ณ พระราชวังเอลฟ์ หลัวหมิงรุ่ย หลัวหมิงซีและหยางเสวียนนำคนไปปิดล้อมรอบเรือนที่มีห้องบรรทมของราชินีเอลฟ์ด้วยสีหน้ามุ่งร้ายอย่างชัดเจน

เพียงหลังจากหลัวจื้อเลี่ยออกจากเมืองราชวงศ์เอลฟ์และกลับไปยังเผ่าของเขาได้ไม่นาน หลัวหมิงรุ่ยก็อดใจรอที่จะดำเนินแผนการไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร เขาก็หมายมั่นที่จะเป็นราชาแห่งชนเผ่าเอลฟ์ให้จงได้

แรกเริ่มเดิมที เขาไม่มีแผนการที่จะกระทำสิ่งใดโหดเหี้ยมหรือว่าสังหารราชินีเอลฟ์ อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทำให้เขาตระหนักถึงวิกฤตที่อาจมาถึง เพราะเหตุนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะฉวยโอกาสในช่วงนี้ยึดอำนาจปกครองชนเผ่าเอลฟ์เสียเอง มิฉะนั้นเขาอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกเลย

เมื่อทราบแผนการของหลัวหมิงรุ่ย หลัวหมิงซีก็แอบส่งข่าวไปบอกกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทันที ในเวลานี้องค์ชายใหญ่ก็ไว้วางใจเขามากแล้วจึงไม่คิดปิดบังเรื่องนี้จากหลัวหมิงซีอีกต่อไป

“ไสหัวไปให้พ้น !”

คราก่อน หลัวจื้อเลี่ยแทนที่กลุ่มองครักษ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันบริเวณโดยรอบของห้องบรรทมราชินีเอลฟ์ด้วยกลุ่มคนที่ไว้วางใจได้ซึ่งส่งผลให้แผนการของหลัวหมิงรุ่ยดำเนินการได้ยากขึ้นมาก ทว่าครานี้เขาก็ไม่คิดที่จะรามือเช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดกล้าขัดขวาง เขาก็ไม่ลังเลที่จะเหยียบข้ามศพคนเหล่านั้นเพื่อไปถึงเป้าหมายของตน

อี้หานเทียนนำกลุ่มผู้พิทักษ์หลายสิบคนคุ้มกันหน้าห้องบรรทมของราชินีเอลฟ์โดยไม่คิดที่จะล่าถอย ในฐานะองครักษ์ผู้ภักดีต่อราชินีเอลฟ์ หากผู้ใดคิดร้ายต่อราชินี คนเหล่านั้นก็จะต้องข้ามศพของพวกเขาไปก่อน

“พี่ใหญ่ เราไม่ต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้งก่อนรึ ? เหล่าผู้อาวุโสในชนเผ่ามิใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่ายเลย หากเราทำให้พวกเขาหงุดหงิดขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงไม่ยินยอมทำตามความปรารถนาของท่านแน่”

หลัวหมิงซีลังเลครู่หนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงหลัวหมิงรุ่ย

แท้ที่จริงตอนนี้เขาเป็นกังวลอย่างที่สุด ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในเผ่าเพียวเหมี่ยวและอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามวันจึงจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้ หากไม่สามารถยื้อเวลาไปจนถึงอีกสามวันข้างหน้า เกรงว่าพวกนางก็จะมาไม่ทันการและทุกอย่างจะสายเกินไป

หากหลัวหมิงรุ่ยสังหารราชินีเอลฟ์ได้สำเร็จ สองพี่น้องหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยจะต้องเดือดดาลอย่างมาก เมื่อถึงตอนนั้น ภายในชนเผ่าเอลฟ์จะเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้และนั่นจะส่งผลกระทบต่อทั้งชนเผ่า

ยิ่งไปกว่านั้น ในหลายวันที่ผ่านมานี้ หลัวหมิงซีก็ได้เข้าใจการปฏิบัติและการกระทำทั้งหมดที่ราชินีเอลฟ์ทำต่อตนมากขึ้น

ราชินีเอลฟ์รักบุตรทั้งหกคนไม่ต่างกันทว่าวิธีการปฏิบัติต่อทุกคนนั้นแตกต่างกันออกไป นางหวังว่าบุตรทั้งหกจะสามารถพึ่งพาตัวเองและมีทางเดินของตนในขณะที่กลายเป็นผู้สูงส่งซึ่งได้รับความเคารพจากทุกคน

สำหรับแผนการสังหารราชินีเอลฟ์ของหลัวหมิงรุ่ย เขาไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อยและก็ไม่เต็มใจอย่างมาก เพียงแต่ตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไปและมิอาจขัดขวางพี่ใหญ่ได้อย่างเปิดเผย เมื่อไม่เห็นทางอื่น เขาก็ทำได้เพียงสรรหาข้ออ้างต่าง ๆ มาเพื่อเปลี่ยนใจอีกฝ่ายในขณะที่คิดหาทางรับมือต่อไป

“เหอะ คนแก่หนังเหนียวพวกนั้น !”

