ตอนที่ 469 ยั่วยุ โดย Ink Stone_Fantasy
ตบหน้า…แบบนี้มันตบหน้ากันชัดๆ หนำซ้ำยังเป็นหน้าของคนจีนทุกคนที่อยู่ที่นั่นอีกด้วย มันกำลังตบหน้าของคนจีนอยู่!
วิชาทวนตระกูลเยวี่ยนั้นคิดค้นขึ้นโดยเยวี่ยเฟย (งักฮุย) แม่ทัพผู้เกรียงไกรในอดีต เมื่อครั้งกระโน้นท่านอาศัยวิชาทวนนี้สังหารชาวจินจนกลายเป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่อมาชีจี้กวงได้ปรับปรุงวิชาทวนตระกูลเยวี่ย จนเกิดเป็นวิชาทวนแบบชี เข่นฆ่าพวกโจรเตี้ย…ซึ่งก็คือชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไปมากมายเหลือคณานับ
คาโต้ ทาคุมิรู้ภาษาจีนเป็นอย่างดี ก็ต้องรู้เกี่ยวกับชื่อเสียงของวิชาทวนตระกูลเยวี่ยอยู่แล้ว และก็คงจะรู้ที่มาของวิชาทวนตระกูลเยวี่ยด้วย การที่เขากระทืบลงไปนี้ ก็เท่ากับเหยียบย่ำลงไปบนใบหน้าของคนจีนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนไฟลุกขึ้นมาทันที
“เวรตะไล ข้าเหล่าหูจะฉีกร่างแกทั้งเป็น!”
ความเหิมเกริมของคาโต้ ทาคุมิทำให้หูหงเต๋อที่ตอนแรกก็เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นหน้าอยู่แล้ว ยิ่งแดงขึ้นมาอีกราวกับท่านกวนอู มือขวาตบลงไปบนที่เท้าแขนของเก้าอี้โซฟาอย่างแรงดัง “ป้าบ” ฟองน้ำที่บุไว้ภายในที่เท้าแขนนั้นถูกเขาฟาดจนแหลกไปทันที
เมื่อเห็นหูหงเต๋อโมโหขึ้นมาเช่นนี้ จู้เหวยเฟิงก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที วันนี้เขาไม่อาจจะเชื่อใจนักมวยในสนามมวยของตัวเองได้อีกแล้ว แต่คุณตาหูผู้ทำให้อันเดรวิชจนยอมสยบราบคาบได้ในลูกถีบเดียวนั้น กลับกลายเป็นยอดของยอดฝีมือในสายตาของจู้เหวยเฟิง
แม้จะไม่เคยเห็นหูหงเต๋อใช้อาวุธมาก่อน แต่หนึ่งวิชาสามารถประยุกต์ได้ร้อยวิชา สำหรับบุคคลระดับอาจารย์อย่างหูหงเต๋อ ย่อมจะใช้อาวุธทั่วๆ ไปได้อย่างคล่องมืออยู่แล้ว และสามารถถ่ายเทพลังเข้าสู้อาวุธได้ กระทั่งยังร้ายกาจกว่าพวกที่ฝึกใช้อาวุธโบราณมาโดยเฉพาะเสียอีก
“เหล่าหู อย่าวู่วามสิ จะไปฟังมันพูดทำไมเล่า?” เมื่อเห็นร่างของหูหงเต๋อลุกพรวดขึ้นมา เยี่ยเทียนก็กดมือลงไปบนไหล่ของเขา แล้วลอบปล่อยพลังภายในออกมา ทำให้ร่างของเขานั่งกลับลงไปทันที
หลังจากที่หูหงเต๋อได้อัญเชิญเจ้ามาทรงร่างเมื่อก่อนหน้านี้ พลังเทพที่ขอยืมมาก็เพิ่งจะสลายหายไป ร่างกายกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอที่สุด พลังที่มีอยู่ดั้งเดิมก็เหลืออยู่เพียงสองถึงสามในสิบส่วน หูหงเต๋อในตอนนี้อย่าว่าแต่จะสู้กับคาโต้ ทาคุมิเลย ต่อให้ไปปะทะกับบาทาไร้เงาจางซานเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้
มิหนำซ้ำในศึกประลองอาวุธยังอันตรายยิ่งกว่าศึกหมัดมวยมากหนัก หากประมาทไปเพียงครั้งเดียวก็อาจจะกลายเป็นศพอยู่กลางเวทีได้เลย เยี่ยเทียนจึงไม่อาจปล่อยให้หูหงเต๋อไปออกศึกได้
“อาจารย์ หรือว่า…ให้ผมขึ้นไปดี?” โจวเซี่ยวเทียนก็ลุกขึ้นมาอย่างโมโหฮึดฮัดเช่นกัน “ไอ้คนญี่ปุ่นคนนี้มันจะจองหองเกินไปแล้ว ผมจะขึ้นไปอบรมสั่งสอนมันสักหน่อย!”
