[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 22 พระขวางเยว่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ต่างคนต่างมองหน้ากัน เหล่าลูกเศรษฐีที่ได้รับบาดเจ็บเลิกร้องโอดโอยแล้ว ในใจทุกคนมีหนึ่งคำถามที่อยากจะรู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร หลี่เฉิงเฉียนหยิบเชือกเอ็นวัวที่ขาดขึ้นมาแล้วลองดึงดูสักหน่อย เชือกไม่ได้มีปัญหา ปัญหาคือชายร่างใหญ่ผู้นั้น พระภิกษุที่หนีไปคงจะหนีไม่พ้นวัด หลี่เฉิงเฉียนไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะจับพระภิกษุไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว แต่ฉากที่วุ่นวายตรงหน้าคือสิ่งที่เขาต้องพิจารณา 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนเปลถูกหามกลับบ้าน สาวน้อยชุดเขียวก็ตามอวิ๋นเยี่ยกลับไปด้วย เหลาเป่าจึกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกองครักษ์ของรัชทายาทตีที่กกหูจนเวียนหัวไม่กล้าพูดอะไรต่อ 

 

 

“เอาเจ้าออกมานั้นไม่มีปัญหา คิดเสียว่าวันนี้เจ้าช่วยข้า ข้าก็ต้องช่วยเจ้า ปัญหาคือเจ้ากลับบ้านกับข้า หากอธิบายไม่ชัดเจน เจ้าคงอาจจะต้องลำบากเสียแล้ว” 

 

 

สาวน้อยชุดเขียวก้มหัวแล้วพูดว่า “ท่านคือขุนนาง ให้ข้าได้หลบลมฝนอยู่ใต้ปีกของท่าน ข้าจะทำตามคำขอของท่านทุกอย่าง ขอแค่ท่านอย่าให้ข้ากลับไปที่หอนางโลมเลย ข้าอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้แล้ว” 

 

 

“ฝันไปเถอะ แค่ข้าช่วยเจ้า เจ้าก็จะคอยเคียงข้างข้า ข้าไม่ต้องการเช่นนั้นหรอก เจ้าใช้ชีวิตตัวเองให้ดีเถิด ข้าคิดว่าเหลาเป่าจึคงไม่กล้ามาหาเจ้า เจ้าไปอาศัยที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเถิด เมื่อครู่ข้าให้เงินเจ้าไปตั้งเยอะ เช่าร้านเล็กๆ ก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว สักสองสามวันจะให้พ่อบ้านพาเจ้าไปที่สำนักเขต ยังไม่มีเอกสารก็ไม่เป็นไร ผ่านไปสักปีครึ่งก็แต่งงานกับคนดีๆ สักคน แค่นี้ชีวิตก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนมีเรื่องอะไรก็ลืมไปเสียให้หมด สิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตให้ดีต่อไป” 

 

 

เมื่อเช้าเดินออกจากบ้านอยู่ดีๆ พอถึงช่วงบ่ายก็ถูกหามกลับมา คนในตรอกซิ่งฮว่าฟางพากันลือไปทั่ว อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นจากเปลหาม ปาดน้ำตาแล้วพูดกับซินเย่วว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่โดนรองเท้าไปหนึ่งข้าง จมูกมีเลือดนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดถูกหามกลับไป หากข้าเดินกลับบ้านเองคงจะดูไม่ดีเท่าไหร่” 

 

 

“ใครมันกล้าใช้รองเท้าตีเจ้า เราจะไม่ปล่อยมันไปอย่างแน่นอน” ซินเย่วโมโหสุดขีด นางจะสวมชุดราชการเพื่อไปรายงานที่จวนจิงจ้าว 

 

 

“ช่างเถอะ ขุนนางที่จวนจิงจ้าวแทบจะตกใจตายกันหมดแล้ว ถ้าไม่มีใครหยุดเขาไว้วันนี้คงจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของรัชทายาท เจ้าอย่าทำให้วุ่นวายมากขึ้นเลย จริงสิ สาวน้อยคนนั้นช่วยข้า พวกเราตอบแทนนางเสียหน่อย หาร้านเล็กๆ ในหมู่บ้านให้นางใช้ชีวิตของนางไป ให้เหล่าเฉียนลงทะเบียนในเขตให้นาง” 

 

 

“ท่านแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ภรรยาน้อยที่ท่านเลี้ยงไว้นอกบ้าน หากท่านมีใจจะรับเลี้ยงนางก็ให้นางอยู่ที่นี่เถิด ตระกูลเราจะขายหน้าไม่ได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนขี้อิจฉา” ซินเย่วเช็ดหน้าให้อวิ๋นเยี่ยแล้วเหลือบมองสาวน้อยคนนั้น 

