GGS:บทที่ 945 ค้นพบ

 

ซูจิ้งทำการตรวจสอบเกาะของผีดิบอย่างละเอียดละออ ยิ่งเขาเห็นก็ยิ่งชอบชุดเกราะนี่มากขึ้น เขาได้ลองขอให้ผีดิบถอดเกราะหยกออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่เขาเอามาแทน นั่นก็เพราะว่าเจ้าชุดเกราะหยกนี้มันดูเจ๋งเกินกว่าที่จะให้ผีดิบนี้สวม มันน่าเสียดายเกินไป

ซูจิ้งได้กลับไปจัดการกับขยะที่เหลือต่อ เขาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงในการจัดการขยะกองหินและขยะกองไม้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เจออะไรที่มันดูพิเศษเพิ่มเติมอีก แต่เขาก็เจอไม้ที่พอจะมีค่าและเขาชอบอยู่เหมือนกัน แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้เจออะไรเพิ่มติมแต่อย่างใด

“ฮอว์” เสี่ยวไป๋ได้ร้องออกมาดังลั่นจนต้องทำให้ซูจิ้งหันไปดูที่ขยะกองกระดาษในทันที เหมือนเขาหันไปดูก็พบว่าขยะกองกระดาษได้ซ่อมแซมเสร็จจนหมดแล้ว

ตอนแรกที่เขาต้องการนั้นคือให้เสี่ยวไป๋ซ่อมกระดาษเฉพาะชิ้นที่น่าสนใจเท่านั้น แต่กลายเป็นว่ากระดาษกองนี้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วทั้งหมด

เหตุผลหลักก็มีอยู่สองอย่างนั่นก็คือ อย่างแรก ขยะกองกระดาษถือได้ว่าเป็นขยะที่ซ่อมแซมได้เร็วที่สุดและการซ่อมกระดาษเหล่านี้ก็ไม่ได้เปลืองพลังของเสี่ยวไป๋สักเท่าไหร่นัก

 

อย่างที่สอง กระดาษ ถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าสำหรับเขาในการรู้เรื่องราวต่างๆของห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมา และแน่นอนว่าบางชิ้นนั้นมีประโยชน์เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดได้มาก็หลายหนแล้ว

เมื่อซูจิ้งเห็นดังนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องรีบมาแยกกระดาษออกอีกทีหนึ่ง ก่อนหน้านี้กระดาษที่ได้จากขยะกองนี้นั้นบ่งบอกได้แค่ว่าพวกมันมาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเท่านั้น แต่เขาก็ยังไม่ได้เจออะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขานั้นยังไม่ตัดใจจากขยะกองกระดาษกองนี้อยู่ดี

“นี่คือ?” ซูจิ้งได้หยิบปึกหนังสือขึ้นมาดู ถึงแม้มันจะยังมีร่องรอยฉีกขาดอยู่บ้างแม้จะผ่านการซ่อมแซมไปแล้ว แต่นี่ก็พอที่จะทำให้เขานั้นตาเป็นประกายในทันทีเมื่อเห็นว่าหนังสือมีชื่อว่า “ตำรากระดาษการสงคราม”

 

ซูจิ้งไม่รอช้ารีบเปิดอ่านในทันที วิชานี้ถือได้ว่าเป็นไสยเวทย์อย่างหนึ่ง เมื่อได้ฝึกตำรานี้จะทำให้สามารถตัดกระดาษออกมาเป็นรูปอะไรก็ได้ เพียงแต่โยนกระดาษนั้นออกไปจากกลายเป็นทุกสิ่งอย่างตามที่ผู้เรียนรู้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ เทวฑูต นางฟ้า ประตูวาร์ป หรืออะไรก็ได้ตามใจปรารถนา

ด้วยการที่กระดาษสามารถสอดแทรกตัวเองลงไปได้ในช่องว่างแคบๆเพื่อโจมตีใครก็ได้ที่ต้องการ ถึงแม้พลังของมันจะแค่ดีกว่ากำลังของคนทั่วไปนิดหน่อย แต่หากเมื่อเจอจริงๆล่ะก็คงต้องเปิดช่องให้โดนรอบข้างกันบ้างอยู่ ต่อให้เจอคนแกร่งๆก็ยังมีพลาดท่ากันเลยทีเดียว แต่ให้ไม่ได้เด็ดดวงแบบกระสุนเงินตัดหัวใจ แต่ก็ต้องมีล้มทั้งยืนกันบ้าง

 