หลัวหมิงรุ่ยแค่นเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดหวั่นต่อเหล่าผู้อาวุโสอยู่เล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วงขอรับ ตอนนี้ราชินีเอลฟ์หลับใหลไม่ได้สติและไม่ต่างจากตายไปแล้ว ไม่มีทางที่คนแก่พวกนั้นจะไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบัน การที่พวกเขาไม่กระทำสิ่งใดก็คงเป็นเพราะพวกเขายินยอมคล้อยตามแผนการของเรา ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้ชนเผ่าเอลฟ์ก็ต้องการผู้ปกครองที่แท้จริง การที่องค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นราชาก็คือสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น”

หยางเสวียนเอ่ยแสดงความเห็นราวกับเข้าใจความคิดของเหล่าผู้อาวุโสของชนเผ่าเอลฟ์

“จริงอย่างที่ว่า ท่านหยางพูดถูก อย่ากังวลเรื่องคนพวกนั้นเลย”

หลัวหมิงรุ่ยพยักศีรษะและไม่หวั่นใจอีกต่อไป

“พวกเจ้าจะยอมถอยไปรึไม่ ?”

เมื่อมองดูเหล่าผู้พิทักษ์หลายสิบคนตรงหน้าอย่างเย็นชา หลัวหมิงรุ่ยก็เอ่ยวาจาอีกครั้งด้วยจิตสังหารแรงกล้า

“องค์ชาย หากท่านคิดร้ายต่อราชินีเอลฟ์ละก็ เกรงว่าท่านต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน ! มิฉะนั้นเราไม่มีทางปล่อยให้ท่านผ่านไปแน่ !”

สีหน้าแววตาของอี้หานเทียนหนักแน่นและผู้พิทักษ์รอบตัวเขาล้วนไม่หวาดกลัวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้พวกเขาก็เตรียมอาวุธพร้อมและเรียกอสูรมายาออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้ว

“เหอะ พวกเจ้าเพียงไม่กี่สิบคนขัดขวางองค์ชายผู้นี้ไม่ได้หรอก !”

หลัวหมิงรุ่ยแค่นเสียงเย็นชาและขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนนับร้อยที่ติดตามมาด้วย พวกเขาเข้าล้อมรอบกลุ่มของอี้หานเทียนไว้อย่างรวดเร็วและเริ่มการโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด

อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษและมีทักษะการป้องกันที่ยอดเยี่ยม แม้หลัวหมิงรุ่ยจะนำคนมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาวะติดขัดและฝ่าผ่านเข้าไปในห้องบรรทมของราชินีเอลฟ์ไม่ได้อยู่พักใหญ่

“เจ้าพวกขยะ !”

เมื่อเห็นผู้พิทักษ์จำนวนมากของตนที่กระหน่ำโจมตีมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้นั้น หลัวหมิงรุ่ยก็ตะโกนกร้าวและเรียกอสูรมายาของตนออกมาพร้อมกับเข้าร่วมการต่อสู้ทันที

เวลานี้หยางเสวียนเองก็เข้าร่วมการต่อสู้เช่นกันและคนอื่น ๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงซีก็ใช้โอกาสนี้ในการหลีกหนีออกไปโดยไม่เป็นที่สังเกตเพื่อแจ้งให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน

ทันทีที่ฉินอวี้โม่ทราบข่าว พวกนางก็กระสับกระส่ายขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ยังอยู่ไกลออกไปและไม่สามารถมาที่นี่ได้ในทันที ทุกคนจึงทำได้เพียงกังวลใจและรีบมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็วที่สุด

เหลียนหยางและหลัวอวิ๋นซีก็กังวลใจอย่างมากเช่นกัน ทั้งสองเพิกเฉยต่อเรื่องของเผ่าและติดตามกลุ่มของฉินอวี้โม่ไปที่เมืองราชวงศ์อย่างรวดเร็วด้วยหวังว่าจะสามารถเข้าไปช่วยราชินีเอลฟ์ได้ทัน

“หัวหน้าอวี้โม่ ตอนนี้พี่ใหญ่นำคนจำนวนมากเข้าล้อมเรือนของท่านแม่แล้วและน่าจะเข้าไปข้างในได้ในไม่ช้า ตอนนี้ข้ามีเพียงตัวคนเดียว พี่รองและท่านลุงก็ไม่อยู่ในเมืองราชวงศ์ ข้าควรจะทำอย่างไร ?”