 

 

“น้อยๆ หน่อย เจ้าไม่อิจฉา พูดไปใครเขาจะเชื่อ เจ้าปล่อยมือที่บีบข้าออกก่อน ข้าเป็นคนมีคุณธรรมตรงไปตรงมา เจ้าไม่ต้องมาพูดทิ่มแทงข้า เรื่องราวของสาวน้อยก็เป็นเช่นนี้ ข้าต้องไปอาบน้ำสักหน่อย รองเท้าขาดข้างนั้นเหม็นเกินไปแล้ว รู้สึกเหมือนกลิ่นยังติดตัวอยู่ตลอด อีกสักครู่เจ้าช่วยข้าถูสักหน่อย” 

 

 

ซินเย่วเห็นว่าสามีไม่ได้ตั้งใจจะพาสาวน้อยเข้าบ้านจริงๆ จึงทำตัวเป็นกันเองกับสาวน้อยขึ้นมาทันที อย่างไรนางก็ช่วยสามีตัวเองเอาไว้ ถือเป็นผู้มีพระคุณ 

 

 

สาวน้อยก็เป็นคนมีไหวพริบ ทันใดนั้นก็เรียกพี่สาวอย่างสนิทสนม ไม่เพียงแต่บอกนางว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์นี้ยังพาซินเย่วด่าพระภิกษุรูปนั้นด้วยกัน แล้วยังบอกอีกว่าเดิมทีพระรูปนั้นถูกท่านโหวจับได้แล้ว แต่เป็นเพราะพวกองครักษ์ทำตัวไร้ประโยชน์จึงทำให้พระภิกษุหนีไปได้ ส่วนเฉิงฉู่มั่ว จั่งซุนชง และหลิวเจิ้งอู่นั้นก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้ประโยชน์ เมื่อได้ฟังซินเย่วก็มีความสุขเป็นอย่างมาก เอาปิ่นที่ปักอยู่บนหัวมอบให้สาวน้อยที่ชื่อว่าจิ่วเอ้อร์ไป 

 

 

จวนจิงจ้าวกำลังหาเบาะแส โดยเฉพาะพระภิกษุอย่างไรก็ต้องลงทะเบียนทั้งหมด จะขาดไปแม้แต่คนเดียวไม่ได้ หัวหน้านักสืบถือภาพเหมือนมาเปรียบเทียบทีละภาพ แล้วยังตามหาเต้าซิ่นที่อาศัยอยู่ในวัดเจี้ยนฝู ต้องการให้เขามอบตัวคนมา เพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนพระภิกษุรูปอื่น การทำเช่นนี้ก็ไม่ผิดเพราะเต้าซิ่นคือเจ้าอาวาส การที่พระภิกษุก่ออาชญากรรมไปหาเขาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล 

 

 

เต้าซิ่นถอนหายใจ ประนมมือแล้วประกาศนามพระพุทธเจ้า คุกเข่าลงต่อหน้าพระพุทธองค์แล้วสวดมนต์ เขารู้แล้วว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมากแค่ไหน ทำผิดต่อเหล่าขุนนางไปเกือบครึ่ง หากอยากจะปิดก็คงปิดไม่อยู่ 

 

 

เต้าฝ่าผู้ที่มีหน้าผากบุบเป็นร่องขนาดใหญ่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “อย่าได้ลำบากทุกคนเลย คนที่ก่อเหตุคือขวางเย่วลูกศิษย์ของอาตมาเอง” 

 

 

หัวหน้านักสืบเขย่าโซ่เหล็กด้วยความดีใจแล้วพูดกับเต้าฝ่าว่า “พระอาจารย์ พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นพระภิกษุสูงส่งที่มีคุณธรรม นักสืบอย่างข้าก็ไม่อยากทำให้พระภิกษุต้องลำบาก แต่ว่าคดีนี้นี้ใหญ่หลวงมาก รัชทายาทต้องการตัวผู้ร้ายด้วยตนเอง ข้าเป็นเพียงผู้น้อยไม่กล้าปิดบัง แล้วก็ไม่สามารถปิดบังได้ ขอให้พระอาจารย์ส่งตัวพระขวางเย่วมา ข้าก็จะรีบกลับไปรายงาน” 

 

 

พระอาจารย์เต้าฝ่าคิ้วขมวดแล้วพูดกับหัวหน้านักสืบจวนจิงจ้าวว่า “พระขวางเย่วเป็นคนน่าสงสาร เขาสูญเสียความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ข้าเก็บเขามาจากทะเลจีนใต้ ติดตามข้ามาก็ห้าปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนหัวรุนแรงแต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร เรื่องในวันนี้ขอให้ท่านตรวจสอบอย่างละเอียด หากจะลงโทษก็ให้ลงโทษอาตมา เขาเป็นเพียงแค่คนป่วยคนหนึ่ง ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ปล่อยเขาไปเถิด” 