“ฉันจำได้ว่าในสำนักดาบเตียนเฮอนั้นมีห้องสมุดเวทมนต์อยู่ มันเป็นห้องสมุดหอนอก ด้วยการที่เจ้าวิชานี้นั้นเป็นไสยเวทย์ระดับต่ำแถมยังพลังต่ำกว่าไสยเวทไหนๆในสถาบันทำให้มันต้องไปอยู่ที่นั่น

อย่าว่าแต่เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเลย แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่อยากจะเหลียวแลแม้แต่น้อย”

ซูจิ้งเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันแต่ถึงวิชานี้มันจะพลังอ่อนดอยจนาดไหนก็ตาม แต่ยังไงซะในโลกที่เต็มไปด้วยคนทั่วไปแบบนี้ ยังไงซะวิชากระดาษการสงครามนี้ก็ยังทรงพลังอยู่ดี

แต่เอาจริงๆแล้วสิ่งที่สนใจที่จะเรียนรู้จากตำรานี้มากที่สุดคือวิธีการตัดกระดาษให้การเป็น วิญญาณดี วิญญาณร้าย และประตูวาร์ป หากใช้ดีๆล่ะก็ ยังไงซะก็ต้องได้ผลลัพท์ดีๆอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

 

หลังจากที่ซูจิ้งได้อ่านตำรากระดาษการสงครามนี้ดูก็พบว่าใจตอนนี้นั้นเขายังไม่สามารถเรียนตำรานี้ได้ นั่นก็เพราะระดับพลังภายในที่ถือได้ว่าเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการเรียนรู้ตำรานี้ถึงจะไม่สูงมาก แต่ก็ยังสูงกว่าระดับพลังภายในของเขาในตอนนี้อยู่ดี

เขาเองก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นเพียงได้แค่ต้องเก็บตำรานี้ไว้ก่อน เขานั้นได้หาตำราที่จะฝึกกำลังภายในมานานมากแล้ว ภาวนาทุกครั้งที่ขยะห้วงเวลาฯชุดใหม่มาแต่ก็ยังไม่เจอเลยสักที ได้แต่หวังว่าครั้งนี้จะได้เจอสักหน

ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้หยิบตำราหนึ่งขึ้นมาดู หน้าปกของมันนั้นมีเพียงตัวอักษรตัวใหญ่ๆตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เหมือนเห็นคำนี้เท่านั้น หัวใจของเขาก็เต้นระรัวในทันที เหตุผลก็เพราะสิ่งที่เขาใฝ่หามานานปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

ยิ่งซูจิ้งมองตัวอักษรที่อยู่บนหน้าปกตำรานี้นานเท่าไหร่ อาการของเขาก็ยิ่งดูตื่นเต้นมากขึ้น จนในที่สุดแล้วตัวเขานั้นก็แสดงท่าทางตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดดีใจออมาเลยทีเดียว

หากตำรานี้เป็นอย่างที่เขาจำได้ล่ะก็ นี่คือวิธีการบ่มเพราะพลังภายในของธาตุน้ำ ถึงแม้ชื่อของมันจะมีแค่เพียงคำๆเดียวซึ่งแตกต่างจากตำราน้ำทมิฬที่เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าฝึกฝน แต่ตำรานี้ถือได้ว่าดีกว่าแบบสุดลูกหูลูกตา

 

ตำราน้ำทมิฬที่ว่ามานั้นคือตำราของสำนักมารที่ยอมให้เฉพาะผู้สืบทอดและสิทธิ์ภายในเท่านั้นที่จะสามารถฝึกได้ ด้วยการที่วิธีการฝึกของตำรานี้เรียกได้ว่าสุดเหวี่ยงเพื่อจะให้ไปได้ในจุดสูงสุด ถึงขนาดที่ว่าควบคุมสายน้ำทุกที่ที่อยู่บนโลกได้ดั่งใจปรารถนา แม้แต่หิมะ หมอก น้ำแข็ง ก้อนเมฆ สายฝน และลูกเห็บ ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ดังใจนึก แถมยังสามารถหลอมรวมไปกับพลังให้ธาตุน้ำ คืนชีพได้ดั่งมังกรดำ บินทะลุผ่านเวลา ควบคุมได้แม้แต่สายฟ้าด้วยการสร้างเมฆและฝน หายใจออกมาเป็นสายลมแรง และดื่มกินคลื่นลมทะเล แค่นี้ก็แทบจะบอกได้ว่ามีพลังไม่สิ้นสุดและไม่หยุดยั้งราวกับว่าเป็นมังกรโบราณเลยก็ว่าได้

 