หลัวหมิงซีกล่าวอย่างตื่นตระหนก เวลานี้เขาไม่อาจคิดหาทางออกได้เลย

“นำโอสถที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้ไปให้กับราชินีเอลฟ์ให้จงได้ จากนั้นก็หาทางนำร่างของนางออกไปจากที่นั่น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ยังไม่ต้องกังวลก่อนในตอนนี้”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งทว่าคิดหาทางไม่ออกไปครู่ใหญ่ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรักษาชีวิตของราชินีเอลฟ์ให้รอดปลอดภัย สำหรับเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้คงต้องรอหารือกันในภายหลัง

โชคดีที่ก่อนเดินทางไปที่เผ่าเพียวเหมี่ยว ฉินอวี้โม่มีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจและมอบโอสถเม็ดหนึ่งให้กับหลัวหมิงซีซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้กลืนกินเข้าสู่สภาวะเสแสร้งแกล้งตายได้ เดิมทีนางมีอยู่เพียงสองเม็ดเท่านั้นและเห็นได้ชัดว่ามันจะมีประโยชน์ใช้งานอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้

“เข้าใจแล้ว ข้าจะหาทางทำให้สำเร็จ”

หลัวหมิงซีพยักศีรษะและกังวลว่าหลัวหมิงรุ่ยอาจไหวตัวทันหากชักช้าจนเกินไป เขาจึงรีบตัดการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารอย่างรวดเร็วและวิ่งกลับเข้าไปที่เดิม

ภายในบริเวณของการต่อสู้ ด้วยการปราบปรามของหลัวหมิงรุ่ยและคนอื่น ๆ อี้หานเทียนและผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ จึงถูกจับตัวได้สำเร็จ ตอนนี้พลังอำนาจของพวกเขาก็ถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราวและทำได้เพียงทิ้งตัวนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับสีหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างมาก

“เหอะ พวกเจ้านั่งรออยู่ตรงนี้เถอะ !”

หลัวหมิงรุ่ยชำเลืองมองอี้หานเทียนตาเขม็งและแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นตัวเขา หลัวหมิงซีและหยางเสวียนก็ตรงเข้าไปในห้องของราชินีเอลฟ์

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจะดีกว่า”

เมื่อเข้าไปภายในห้องบรรทม หลัวหมิงซีก็ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวเสนอความคิดของตน

“เจ้ารึ ?”

เมื่อได้ยินน้องชายกล่าวเสนอเช่นนี้ หลัวหมิงรุ่ยก็นึกสงสัยขึ้นมาทันที เขาเป็นคนที่ชอบสงสัยและหวาดระแวงอยู่เสมอ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อวาจาของหลัวหมิงซีอย่างง่ายดาย

“พี่ใหญ่ ท่านกำลังจะรับตำแหน่งราชาเอลฟ์คนต่อไป หากข่าวเรื่องการสังหารราชินีเอลฟ์แพร่งพรายออกไป มันจะไม่ดีสำหรับท่านแน่ ในทางกลับกัน สถานการณ์ของข้าแตกต่างกันมาก หากท่านแม่สิ้นชีวิตไปด้วยเงื้อมมือของข้า การถูกกล่าวโจษจันก็มิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด”

หลัวหมิงซีเอ่ยอธิบายอย่างตรงไปตรงมาและดูแนบเนียนอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน ฝ่ามือของเขาในตอนนี้ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและรู้สึกประหม่าอย่างที่สุด หากหลัวหมิงรุ่ยไม่เห็นด้วย แผนการที่เตรียมไว้ก็คงล้มเหลวและเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก

“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาก็สมเหตุสมผลอยู่ทีเดียว”

หลัวหมิงรุ่ยไตร่ตรองครู่หนึ่งและเชื่อว่าวาจาขององค์ชายสี่มีเหตุผลที่สมควร

“น้องสี่ ขอบคุณสำหรับความทุ่มเทของเจ้า”

หลัวหมิงรุ่ยพยักศีรษะให้กับหลัวหมิงซี เวลานี้เขาไว้วางใจน้องชายของตนมากยิ่งขึ้น

หลัวหมิงซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนหยิบโอสถที่ฉินอวี้โม่มอบให้ก่อนหน้านี้ออกมาและเตรียมที่จะป้อนให้กับราชินีเอลฟ์

“ช้าก่อน !”