 

 

หัวหน้านักสืบหัวเราะแล้วสั่งให้คนใต้บังคับบัญชาล้อมอุโบสถ ได้ยินเสียงคำรามดังลั่น จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่พุ่งตัวออกมาจากอุโบสถ มีคราบเลือดบนหัวที่พันด้วยผ้าขาว กระโดดไปสองก้าวก็จับหัวหน้านักสืบที่กำลังตกใจพลิกกลับหัวลง กะจะฉีกเป็นสองชิ้น พระเต้าฝ่าตะโกนเสียงดังว่า “คนเนรคุณ ยังไม่หยุดอีก” 

 

 

ชายร่างใหญ่ชะงักไปก่อนจะวางตัวหัวหน้านักสืบลง หัวหน้านักสืบรีบเขยิบถอยหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ 

 

 

พระเต้าฝ่าหยิบโซ่เหล็กขึ้นมา ใส่ห่วงอันหนึ่งไว้ที่ข้อมือของตัวเอง แล้วเอาห่วงอีกหนึ่งอันล็อกไว้บนข้อมือของชายร่างใหญ่แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ศิษย์ข้า ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะอาจารย์ ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า” 

 

 

นิ่งฟังเสียงสวดมนต์ของเต้าซิ่นที่มีความกระวนกระวายเล็กน้อย เต้าฝ่าหันหน้าไปทางตำหนักหลวงแล้วตะโกนว่า “ทุกข์สุขไม่ยั่งยืน” เสียงสวดมนต์ของเต้าซิ่นได้หยุดลงไปชั่วครู่ ทำให้กลับสู่ความสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง 

 

 

กลุ่มคนเดินออกมาจากวัดเจี้ยนฝู ไม่มีใครกล้าปฏิบัติไม่ดีกับพระขวางเย่วอีกต่อไป พระเต้าฝ่าเดินเท้าออกมา เดินไปก็ประนมมืออวยพรผู้ศรัทธาที่อยู่สองข้างทางไปด้วย โซ่เหล็กนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่โซ่ตรวนของเขา ดูเหมือนว่าเมื่ออยู่บนร่างกายของเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับลูกประคำ 

 

 

ยิ่งคนรับใช้ล้อมไว้มากเท่าไหร่ เอวของหัวหน้านักสืบก็ยิ่งตรงมากขึ้น เมื่อเดินผ่านตลาดตะวันตก พระขวางเย่วได้กลิ่นสุราจึงไม่เดินต่อ เต้าฝ่าเอาบาตรให้เขา ให้ไปขอเหล้าจากเถ้าแก่ร้านอาหาร พระขวางเย่วดื่มหมดภายในครั้งเดียว ถึงแม้ว่าจะทำใจไม่ได้อยู่บ้างแต่ก็ยังก้าวเดินต่อไปทางจวนจิงจ้าว 

 

 

จวนจิงจ้าวปกติแล้วไม่มีหัวหน้าขุนนาง เป็นขุนนางคนสำคัญบางคนที่ผลัดกันรับผิดชอบ เดิมทีตำแหน่งผู้ปกครองยงโจวเป็นของหลี่ไท่ แต่ตอนนี้หลี่ไท่ไม่สนใจในตำแหน่งนี้ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการสร้างดินปืนจนถอนตัวไม่ได้ เขาคิดว่าต่อให้มีตำแหน่งผู้ปกครองยงโจวสักแปดสิบตำแหน่งก็ไม่สำคัญเท่าดินปืน 

 

 

ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ที่ห้องโถงเอกคือเว่ยกงหลี่จิ้ง วันนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากรัชทายาท รู้มาว่ากำลังตามล่าพระภิกษุรูปหนึ่ง ส่วนตัวคนสั่งนั้นก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ด้านหลังห้องโถงเอก เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ รู้สึกกลัวเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร วางหนังสือลงเตรียมจะไปเดินเล่นในสวนเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย 

 

 

ทันใดนั้นเสียคำรามที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอยู่ที่หน้าห้องโถง หัวใจเต้นเร็วด้วยความตกใจ รีบเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังคำรามใส่คนรับใช้ ขณะที่พระภิกษุตัวผอมบางมีเลือดออกตรงมุมปากกำลังนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงเอกแล้วพูดอะไรบางอย่างเบาๆ ออกมา 

 

 