ตำรา “ราชันย์แห่งสายน้ำ” ที่ซูจิ้งถืออยู่นี้ไม่ใช่เพียงตำราที่จะสอนให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสายน้ำ ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดานั้น ตำราเล่มนี้แทบจะถือได้ว่าเป็นตำราที่อยู่นอกสารบบของตำราบ่มเพาะทั้งมวลจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำราในตำนานที่ทุกคนขยาดและมีเพียงแค่การกล่าวถึงเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ถือได้ว่าเป็นตำราบ่มเพาะพลังภายในที่แท้จริงเล่มหนึ่ง เป็นตำราที่เน้นการบ่มเพาะจริงๆ ไม่เหมือนกับตำราสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เน้นไปการบ่มเพาะเพื่อการรักษา นี่ถือได้ว่าเป็นสมบัติของซูจิ้งอย่างแท้จริงเลยทีเดียว

“อืมมมมม ลองดูอีกทีแล้วกัน อาจเจอวิถีการฝีกพลังภายในที่ดีกว่านี้ก็ได้” ไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นไม่ถูกใจตำราเล่มนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเขาเองก็ยังหวังอยู่นิดหน่อยว่าอาจจะเจอตำราที่ดีกว่านี้เท่านั้นเอง

 

ดังที่มีคำกล่าวที่ว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ยิ่งเริ่มต้นดีเท่าไหร่ยิ่งอนาคตสดใส

 

แต่ซูจิ้งก็ได้แต่เพียงหวังไปเท่านั้น หลังจากเขารื้อค้นขยะกองกระดาษที่ผ่านการซ่อมแซมแล้วดูเขาก็ไม่พบวิธีการบ่มเพาะที่ดีกว่าตำรา “ราชันย์แห่งสายน้ำ” เลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆเขาเองไม่พบตำราหรือข้อมูลที่มีค่าอีกเลยด้วยซ้ำ

ในที่สุดซูจิ้งก็ทำได้แค่เพียงตัดใจเท่านั้น เขาได้ตรงไปยังสวนและนั่งลงข้างๆสระน้ำและเริ่มทำการฝึกตำราจ้าวแห่งสายน้ำในทันที

อาจเป็นเพราะว่าเขาเองได้ฝึกตำราวิถีแห่งใต้หล้ามาก่อนทำให้นั้นเข้าใจวิธีการบ่มเพาะของตำราจ้าวแห่งสายน้ำไม่ยากนัก

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รอบตัวซูจิ้งก็ได้มีกระแสลมหมุนวน ทั่วทั้งร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยไอน้ำ ดอกไม้และพืชต่างๆที่อยู่ใกล้ๆเต็มไปด้วยหยาดน้ำค้าง และผืนหญ้าที่เขานั่งทับนั้นเปียกชุ่มไปหมด

หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ไอหมอกก็พวยพุ่งในระยะสามเมตรโดยรอบ พอมาถึงตอนนี้ซูจิ้งได้หยุดการบ่มเพาะและได้ทำการยกมือขวาขึ้นมาข้างหน้าและนั่นทำให้ไอน้ำที่อยู่รอบๆก่อตัวออกมาเป็นมือข้างหนึ่ง

ด้วยการควบคุมของซูจิ้งทำให้มือนั้นลอยไปมาหมุนวนโดยรอบได้ดั่งใจปรารถนาโดยในการควบคุมครั้งนี้นั้น ซูจิ้งไม่ได้ใช้กระแสจิตแต่อย่างใด เขาใช้เพียงวิชาที่เขาได้เรียนรู้มาจากตำราจ้าวแห่งสายน้ำเท่านั้น

 

เขารู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขานั้นเพิ่มสูงมาพอสมควร และนี่ก็พึ่งจะผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้นแต่กลับเพิ่มขึ้นราวกับตอนที่เขาฝึกตำราสัมผัสแห่งใบไม้ฯอยู่ร่วมเดือน หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ไม่นานเขาจะสามารถฝึกในขั้นกลางได้อย่างแน่นอน

“เพียงแค่ฝึกตำรานี้วันเดียวฉันก็เพิ่มพลังภายในได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ฉันนี่อัจฉริยะจริงๆ” ซูจิ้งใจตอนนี้นั้นมีใจที่เปี่ยมสุขอย่างมาก

เมื่อเทียบกับเฉียวเฟยที่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการฝึกตำราน้ำทมิฬได้อย่างถ่องแท้ในหนึ่งเดือนแล้ว ตัวเขานั้นถือได้ว่าล้ำกว่าเป็นร้อยเท่า

