สิ้นเสียงการเป่าแตรในรอบนี้ เด็กสาวคู่หนึ่งก็ขี่ม้าขาวออกมาจากในค่ายที่พัก

พวกนางมีความสวยงามไม่ต่างจากเทพธิดาบนสรวงสวรรค์

เด็กสาวทั้งสองแต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมของมือกระบี่สีขาว ข้างเอวเหน็บกระบี่คู่กาย ท่วงท่าของคนและม้าเต็มไปด้วยความสง่างามยามเคลื่อนไหว ไม่ทราบเลยว่ามีสายตากี่พันคู่ที่ถูกพวกนางดึงดูดความสนใจโดยไม่รู้ตัว

แต่เด็กสาวคู่นี้ขี่ม้าขนาบข้างเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาซึ่งอยู่ตรงกลาง และเขากำลังขี่อยู่บน… ลูกเสือมีปีกตัวหนึ่ง

ชุดเกราะที่เด็กหนุ่มสวมใส่เห็นได้ชัดว่าใหญ่มากเกินไปจนหลวมโพรก

ลูกเสือมีปีกที่เขากำลังขี่อยู่บนหลังของมันนั้น… ตัวสั่นเทา เหมือนไม่เต็มใจให้เด็กหนุ่มขี่หลังสักเท่าไหร่

แต่อย่างไรก็ตาม ลูกเสือมีปีกตัวนี้ก็คือสิ่งที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้เด็กหนุ่มดูมีความน่าเกรงขามมากขึ้นหลายเท่า

ปิดท้ายขบวนด้วยเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่โบกสะบัดผืนธง ซึ่งเขียนข้อความว่า ‘แม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร’ เดินตามมาด้านหลัง

ธงผืนนี้มีขนาดใหญ่ยักษ์ เมื่อรวมกับเสาธงด้วยแล้วน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่าหกชั่ง แต่เด็กหนุ่มร่างอ้วนกลับสามารถยกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะมืออีกข้างของเขานั้นกำลังยกน่องไก่ต้มขึ้นรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย คล้ายกับว่าไม่ได้รับประทานอะไรมานานแล้ว

นี่คือขบวนตัวประหลาดที่แท้จริง

“หยุด!”

เมื่อหลินเป่ยเฉินออกมาถึงหน้าประตูค่ายที่พัก เขาก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเสียงคำรามของเด็กหนุ่มจะก้องกังวานขนาดไหน

เสียงของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำรามยามเกิดพายุใหญ่

บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในค่ายผู้อพยพข้างเคียงต่างก็สะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตกใจ

ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง กลายเป็นจุดศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือนในเมืองพื้นที่เขตสอง

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยการกระจายข่าวจากกลุ่มของหยางต้าซาน และคนงานจากเมืองหยินเหยียน ขณะนี้ ค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่งจึงได้รับความสนใจจากผู้อพยพจากเมืองอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ขณะนี้มีผู้คนมาสมัครงานเพิ่มมากขึ้นทุกวันด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันไป…

แต่การถูกกองทัพของนครเจาฮุยมาปิดล้อมในวันนี้ คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในเขตผู้อพยพได้มากที่สุดแล้ว

ข่าวนี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างที่หลินเป่ยเฉินทำการทยอยเปิดตัวขุมกำลังของตนเองอยู่นี้ ก็มีผู้คนจากค่ายผู้อพยพอื่นๆ มารวมตัวกันเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างไกลหลายร้อยคนแล้ว

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดังกังวานราวกับนักร้องโอเปร่ากำลังแสดงละครเวที โดยที่ลูกเสือมีปีกซึ่งเขาขี่อยู่บนแผ่นหลังเดินถอยหน้าถอยหลังตลอดเวลา “พวกท่านเป็นใคร? เหตุไฉนจึงมารบกวนความสงบสุขถึงค่ายที่พักของพวกเรา?”

ในเวลาเดียวกันนี้

โค้วจงรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาแล้ว

เฉียนซื่อกระแอมไอ บังคับม้าของตนเองให้ก้าวเดินออกไปข้างหน้าเล็กน้อย และตะโกนตอบว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้ากระทำผิดกฎหมาย ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานในเมืองพื้นที่เขตสาม มิหนำซ้ำ ยังทำการจับกุมตัวนายทหารจากหน่วยม้าขาว และบังคับขู่เข็ญท่านแม่ทัพกงซุนไป๋ให้ยอมร่วมมือกับเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดใหญ่หลวง เจ้าจะยินดีออกมามอบตัวหรือไม่?”

เมื่อสิ้นเสียงคำรามของเฉียนซื่อ เหล่านายทหารในกองทัพก็ชักกระบี่ออกมาเสียงดังช้งเช้ง

ความเป็นระเบียบและความพร้อมเพรียงในการใช้กระบี่ของนายทหารเหล่านี้ ทำให้เหล่าผู้อพยพจากค่ายอื่นๆ ถึงกับตัวเย็นเฉียบด้วยความหวาดผวา

“โฮก!”