สมัยที่จีนและญี่ปุ่นมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นที่สุดนั้นเป็นสมัยราชวงศ์ถัง ในช่วงแรกชาวญี่ปุ่นก็มาเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากจักรวรรดิแห่งสวรรค์นี้ดั่งเป็นนักเรียน แต่เมื่อถึงสมัยราชวงศ์หมิง ญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าประเทศหมู่เกาะมีจุดด้อยอยู่ที่การขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายบุกโจมตีอดีตอาจารย์ของตัวเอง
ตั้งแต่ช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิงไปจนถึงช่วงปลาย โจรเตี้ยที่มาจากญี่ปุ่นนี้เป็นปัญหาใหญ่ของราชสำนักมาตลอด ถึงขั้นที่หากเมืองตามแถบชายฝั่งบางแห่งได้ยินใครเอ่ยถึงชื่อโจรเตี้ยขึ้นมา ก็จะอพยพทิ้งเมืองไปเลย โดยปกติโจรเตี้ยหรือคนเถื่อนจากญี่ปุ่นสักยี่สิบสามสิบคนก็สามารถยึดครองเมืองเมืองหนึ่งได้แล้ว ทำให้เศรษฐกิจทางทะเลในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลายได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
จนกระทั่งหลังจากชีจี้กวงได้ขึ้นปกครองกองทัพ สภาพการณ์ถึงได้เปลี่ยนเป็นทิศทางตรงกันข้าม แต่ความคิดที่ว่าประเทศจีนเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่และมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์นั้นได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของญี่ปุ่นจำนวนมาก ซึ่งทำให้คนเหล่านี้มีความคิดที่จะรุกรานประเทศจีนอยู่เสมอ
เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย ราชสำนักอ่อนแอลง ชาวญี่ปุ่นจึงเปิดเผยจิตใจอันทะเยอทะยานเหิมเกริมออกมาอีกครั้งโดยไม่ได้พยายามปกปิดเลย สงครามทางทะเลในปีเจี๋ยอู่ทำให้กองทัพเรือของมณฑลชายฝั่งตอนเหนือในสมัยนั้นแทบจะถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยง เขตหลี่ว์ซุ่นในมณฑลเหลียวหนิงถึงกับถูกคนญี่ปุ่นฆ่าล้างไปจนหมดเมือง
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นประวัติศาสตร์อันน่าอัปยศของประเทศจีนยุคใหม่ และความแค้นที่มีต่อญี่ปุ่นก็พัฒนาไปถึงระดับประเทศ คนจีนแทบทุกคนที่รู้ความอยู่ต่างก็จดจำประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไว้ในใจ
ในสงครามทัพญี่ปุ่นบุกจีนเมื่อหลายสิบปีต่อมา ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นคู่อริกัน นอกจากพวกที่เป็นโจรขายชาติแล้ว คนจีนทุกคนต่างก็นึกอยากจะกินเลือดกินเนื้อของคนญี่ปุ่นทั้งเป็น และกำจัดคนญี่ปุ่นเสียให้สิ้นซาก
แม้ว่าในช่วงทศวรรษที่ 70 เนื่องจากความจำเป็นทางการเมือง ประเทศจึงต้องตกลงทำสนธิสัญญากับญี่ปุ่น แต่สำหรับคนในประเทศแล้ว ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประเทศที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย มีคนจำนวนมากที่ไม่คิดจะปกปิดความแค้นที่มีต่อคนญี่ปุ่นเลย
