หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1045 ล่า

ราตรีโอบล้อมสุสานสักการะเทพ

พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว เสียงคำรามไร้ชีวิตนับไม่ถ้วนสะท้อนจากทุกทิศทาง ทำให้มิติเกิดการผันผวน

ทุกกลุ่มนั่งอยู่หน้าสุสานสักการะเทพอย่างเงียบๆ สายตามองความมืดที่โรยตัวรอบข้างอย่างระมัดระวัง แม้ว่าสถานที่นี้จะเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกภายนอกกับสุสานสักการะเทพ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่อยู่ข้างนอกจึงไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ แต่เสียงคำรามที่ทำให้พวกเขารู้สึกหนังศีรษะเย็นวาบก็สร้างความไม่สบายใจยิ่งนัก กลัวว่าอาจมีคลื่นอสูรวิญญาณไหลบ่าเข้ามาปกคลุม

เวลาไหลเอื่อยภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดในความมืด เมื่อรุ่งอรุณมาถึงแสงแดดสาดส่องลงมาก็ทำให้รัศมีความตายน่าหวาดกลัวในสุสานสักการะเทพเกิดความผันผวนรุนแรง ก่อนที่รัศมีความตายจะไปค่อยๆ สลายไป แม้ว่าจะไม่ได้หายไปหมดสิ้น แต่ความหนาแน่นก็ต่ำลงมาก

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจมาก ดูเหมือนคำพูดของข่งหลิงจะไม่ผิด เมื่อรุ่งอรุณมาถึงรัศมีร้ายกาจในสุสานสักการะเทพจะอ่อนลง

ขณะที่รัศมีความตายในสุสานสักการะเทพอ่อนกำลัง กลุ่มเทพอสูรระดับต้นบนแผ่นหินเบื้องหน้าก็ลืมตามองไปพร้อมกับประกายไฟวูบไหวในดวงตา

ไป๋หมิงมองไปที่สุสานสักการะเทพก่อนลุกขึ้นยืน เขาไม่พูดอะไรโบกมือแล้วนำทะยานออกไป พุ่งเข้าไปในสุสาน

ที่ด้านหลังจอมยุทธ์ของเผ่าหงส์ฟ้าก็ติดตามอย่างใกล้ชิด

“ไป!”

ข่งหลิงจากเผ่านกยูงเก้าสีก็นำพรรคพวกพุ่งเข้าไปในสุสาน

หลังจากพวกเขากลุ่มเทพอสูรระดับต้นอื่นๆ ก็ไม่ลังเลรีบเคลื่อนตัวเข้าไปเช่นกัน

เมื่อกลุ่มอื่นๆ เห็นภาพนี้ พวกเขาก็เกิดอาการลังเล พวกเขารู้ดีถึงอันตรายในสุสานสักการะเทพ นอกจากนี้หากพวกเขาต้องการเข้าไปส่วนในก็ต้องฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดและควักหัวใจมา ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำให้พวกเขาทิ้งชีวิตไว้ในนั้น

“เฮ้ จำนวนจอมยุทธ์โบราณมากมายละร่างในสุสาน แม้ว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปส่วนในได้ แต่ก็ยังมีโอกาสอื่นๆ ที่ส่วนนอก ถ้าสามารถหาพบก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงนะ”

ทว่าคนเหล่านี้ก็ไม่ลังเลนาน เมื่อมีคนพูดออกมาก็ทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปส่วนในได้ โอกาสที่มีอยู่ในสุสานสักการะเทพก็มีมากล้นกว่าพื้นที่อื่นๆ ในสุสานหมื่นอสูร หากพวกเขาโชคดีพอได้รับโอกาสบางอย่าง การเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว

ด้วยความคิดนี้ หลายกลุ่มก็ตัดสินใจทันท่วงทีไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างส่งสัญญาณให้พรรคพวกแล้วเสียงลมฉีกออกจากกันก็ดังสนั่น ขณะที่ร่างแสงจำนวนมากทะยานเข้าไปในสุสานสักการะเทพที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีสีแดงเลือด

เมื่อมองดูกลุ่มเหล่านั้นที่พากันเข้าไปในสุสาน ในที่สุดมู่เฉินก็ยืนขึ้นมองไปที่หานซัน เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงและติดตามกันไปไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ของพวกเขาสร้างความขุ่นเคืองกับไป๋หมิงไปแล้ว

“ไป๋หมิงน่าเกรงขามก็จริง แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้า…มู่เฉินจะอ่อนแอกว่าเขา” หานซันยิ้มกว้าง ระหว่างทางที่มาที่นี่ วิธีการต่างๆ ที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นแม้พวกเขาจะรู้ว่าไป๋หมิงทรงพลัง แต่หานซันก็ไม่คิดว่าไป๋หมิงจะล้มสัตว์ประหลาดอย่างมู่เฉินได้

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็ลุยกันเลย”

ไม่ว่าไป๋หมิงจะหมายหัวพวกเขาไว้หรือไม่ พวกเขาก็ต้องเข้าไปในสุสาน นั่นเป็นเพราะการรับรู้ของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงทำให้เขารู้ว่ามีวิหคอมตะโบราณละร่างอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงๆ

เขาไม่มีทางยอมแพ้กับเบาะแสที่ค้นหามาตลอดเพียงเพราะไป๋หมิงหรอก

วาบ!