ทันใดนั้น หยางเสวียนก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาซึ่งทำให้ความประหม่าของหลัวหมิงซีกลับคืนมาอีกครั้ง

“นั่นคือโอสถอะไร ?”

ขณะมองดูโอสถที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในมือของหลัวหมิงซี หยางเสวียนก็เดินตรงเข้าไปช้า ๆ และกล่าวด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือโอสถที่ข้าได้มาจากศูนย์การค้าโดยบังเอิญ มันมีพิษที่ทำให้ผู้กลืนกินตายไปอย่างสงบสุขและไม่ทรมาน ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของเรา หากทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดทรมานก่อนตาย ข้าคงทนรับไม่ได้ นั่นคือสาเหตุที่ข้านึกถึงโอสถนี้ขึ้นมา”

หลัวหมิงซีแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็นโดยกลัวว่าหยางเสวียนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

“ข้าขอดูได้รึไม่ ?”

หยางเสวียนมองดูอย่างสงสัยใคร่รู้และกล่าวถาม

“เอ่อ…แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”

หลัวหมิงซีพยักศีรษะตอบรับ ถึงอย่างไรหยางเสวียนก็มิใช่ผู้หลอมโอสถ เขาจึงเชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะมองไม่เห็นถึงความผิดปกติหรือสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของมัน

หยางเสวียนรับโอสถเม็ดนั้นมาและสำรวจดูอย่างละเอียดก่อนกล่าวพร้อมพยักศีรษะ “ดูเป็นโอสถที่ใช้ได้ทีเดียว น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้จักผู้หลอมโอสถที่หลอมมันขึ้นมา มิฉะนั้นก็คงเชิญเขามาที่นี่ด้วยแล้ว”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยื่นโอสถคืนให้กับหลัวหมิงซีและเดินกลับไปอยู่ข้างหลัวหมิงรุ่ยตามเดิม

ในที่สุดองค์ชายสี่ก็ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีกครั้งและไม่ลังเลอีกต่อไปขณะป้อนโอสถเข้าปากราชินีเอลฟ์ทันที

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลมหายใจของราชินีเอลฟ์ก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนหายไปอย่างสมบูรณ์และอุณหภูมิร่างกายก็เริ่มเย็นลง

หลัวหมิงรุ่ยเดินเข้าไปตรวจดูและเมื่อยืนยันได้ว่าราชินีเอลฟ์สิ้นใจแล้ว เขาก็หัวเราะอย่างสาแก่ใจออกมา

“ฮ่า ๆ ๆ  ข้าคือราชาเอลฟ์คนต่อไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางข้าไม่ได้อีก !”

เขาตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยดีก่อนและจะค่อย ๆ กำจัดน้องชายน้องสาวของตนไปทีละคน เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งชนเผ่าเอลฟ์ก็จะตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวและจะไม่มีผู้ใดที่กล้าขัดคำสั่งของเขาอีก

ใบหน้าของหยางเสวียนประดับด้วยรอยยิ้มกว้างและรู้สึกพึงพอใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเช่นกัน กล่าวได้ว่าการกระทำที่ผ่านมาของหลัวหมิงรุ่ยล้วนมีเขาเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเกือบทั้งหมด

หลัวหมิงซีเองก็ฝืนยิ้มเช่นกันและเสแสร้งแสดงสีหน้ามีความสุข

“ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ”

ในขณะกล่าวแสดงความยินดีกับหลัวหมิงรุ่ย เขาก็กำลังครุ่นคิดหาทางพาร่างของมารดาออกไปจากที่นี่

“ฮ่า ๆ ๆ ครานี้ถือว่าเจ้าทำผลงานได้ดีจริง ๆ ว่ามาเถอะ เจ้าต้องการสิ่งใด พี่ใหญ่คนนี้จะจัดหาให้เจ้าพอใจอย่างแน่นอน”

หลัวหมิงรุ่ยตบไหล่หลัวหมิงซีเบา ๆ และกล่าวด้วยเสียงระรื่น ราวกับว่าเขาเชื่อมั่นในตัวน้องชายผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยม

“พี่ใหญ่ ท่านปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องศพของท่านแม่ได้หรือไม่ ?”

หลัวหมิงซีกล่าวความต้องการของตนด้วยความกังวลใจลึก ๆ และรอฟังคำตอบของหลัวหมิงรุ่ย

.