่อน

ณ สถานที่ห่างไกลทางทิศใต้ สงครามเป็นไปทั้งสองด้าน

คนหนึ่งคือผู้แกร่งกล้าที่สวมชุดเกราะดำ มือกุมดาบคู่ เงาร่างราวกับมายา ประกายดาบทุกสายลอยผ่านแต่กลับทำให้บริเวณโดยรอบถูกผลาญทำลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง เปลี่ยนแปรกลายเป็นความไร้ซึ่งสรรพสิ่ง คู่ต่อสู้ของเขาก็คือ ‘จ้าวมารจิตทราม’ หนึ่งในสี่วายร้ายเหินประจิม ขณะนี้จ้าวมารจิตทรามต้านทานอย่างยากลำบาก ในขณะเดียวกันร่างกายที่ถูกปะทะครั้งแล้วครั้งเล่าก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นกระแสน้ำ

“เป็น ‘ผู้บัญชาการใหญ่ฮุ่ยเยว่’ แห่งรัฐโบราณบรรพชน ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพ คาดว่าเขาน่าจะหาตัวจ้าวมารจิตทรามพบอย่างลับๆ นานแล้ว… รอให้พวกบรรพชนเหินประจิมและจอมเคารพสะบั้นฟ้าลงมือ เขาก็อาศัยโอกาสจัดการจ้าวมารจิตทรามในทันทีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะย่ำแย่กว่าอยู่พอสมควร แต่อยากจะสังหารจ้าวมารจิตทรามก็มิได้ง่ายดาย”

ผู้บัญชาการใหญ่ฮุ่ยเยว่

เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ แห่งรัฐโบราณบรรพชน ผู้ที่บรรพชนราตรีนิรันดร์เชื่อมั่นมากที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์ที่เขาสรรสร้างขึ้นมาอยู่แล้ว ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ฮุ่ยเยว่นั้นมิใช่เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์ แต่เพราะว่าพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุดจึงได้มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุดในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนราตรีนิรันดร์

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังทลายโลกาสอดแนมการต่อสู้ทางทิศเหนือด้วย

ณ บริเวณที่ห่างไกลอย่างที่สุด

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก

ผู้ที่ถูกไล่ล่าสังหารอยู่ก็คือ ‘จ้าวมารเพลิงพิโรธ’ หนึ่งในสี่วายร้ายเหินประจิม มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุด มิอาจถูกยุแหย่ได้โดยง่าย แต่ในขณะนี้จ้าวมารเพลิงพิโรธกลับหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน

“เป็นเขาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นว่าผู้ที่ไล่ล่าจ้าวมารเพลิงพิโรธอยู่ก็คือบุรุษที่มีขนคิ้วสีแดง ศีรษะล้านดูชั่วร้ายคนหนึ่ง บนใบหูของเขามีงูเล็กสีทองสองตัวแขวนอยู่ ในมือของเขากุมไม้เท้าเอาไว้พลางไล่ล่าสังหารด้วยสีหน้าเยียบเย็น

“เจ้าลัทธิเก้าพิษหรือ”

ในที่สุดก็ได้เห็นคนของรัฐโบราณคิมหันตวายุคนหนึ่งแล้ว

คราวนี้ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่เข้าร่วมการต่อสู้ชิงตำแหน่งอย่างเปิดเผยก็มีอยู่สามคน ‘มหาเคารพฝูอี่’ ผู้มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว คาดว่ามหาเคารพฝูอี่คงรังเกียจที่จะออกมาห้ำหั่นแย่งชิง ส่วนอีกสองคนก็คือ ‘จอมเคารพมารอัคคี’ และ ‘เจ้าลัทธิเก้าพิษ’ เจ้าลัทธิเก้าพิษนั้นมีชื่อเสียงในการใช้พิษทิพย์ ยากยิ่งที่จะไปยั่วยุ อาศัยไม้เท้าอันเป็นสมบัติลับล้ำค่า พิษทิพย์ของเขาก็ยิ่งน่าหวั่นกลัว

ก็ไม่น่าสงสัยเลยว่า ‘จ้าวมารเพลิงพิโรธ’ จะเสี่ยงชีวิตหลบหนี

“หืม ลองดูหน่อย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงออกไปในทันที ตอนนี้เขาเคลื่อนที่ในพริบตาออกไปเป็นระยะทางห่างไกล การเคลื่อนที่ในพริบตาเพียงแค่ครั้งเดียวก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ สนามรบนั้นแล้ว เพราะว่าสองฝ่ายกำลังไล่ล่าสังหาร ห้วงมิติจึงเยือกแข็ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้โดยอาศัยการเคลื่อนย้ายห้วงอากาศ

******

จ้าวมารเพลิงพิโรธรู้สึกว่าร่างกายยากจะต้านรับ พิษทิพย์ก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย แม้กระทั่งอาศัยวิญญาณผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นที่สองของเขาก็ยังคงรู้สึกวิงเวียนอยู่ดี เขาได้แต่ฝืนกดดันเอาไว้ ตอนนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แต่ถ้าหากห้ำหั่นต่อไปอีกก็อันตรายเสียแล้ว

ถ้าหากไม่มีคนไล่ล่าสังหาร เขาก็สามารถค่อยๆ ขจัดพิษทิพย์ออกไปได้อย่างวางใจ แต่ตอนนี้ ‘เจ้าลัทธิเก้าพิษ’ กำลังไล่ล่าสังหารอยู่ด้านหลัง

“สมควรตาย เจ้าลัทธิเก้าพิษก็มาร่วมวงด้วย”