โลหิตแค้นหลั่งไหลไปทั่วประเทศ ในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเมื่อครั้งกระโน้น ก็มีบุคคลในยุทธจักรเข้าร่วมกองทัพต้านญี่ปุ่นเช่นกัน คนเหล่านี้จึงมีความแค้นต่อคนญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าคนอื่น ปู่ของโจวเซี่ยวเทียนเดิมทีมีน้องชายอยู่สองคน หลังจากเข้าร่วมแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ดังนั้นในตอนนี้พอเห็นคาโต้ ทาคุมิเหิมเกริมถึงเพียงนี้ โจวเซี่ยวเทียนจึงลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
“บัดซบเอ๊ย ฆ่าไอ้ญี่ปุ่นนี่ให้ตายไปซะ!”
“จู้เหวยเฟิง แล้วคนของสนามมวยล่ะ? ตายไปหมดแล้วรึไง?”
ไม่ใช่แค่โจวเซี่ยวเทียนเท่านั้น แม้แต่บรรดาเศรษฐีนักธุรกิจที่มาเสาะหาความตื่นเต้นเหล่านั้น ก็ยังพากันลุกขึ้นมาด้วย บางคนซึ่งไม่ได้มีเบื้องหลังต่ำต้อยไปกว่าจู้เหวยเฟิงเลย ก็ถึงกับตะโกนโวยวายขึ้นมา ทำให้สีหน้าของจู้เหวยเฟิงยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม
“อาจารย์ ให้ผมขึ้นไปเถอะ!” โจวเซี่ยวเทียนพูดขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เซี่ยวเทียน การต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับการต่อสู้ด้วยอาวุธมันแตกต่างกันมากนะ มันมีประสบการณ์มาเยอะมาก แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก…”
อาวุธนั้นเรียกได้อีกอย่างว่าเครื่องมือสังหาร โดยเฉพาะเครื่องมือสังหารจำพวกดาบและกระบี่นี้ ด้านคมจะคมกริบอย่างที่สุด เมื่อปาดผ่านก็เกิดบาดแผล เมื่อกระทบก็ถึงแก่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฝีมือหมัดมวยร้ายกาจแค่ไหน ถ้าต้องปะทะกับอาวุธโบราณก็ต้องรู้สึกหมดหนทางเช่นกัน อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า ถึงวรยุทธจะสูงส่ง เพียงฟันดาบเดียวก็ล้มนั้น ไม่ใช่คำกล่าวที่ไร้เหตุผลเลย
ทักษะหมัดมวยของโจวเซี่ยวเทียนแม้จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว แต่ปกติเขาก็ได้เจอกับคนที่ใช้อาวุธอยู่น้อยครั้งมาก ถ้าขึ้นไปสงสัยใช้ไม่ถึงสามกระบวนท่าก็คงจะถูกคาโต้ ทาคุมิฟันบาดเจ็บแล้ว
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เพียงห้ามปรามหูหงเต๋อ แต่ยังรั้งตัวชายหนุ่มที่ดูท่าทางเป็นนักสู้เต็มตัวคนนั้นไว้อีก จู้เหวยเฟิงก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เมื่อเห็นบรรยากาศในสนามมวยเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา เขาจึงกระทืบเท้าแล้วเดินตรงไปทางห้องพักผ่อน
ภาษิตว่า เมื่อมีรางวัลใหญ่ก็จะต้องมีผู้กล้า ต่อให้จู้เหวยเฟิงต้องทุ่มสักร้อยล้าน ก็จะต้องกระตุ้นนักมวยในค่ายมวยเหล่านั้นให้เลือดร้อนขึ้นมาให้ได้ เสียคนได้แต่ไม่อาจเสียค่ายทัพ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ราบคาบ จู้เหวยเฟิงก็ไม่ยอมให้เหตุการณ์ที่นักมวยไม่กล้าขึ้นเวทีอย่างก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด
“ผู้แข็งแกร่งย่อมเจรจากันด้วยพละกำลัง ผม…คาโต้ ทาคุมิ คือผู้สืบทอดสำนักเคนโด้คิตะมิยะจากญี่ปุ่น ผมไม่ได้จะมายั่วยุพวกคุณ แต่มาเพื่อพิสูจน์ว่า วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นเรา ตอนนี้เหนือกว่าวิทยายุทธประเภทใช้อาวุธของจีนโดยสิ้นเชิงแล้ว!”