เห็นไม้พองสุ่ยหัวกำลังจะตีลงบนร่างกายของชายร่างใหญ่ หลี่จิ้งโกรธเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปหยุดเจ้าหน้าที่ ตัวเองมาที่ตรงหน้าชายร่างใหญ่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “น้องสอง เหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้” 

 

 

กุญแจมือถูกชายร่างใหญ่บิดจนเกิดเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงของหลี่จิ้งก็ยกมือขึ้นกุมหัวล้าน ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าเป็นใคร” เขายังคงคุ้นเคยกับเสียงของหลี่จิ้ง แต่ว่าไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ในใจรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง หัวหน้านักสืบพุ่งเข้ามาเพื่อจะปกป้องหลี่จิ้งแต่กลับถูกหลี่จิ้งถีบออกไป 

 

 

หลี่จิ้งถอดเครื่องแบบทางการของเขาภายในครู่เดียว ถอดหมวกออกแล้วสางผม จากนั้นเกล้าผมขึ้นใหม่ หยิบปิ่นออกมาจากแขนเสื้อเสียบไว้บนหัวแล้วพูดกับชายร่างใหญ่ด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสอง เหตุใดเจ้าจึงลืมข้าเสียแล้ว” 

 

 

ชายร่างใหญ่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ชี้ไปที่หลี่จิ้งเพื่อต้องการจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ภายใต้ความวิตกกังวลจึงได้เอาโซ่ตรวนมาตีหัวตัวเองอีกครั้ง เลือดไหลออกมาในทันที หลี่จิ้งกอดชายร่างใหญ่ไว้ไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง 

 

 

ขอกุญแจมาจากหัวหน้านักสืบเพื่อไขโซ่ตรวน ตบไหล่ชายร่างใหญ่แล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ คิดไม่ออกก็ค่อยๆ คิด เมื่อกลับไปบ้านพวกเรากับน้องสามแล้วช่วยกันคิด อย่างไรก็จะคิดออกจนได้” 

 

 

เมื่อชายร่างใหญ่สงบลงก็หันไปไขโซ่ตรวนให้อาจารย์เต้าฝ่าแล้วพูดว่า “พระอาจารย์ เจ้าไปพบน้องสองของข้าที่ไหน” ดวงตาของเต้าฝ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดกับหลี่จิ้งว่า “อาตมาพบขวางเย่วที่ชายฝั่งทะเลจีนใต้เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่อะไรเลย ดูท่าทางแล้วคงจะประสบภัยเรืออับปาง อาตมาพาเขามาเลี้ยงดูที่วัด เขาตัวร้อนอยู่ตลอด ปากก็เอาแต่พูดถึงเผิงไหล ฟางจ้าง ดินแดนมหัศจรรย์ในตำนานเหล่านี้ ผ่านไปถึงครึ่งเดือนถึงจะฟื้นขึ้นมา แต่ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตของตัวเองเลย แม้แต่ตัวเองเป็นใครก็จำไม่ได้แล้ว อาตมาเห็นว่าเขาอยู่ลำพังไร้ที่พึ่งจึงได้โกนหัวให้เขา เพียงแต่ว่าอาตมามักจะเห็นเขาคำรามทุกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวง จึงตั้งชื่อให้เขาว่าขวางเย่ว” 

 

 

หลี่จิ้งนั่งคุกเข่าลงน้อมกราบพระเต้าฝ่าด้วยความเคารพ ขอบคุณที่เขาช่วยน้องสองของตัวเองไว้ เต้าฝ่าประนมมือขึ้นรับคำขอบคุณของหลี่จิ้ง จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ บางทีนี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ที่จัดเตรียมไว้ในยามที่คาดไม่ถึง อามิตาพุทธ” 

 

 

ปฏิเสธคำเชิญของหลี่จิ้ง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินทางกลับไปที่วัดเจี้ยนฝู เพียงแต่สีหน้าดีใจทำให้ใบหน้าของเขาดูโกรธน้อยลง ไม่มีความเศร้าโศกอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป 

 

 

หลี่เฉิงเฉียนได้รับจดหมายของหลี่จิ้งก็รู้สึกถึงปัญหาในทันที คำพูดในจดหมายตรงไปตรงมา เขาจะไม่ปล่อยพวกคนชั่วช้าที่รังแกน้องสองของเขาไปแม้แต่คนเดียว แม้แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็จะไม่ปล่อยไป หลี่เฉิงเฉียนต้องอธิบายกับเขาว่าทำไมน้องสองของเขาจึงได้ปรากฎตัวบนเรือของหลี่เฉิงเฉียนแล้วโดนฝูงชนรุมทำร้าย