จ้าวมารเพลิงพิโรธยอมเผชิญกับผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพคนอื่นๆ แต่ไม่อยากจะเผชิญกับเจ้าลัทธิเก้าพิษผู้นี้เลย

“ท่านบรรพชน ท่านบรรพชน เจ้าลัทธิเก้าพิษกำลังไล่ล่าสังหารข้าอยู่ ข้าใกล้จะต้านรับไม่ไหวแล้ว” จ้าวมารเพลิงพิโรธถึงกับถ่ายเสียงขอความช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าจะยังสามารถต้านรับได้อีกชั่วระยะหนึ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” บรรพชนเหินประจิมไม่กล้าผัดผ่อน

“ตายเสียเถิด”

เจ้าลัทธิเก้าพิษก็ไล่ล่าสังหารอยู่อย่างสุดกำลัง เขาก็กลัวว่าบรรพชนเหินประจิมจะปรากฏตัวขึ้นแล้วมาพาตัวคนไป

ทันใดนั้นเอง…

พรึ่บ

ลำแสงห้าสายปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือนแล้วห่อหุ้มจ้าวมารเพลิงพิโรธเอาไว้

นอกจากนี้ยังมีเขตลวงโลกเทียมที่น่าหวาดหวั่นแทรกเข้าไปในวิญญาณของจ้าวมารเพลิงพิโรธด้วย

“แย่แล้ว” จ้าวมารเพลิงพิโรธถูกเขตลวงโลกเทียมบุกแทรกเข้าไป พลันรู้สึกว่ามีความรู้สึกจ่อมจมลงไป ในขณะนี้เขาก็เข้าใจว่าเมื่อใดที่จ่อมจมลงไปก็หมดสิ้นแล้ว ปณิธานที่จะต่อสู้สุดชีวิตของเขาดิ้นรนกระเสือกกระสน แต่ภายใต้อิทธิพลของพิษทิพย์ก็ทำได้เพียงแค่ฝืนรักษาสติเอาไว้เท่านั้น พยายามโบกสะบัดอาวุธในมือ แต่ก็ไม่สามารถสำแดงเคล็ดวิชาอันร้ายกาจใดๆ ออกมาได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสั่นคลอนห้วงมิติผนึกห้าภาพเลย

พรึ่บ

ห้วงมิติผนึกห้าภาพหดเล็กลงอย่างฉับพลัน

“หยุดมือนะ” บรรพชนเหินประจิมปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาฟาดฝ่ามือหนึ่งมาอย่างโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง แต่หอกยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากกลางอากาศแล้วต้านรับการโจมตีอันเดือดดาลของบรรพชนเหินประจิมเอาไว้

เนิ่นช้าไปเพียงชั่วพริบตา

ห้วงมิติผนึกห้าภาพที่หดเล็กลงก็ถูกเก็บเข้าไปในลูกแก้วห้าภาพบนข้อมือของตงป๋อเสวี่ยอิง

“สำเร็จแล้วหรือ” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังรู้สึกตื่นเต้นยินดี

เขารู้สึกเพียงว่าจ้าวมารเพลิงพิโรธถูกไล่ล่าสังหาร ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะที่ไม่ถูกต้อง สูญเสียพลังยุทธ์ไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีบ้างที่มิได้จัดการได้ในรวดเดียว! ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันบ้างก็ได้กระมัง อาศัยการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด เขาก็มาถึงข้างกายจ้าวมารเพลิงพิโรธอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง เขตลวงโลกเทียมและเคล็ดผนึกห้าภาพก็ห่อหุ้มเข้าไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จได้แล้วจริงๆ!

“อิงซานเสวี่ยอิง!” บรรพชนเหินประจิมเดือดดาลหาใดเปรียบ

คราวนี้เขายังคิดจะซุ่มโจมตีสักครา ทำให้เทพจักรวาลที่มาล่าสังหารเหล่านั้นประสบเคราะห์ร้าย ต่อให้ฆ่าไม่ตาย ก็สามารถทำให้พวกเขาได้รู้ว่ามิอาจมายั่วยุรัฐเหินประจิมได้โดยง่าย

ภายใต้สถานการณ์ปกติ

ตามปกติเทพจักรวาลที่พวกเขาสังหารไม่ได้ เทพจักรวาลเหล่านั้นโดยทั่วไปแล้วก็ยากนักที่จะฆ่ามารระดับสุดยอดของรัฐเหินประจิมให้ตายได้! ถึงอย่างไรก็มีบรรพชนเหินประจิมคุ้มครองอยู่!

แต่ว่า…

คราวนี้จ้าวหิมะเหินยังสามารถกัดเนื้อคำหนึ่งบนร่างของพวกเขาได้จริงๆ บรรพชนเหินประจิมก็ทั้งตกใจทั้งโมโห

“รีบไปเร็วเข้า”

ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตื่นเต้นยินดี เขารักษาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดเอาไว้ในทันทีโดยไม่กล้าลังเล แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็วเสียงดังสวบ

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนเหินประจิม รวมถึงเจ้าลัทธิเก้าพิษด้วย ก็ย่อมไม่มีทางค้นพบตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ระหว่างการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้เลย

“ทำชุดแต่งงานให้เจ้าเด็กรัฐเมฆทักษิณานั่นอย่างนั้นหรือ” เจ้าลัทธิเก้าพิษก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ แต่ก็ยังอาศัยตอนที่เจ้าเมืองอนันต์ลงมือทดลองดู แต่คิดไม่ถึงว่าอิงซานเสวี่ยอิงชิงเด็ดผลไม้ไปเสียแล้ว

…………………………………………….