วาจาของคาโต้ ทาคุมิกระจายไปทั่วสนามมวยผ่านเครื่องขยายเสียงบนเวทีประลอง “จุดประสงค์ที่ผมมาประเทศจีน ก็เพื่อที่จะท้าสู้กับยอดฝีมือผู้ใช้อาวุธของประเทศจีน หากทุกท่านในที่นี้ยังไม่ยอมแพ้ ก็ขึ้นมาบนเวทีได้เลย!”
หลังจากเสียงของคาโต้ ทาคุมิประกาศออกไป ในสนามมวยก็เงียบกริบไปทันที คนจำนวนเกือบร้อยในสนามมวยต่างก็ถึงกับพูดไม่ออก ยามนี้ในใจของทุกคนอาจจะกำลังคุกรุ่นอยู่ก็จริง แต่ความเป็นจริงคือ…พวกเขาก็สู้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
เมื่อเห็นว่าในสนามมวยเงียบกันไปหมด บนใบหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ สิ่งที่คนญี่ปุ่นเชื่อถือก็คือ พลังอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกเรื่องล้วนตัดสินกันด้วยพลัง และจุดประสงค์ที่เขามาปรากฏกายที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อที่จะใช้พลังอันไร้เทียมทานข่มขู่องค์กรมวยใต้ดินของประเทศจีนให้สะท้านสะเทือน!
การที่คาโต้ ทาคุมิออกจากสำนักเคนโด้คิตะมิยะและเข้าสู่องค์กรการแข่งขันประลองแบบไร้กฎเกณฑ์ที่ญี่ปุ่นเมื่อสองปีก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำที่ไร้จุดประสงค์เลย หลังจากที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นได้ในสองปีนี้ ก็มุ่งหน้าไปสู้ที่ประเทศเกาหลีและประเทศจีน ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งหมดมีความลับอยู่เบื้องหลัง
ทุกคนต่างก็รู้ว่า วิชายูโดและคาราเต้ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ มีสำนักยูโดและคาราเต้อยู่ทั่วทุกแห่งในโลกนี้ ไม่ว่าที่ไหนที่มีคนอยู่ ก็จะต้องมีสองวิชานี้อยู่ทั่วถึงแทบทั้งนั้น
และการเติบโตของยูโดและคาราเต้นี้ ในแต่ละปีก็ได้สร้างรายได้ให้แก่สำนักยูโดหรือคาราเต้ของญี่ปุ่นเป็นจำนวนถึงหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ จนกระทั่งเกิดกลุ่มการเงินระดับสูงของญี่ปุ่นขึ้นหลายแห่ง
แต่วิชาเคนโด้ซึ่งมีประวัติศาสตร์ในญี่ปุ่นมายาวนานที่สุด และใช้ในการรบจริงได้ผลมากที่สุดนั้น กลับประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการเผยแพร่สู่มุมต่างๆ ในโลก อย่าว่าแต่จะหาเงินเลย แค่เงินต้นทุนที่ลงทุนไปก็ยังไม่ได้กลับคืนมา ตระกูลคิตะมิยะซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่น จึงยิ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก และเสียหายอย่างรุนแรง
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะวิเคราะห์ดูก็พบว่า สาเหตุที่การเผยแพร่วิชาเคนโด้เป็นไปอย่างลำบากนั้นมีอยู่สองประการ ประการแรกคืออาวุธโบราณหรืออาวุธที่ไม่ใช้ดินปืนนั้นได้ถอนตัวออกจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว ผู้คนจึงไม่ค่อยรู้พิษสงของมัน ประชาชนทั่วๆ ไปก็ยิ่งไม่อยากไปศึกษา