พลัน เจ้าลูกเสือมีปีกเงยหน้าส่งเสียงคำรามออกมาบ้าง

คลื่นเสียงของมันทำให้มวลอากาศปั่นป่วนรอบทิศทาง

ไม่ว่าจะเป็นม้าศึกหรืออสูรลมกรดของฝ่ายตรงข้าม ต่างก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หลายตัวขยับถอยหลัง มีจำนวนไม่น้อยถึงกับปัสสาวะราดรดอยู่กับที่… ค่ายกลที่กลุ่มนายทหารก่อตั้งพลันแตกแถวกระจัดกระจายด้วยความวุ่นวายโกลาหล

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ เอื้อมมือขยี้หัวเจ้าลูกเสือและกล่าวว่า “ดีมาก คราวหลังถ้าเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานได้รับประทานปลาแห้งเหล่านั้นอีก เจ้าก็จะได้รับประทานด้วยเช่นกัน”

ดวงตาของเจ้าลูกเสือเป็นประกายแวววาว มันส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความชอบใจ

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินตบมือลงไปที่บั้นท้ายของเจ้าลูกเสือ บังคับให้มันเดินหน้าออกไปอีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะส่งยิ้มให้แก่พวกของโค้วจงและกล่าวด้วยน้ำเสียงยานคางว่า “เดี๋ยวก่อนนะ? นั่นท่านแม่ทัพกงซุนไป๋ใช่หรือไม ข้าก็บอกท่านไปแล้วนะว่าข้อตกลงของพวกเราคืออะไร เหตุไฉนถึงได้พาพวกมามากมายขนาดนี้ล่ะท่าน?”

“เฮ้อ ความผิดที่พวกท่านพยายามใส่ร้ายข้านั้น ข้าจะอธิบายให้ฟังอีกครั้งก็แล้วกัน”

“หลังจากนี้ ข้าจะไม่เสียเวลาอธิบายอีกแล้ว”

“ที่พวกผู้คุ้มกันของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ต้องมาทำงานอยู่ในค่ายที่พักของข้านั้น เป็นเพราะพวกมันพยายามจะจับตัวหญิงรับใช้ของข้าไปทำงานในหอนางโลม ต่อให้ข้าฆ่าพวกมันตายไปสองศพ แล้วพวกท่านมีปัญหาอันใด ในเมื่อพวกมันเป็นฝ่ายมาหาเรื่องข้าก่อน?”

“ส่วนนายทหารเหล่านั้นก็ถูกจับตัวมา เพราะแอบบุกโจมตีพวกเรากลางดึก ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงพวกข้าจะเป็นผู้อพยพมาจากเมืองอื่น แต่ก็เป็นชาวเป่ยไห่ใจสู้ไม่คิดกลัวใครหน้าไหน แล้วพวกเราจับนายทหารเหล่านั้นมาฆ่าแกงหรือเปล่า? ไม่เลย พวกเราแค่นำตัวพวกเขามาใช้แรงงานก็เท่านั้น”

“ส่วนนายทหารหน่วยม้าขาว อิอิ ท่านแม่ทัพกงซุนไป๋ เหตุไฉนท่านไม่เล่าถึงเหตุการณ์นี้ด้วยตนเองดูบ้าง?”

พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับของหลินเป่ยเฉินก็หันขวับกลับมาจ้องมองที่แม่ทัพเทพสังหารกงซุนไป๋

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของกงซุนไป๋กระตุกระริกด้วยความอับอาย

ก่อนหน้านี้ เขาได้รายงานรายละเอียดทุกอย่างแก่แม่ทัพใหญ่โค้วจงไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุใด เขาจึงต้องอธิบายเหตุผลซ้ำสองด้วย?

แม่ทัพเทพสังหารแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินมองหน้ากงซุนไป๋อยู่อึดใจใหญ่ ก่อนหัวเราะในลำคอ ไม่ได้กดดันกงซุนไป๋ต่อ แต่กลับกวาดสายตาจ้องมองผู้คนที่อยู่ใต้ผืนธงขนาดใหญ่ของกองทัพ

คล้ายกับว่าเด็กหนุ่มมองไม่เห็นโค้วจง

คล้ายกับเขาไม่รู้ว่าโค้วจงมีตำแหน่งสูงส่งเพียงใด

แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านั้นพยายามหลบหน้าหลบตาเขา หลินเป่ยเฉินถึงได้ฉุกใจคิดว่าตนเองมองข้ามอะไรบางอย่างไป เขาจึงได้หันกลับมากวาดตามองนายทหารแนวหน้าอีกครั้ง และสังเกตเห็นโค้วจงในที่สุด

“ท่าน…”

หลินเป่ยเฉินยกสายแส้ในมือขึ้นชี้หน้าโค้วจงจากระยะไกล ก่อนพูด “ท่านเป็นผู้นำกองทัพวันนี้ใช่หรือไม่? ประเสริฐ ในเมื่อมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เราอย่ามาเสียเวลากันอีกเลย ท่านต้องการสิ่งใด ได้โปรดว่ามา”

หลินเป่ยเฉินมีความคิดมุ่งมั่นอยู่ในหัว

วันนี้เขาจะแสดงให้ทุกคนเห็นเองว่าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งมีความน่ากลัวขนาดไหน

เขาจะทำให้พวกขุนนางคนใหญ่คนโตจากเมืองชั้นในได้เห็นว่า ค่ายอพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ใช่ที่ที่จะมารังแกกันได้ง่ายๆ

คนพวกนั้นต้องคิดทบทวนใหม่หากอยากจะมามีเรื่องกับเขา

เพื่อที่ในอนาคต ชาวเมืองหยุนเมิ่งจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข

แต่เรื่องนี้จะสามารถเจรจาได้ด้วยคำพูดหรือไม่?

ย่อมไม่มีทาง

หลินเป่ยเฉินมีบุคลิกแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร

นั่นคือความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงต้องแสดงความแปลกประหลาดของตนเองออกมาให้ทุกคนได้เห็น

เขาคือเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้ใจร้อนวู่วาม ไม่สนใจเรื่องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือความมั่นคงทางการเมือง

ถ้ามามีปัญหากับเขา หลินเป่ยเฉินก็พร้อมทำได้ทุกอย่างทั้งนั้น

“สามหาวนัก”

“พูดจาน่าหัวเราะ”

ในกลุ่มกองทัพเว่ยซาน นายทหารระดับสูงหลายคนส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น