เมื่อมู่เฉินพูดจบก็พุ่งตัวออกไปกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในสุสานที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีแดงเลือด

ทันทีที่เข้าไป มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลง รัศมีสีแดงเข้มที่แพร่กระจายอยู่รอบๆ เหมือนฝูงหนอนไต่กันยุบยับขณะที่คลานเข้ามาหาก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเอื่อยเฉื่อยขึ้น

พรึ่บ!

กลุ่มมู่เฉินจุดเพลิงต้านอาสัญอีกครั้ง เปลวไฟสีขาวพวยพุ่งขึ้นบนไหล่ลามเลียเป็นเกลียวไฟห่อหุ้มร่างเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นส่วนหนึ่งของรัศมีสีแดงเข้ม

“รัศมีความตายที่นี่น่ากลัวนัก แม้แต่พลังเพลิงต้านอาสัญยังอ่อนกำลัง” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะมองเปลวไฟที่ไหล่ แม้ว่าเปลวไฟจะร้อนแรงแต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานความรู้สึกหนาวเหน็บในร่างกายได้ทั้งหมด

มู่เฉินพยักหน้า ภายใต้การกัดกร่อนของรัศมีความตายทำให้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลง ดูเหมือนว่าหากพวกเขาต้องประมือก็ต้องทำให้จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“แต่มีอสูรวิญญาณนับไม่ถ้วนในส่วนนอกสุสาน นอกจากนี้ยังมีวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าขั้นแปด หากเผลอเข้าไปในดงอสูรวิญญาณก็คงหนีไม่พ้น เนตรดับชีวิตของเจ้ายังใช้ได้ที่นี่หรือไม่?” ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วนพลางถามขึ้น ระดับความอันตรายของที่นี่ชัดเจนว่าเหนือกว่าสถานที่อื่นๆ ที่พวกเขาเคยผ่านมาก่อนหน้า

มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำกะพริบที่กึ่งกลางหน้าผาก ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะปรากฏขึ้น เมื่อแสงสีดำพุ่งขึ้นก็ดูเหมือนว่าจะทะลุผ่านมิติเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ

“พลังเนตรดับชีวิตถูกระงับไปบ้าง แต่ก็เพียงพอในการใช้นะ”

แสงสีดำกะพริบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่จะมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ไปกันเถอะ เราต้องหาโอกาสดูว่าจะสามารถพบอสูรวิญญาณขั้นแปดที่อยู่โดดเดี่ยวได้ไหม”

จบคำพูดมู่เฉินก็เหาะเหินออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามไปใกล้ชิด ในเมื่อเนตรดับชีวิตยังสามารถใช้ได้ พวกเขาก็โล่งใจที่จะตามไปโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหลงเข้าไปในฝูงอสูรวิญญาณ

ขณะที่กลุ่มมู่เฉินเริ่มเข้าไปในพื้นที่รอบนอกของสุสาน อีกทิศทางหนึ่งก็มีกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านรัศมีสีแดงเลือดไป พวกเขาไม่ได้ซ่อนคลื่นหลิงขณะเดินทาง ทำให้มีอสูรวิญญาณพุ่งมายังทิศทางของพวกเขาไม่สิ้นสุด ทว่ากลุ่มดังกล่าวก็ไม่สนใจ รอให้อสูรวิญญาณเข้ามาใกล้ พวกเขาก็กระเบิดคลื่นหลิงน่าสะพรึงทำลายอสูรวิญญาณจนไม่เหลือซาก

ที่หน้ากลุ่มคนเหล่านี้ก็คือไป๋หมิง เขาโบกพัดน้ำแข็งสีฟ้าในมืออย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าไม่แยแส สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่อสูรวิญญาณที่พุ่งเข้ามาตามทางแต่มองไปที่ระยะไกล

“พี่ใหญ่ไป๋หมิง” ที่ข้างหลังไป๋ปิงทะยานขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “มู่เฉินน่าจะเข้ามาที่นี่เช่นกัน ไอ้เวรนั่นมีกลยุทธ์บางอย่างในแขนเสื้อ เราต้องระวังตัวหน่อย”

ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ พูดเสียงนุ่มนวล “ความสัมพันธ์ของเขากับจิ่วโยวค่อนข้างลึกซึ้ง ข้าว่าเหตุผลที่เผ่าวิหคโลกันตร์มาที่นี่คงเหมือนกับเรา”

ไป๋ปิงขมวดคิ้ว “พวกมันกล้าเล็งแก่นโลหิตวิหคอมตะด้วยรึ?”

“เผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดของวิหคอมตะโบราณไหลเวียนอยู่ในตัว หากได้รับสายเลือดมรดกก็จะสามารถสร้างสายเลือดให้สมบูรณ์แบบ จนมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะ” ร่องรอยความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋หมิงขณะพูดต่อ “เผ่าวิหคโลกันตร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานหลายปี พยายามที่จะไล่ตามเผ่าเรา ตอนนี้อุตส่าห์ได้ข้อมูลของวิหคอมตะโบราณ พวกเขาจะไม่กระตือรือร้นได้อย่างไร?”

แววตาของไป๋ปิงเย็นเยือกลงตอบว่า “งั้นเราต้องกำจัดพวกมันทิ้งไหม?”

ไป๋หมิงส่ายหัว “ไม่รีบ ในเมื่อพวกมันต้องการเข้าสู่ส่วนในก็ต้องตามล่าฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปด ด้วยพลังของกลุ่มพวกมัน คงต้องจ่ายราคามหาโหดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแน่”

“ข้าเดาว่าวัตถุที่อยู่ในมือไอ้บ้านั่นน่าจะเป็นหัวใจพาฬกินสายฟ้าซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังสายฟ้าที่น่ากลัว ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าข้าจะมีสิ่งป้องกันตัว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี”

“แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ด้วยพลังที่พวกมันมี หากต้องการฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดโดยไม่ต้องจ่ายราคาใดๆ ก็ต้องใช้วัตถุนั่นอย่างแน่นอน เวลานั้นพวกมันก็จะสูญเสียไพ่ตายและมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็จะทุกข์ทรมานด้วยการพลิกฝ่ามือของข้าเท่านั้น”

เมื่อไป๋ปิงได้ยินคำพูดของไป๋หมิง ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายพลางยิ้ม “ดูท่าไอ้เวรนั่นจะไม่สามารถหนีจากเงื้อมือของพี่ใหญ่ไป๋หมิงได้ซะแล้ว”

ไป๋หมิงยิ้มบางจากนั้นก็โบกพัดเบาๆ ราวกับว่ามู่เฉินอยู่ในมือจะบีบก็ตายจะคลายก็รอดทุกเวลาที่เขาต้องการแล้ว

วาบ!

รัศมีสีแดงเลือดแพร่กระจายออกไป คนกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านไปอย่างเงียบๆ คลื่นหลิงรอบตัวพวกเขาถูกซ่อนไว้จนถึงจุดที่แม้แต่การหายใจก็แผ่วเบาลง เพื่อหลบหนีการรับรู้ของอสูรวิญญาณ

ที่ด้านหน้าของกลุ่ม มู่เฉินหลับตาลงมีแสงสีดำกะพริบอยู่บนหน้าผากทะลุผ่านมิติสอดส่องบริเวณโดยรอบซึ่งถูกปกคลุมด้วยรัศมีสีแดงเข้ม

ที่ด้านข้างคนอื่นๆ ก็เงียบลง ไม่กล้าที่จะรบกวนมู่เฉิน ระหว่างทางที่มาที่นี่พวกเขาพบอสูรวิญญาณขั้นแปด แต่พวกมันเหล่านั้นทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในฝูงอสูรวิญญาณ ถ้าไปกระตุ้นก็จะดึงดูดการโจมตีของอสูรวิญญาณนับหมื่น ก่อนหน้าพวกเขาได้เห็นคนหลายกลุ่มกลายเป็นกระดูกสีขาวภายใต้การรุมโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณแล้ว

ความโหดเหี้ยมนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขายังรู้สึกหนังหัวเย็นสะท้านไปหมดเมื่อมองไป

ดังนั้นเมื่อเห็นกลุ่มผู้โชคร้ายเหล่านั้น คนอื่นๆ ก็ตัดสินใจได้ หากมู่เฉินไม่สามารถหาโอกาสและพบเป้าหมายที่ดีที่สุด พวกเขาก็ยอมรอต่อไปเรื่อยๆ

ทว่าขณะที่คนอื่นๆ ยึดความคิดนี้อยู่ในใจ จู่ๆ มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ประกายแสงวูบไหวในม่านตาของเขา

“พบเป้าหมายแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ สายตาของพรรคพวกก็หดเกร็ง อึดใจคลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่งออกมาราวกับคลื่นยักษ์

เป้าหมายที่พวกเขาจะตามล่าต่อไปนี้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาพบมานับตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่