ประการที่สองก็คือ ในบางแห่งที่มีการเผยแพร่วิชาเคนโด้นั้น มักจะพบกับการยั่วยุจากกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น ภาษิตว่า มังกรแกร่งมิอาจข่มอสรพิษเจ้าถิ่น ต่อให้ตระกูลคิตะมิยะจะร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางต่อสู้ผ่านด่านงูเจ้าถิ่นเหล่านี้ไปได้แน่ หนำซ้ำเมื่อต้องเผชิญกับอาวุธปืนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาดาบหรือกระบี่ที่ร้ายกาจแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้นเมื่อขบคิดใคร่ครวญดูแล้ว ผู้วางยุทธศาสตร์ของตระกูลคิตะมิยะจึงตัดสินใจใช้วิธีการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ ทำให้องค์กรใต้ดินประเทศเหล่านั้นรู้จักความร้ายกาจของวิชาเคนโด้เสียก่อน หลังจากนั้นการเผยแพร่วิชาก็จะไม่ประสบกับอุปสรรคอีก
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ พวกเขาจะให้การแสดงวิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะนี้ ทำให้บรรดามหาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการพนันมวยใต้ดินเหล่านั้นรู้จักวิชาเคนโด้มากยิ่งขึ้น หากคนกลุ่มนี้ยอมรับวิชาเคนโด้ เชื่อว่าจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่วิชาเคนโด้อย่างมากแน่นอน
และความเป็นจริงก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ หลังจากคาโต้ ทาคุมิเดินทางไปประเทศเกาหลี สำนักเคนโด้ห้าแห่งที่ตระกูลคิตะมิยะก่อตั้งขึ้นในประเทศเกาหลีก็มีกิจการดีขึ้นมาทันที กระทั่งยังมีนักลงทุนชาวเกาหลีบางคนเข้าร่วมฝึกเคนโด้อีกด้วย ซึ่งทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินหมากถูกทางแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ทราบว่าองค์กรจัดการแข่งขันต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ในประเทศจีนได้เชิญราชามวยจากรัสเซียคนหนึ่งมาร่วมแข่งขันที่จีน คนกลุ่มหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะจึงเริ่มเกิดความคิดขึ้น ประเทศจีนมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน หากสามารถเปิดตลาดที่นี่ได้ อย่างนั้นรายได้ก็จะมากจนสุดเกินที่จะจินตนาการได้เลย
ดังนั้นคาโต้ ทาคุมิจึงได้เดินทางมายังประเทศจีน แต่คนญี่ปุ่นเหล่านั้นกลับลืมไปประเด็นหนึ่งคือ ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น ทำให้การกระทำของคาโต้ ทาคุมิกลับกลายเป็นการยั่วยุอย่างหนึ่งในสายตาของผู้ชม และยังเป็นการยั่วยุคนจีนทั้งประเทศอีกด้วย
“วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นน่ะ ก็แค่วิชาที่เกิดมาจากวิชาดาบกับกระบี่ของจีนเท่านั้นแหละ แล้วยังฝึกแค่พละกำลัง แต่ไม่ได้ฝึกกำลังภายใน แบบนี้ยังจะกล้ามาคุยโตโอ้อวดที่ประเทศจีนอีกเรอะ!”
ขณะที่ทุกคนในสนามมวยกำลังมีสีหน้าอับอายอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็พลันพูดขึ้น จากนั้นชายหนุ่มที่ดูน่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งก็เดินขึ้นไปบนเวทีมวย
……