นั่นก็เพราะว่าเฉียวเฟยนั้นตั้งใช้เวลาเดือนกว่าเพื่อที่จะควบคุมเมฆหมอกไอน้ำได้ แต่กับซูจิ้งแล้วนั้นเพียงวันเดียวก็สามารถทำได้ หากเทียบกันแล้วซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะก็ยังได้

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตัวเขานั้นไม่ใช่อัจฉริยะอะไรพวกนั้นหรอก เพียงแค่ตัวเขานั้นมีองค์ประกอบต่างๆที่ดีกว่าก็เท่านั้นเอง

องค์ประกอบที่ว่านั้นหลักๆก็จะเป็นสภาพร่างกายและระดับของจิตใจที่ดีเยี่ยมทั้งคู่ อีกทั้งเขานั้นได้ฝึกฝนตำราวิถีแห่งใต้หล้าที่ได้มาจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วมานานกว่าสองปี

เอาจริงๆหากว่าอยู่ๆเขาต้องไปนั่งบ่มเพาะตำราต่างๆในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลทราบเทพธิดาล่ะก็ เอาค่าระดับกลางเขาก็ไปไม่รอดแล้ว

เมื่อเทียบกับเฉียวเฟยที่ฝึกตำราน้ำทมิฬด้วยสภาพแคะแกนตัวเหลืองเซียวเพราะขาดสารอาหารแบบนั้น เขาเทียบไม่ได้เลยสักนิด

 

ซูจิ้งนั้นที่รู้สึกว่าฝึกเพียงพอแล้วในตอนนี้ก็ได้ลึกขึ้นยืนและก็ได้พบเรื่องประหลาดใจในทันที เขาได้พบว่าเสื้อผ่าที่เปียกโชกไปด้วยน้ำจากหมอกก่อนหน้านี้อยู่ๆก็แห้งในทันที อีกทั้งร่างกายของเขาก็เหมือนจะแข็งแรงขึ้นแบบฉับพลันอีกด้วย

 

หลังจากนิ่งคิดไปสักพักเขาก็เลิกใส่ใจไปก่อนและคิดว่าจะกลับเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้น ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมา และก็พบว่าเป็นโจวฉือเซียนที่โทรหาเขา

เขาได้รับสายและถามออกไปว่า “คุณโจว กลับมาจากออกทะเลแล้วหรือครับ ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าพื้นทะเลที่ผมเจอของจากแอตแลนติสนั่นไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้ว คุณถอดใจซะดีกว่า อย่าเสียเวลาอีกเลย”

หลังจากตอนที่เขากุเรื่องสมบัติจากนครที่สาบสูญแอตแลนติสไปนั้น ทำให้มีเหล่านักธรณีวิทยา นักบรรพชีวินพร้อม พร้อมทั้งนักกู้ซากทั้งหลาย ได้ตั้งทีมขึ้นและแทบจะยึดบ้านเขาเป็นฐานที่มั่นในการค้นหาร่องรอยแห่งแอตแลนติส

ซูจึ้งรู้สึกรำคาญก็ได้จิ้มจุดที่คิดว่ามีโอกาสจะเป็นที่ตั้งของตำนานนั้นไปบนแผนที่แทบจะแบบส่งเดชเลยด้วยซ้ำไปเพื่อทำให้คนพวกนี้ยอมย้ายออกไปจากบ้านเขาสักที

ส่วนพวกเขานั้นจะไปดำกันยังไง วิธีการไหนนั้น ด้วยตัวเขาเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ในตอนนี้เขาเองก็เริ่มรู้สึกนึกละอายในตัวเองเหมือนกันที่ต้องให้โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อไปเสียเวลาควานหาของลมๆแล้งๆแบบนั้น

“ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้วเราพบอะไรบางอย่างแล้วน่ะ” โจวซิเซียนพูดออกมา

“นั่นไงผมก็บอก….ห้ะ เดี๋ยว คุณว่าไงนะ” ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปในทันที พลางคิดถึงที่โจวฉือเซียนพูดออกมาเมื่อกี้ว่าพบอะไรบางอย่าง นั่นเขาแค่จิ้มส่งๆไปเองไม่ใช่เหรอ จะโชคดีเกินไปแล้ว

“ใช่แล้ว เราพบเรือจบอยู่จำนวนหนึ่ง และเราก็พบสมบัติจำนวนมากในเรือด้วย แต่ด้วยการที่น้ำลึกมาก อย่าว่าแต่เรื่องที่พวกมันเกี่ยวข้องกับแอตแลนติสหรือเปล่า เราก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของช่วงเวลาไหนด้วยซ้ำ หลังจากที่เราเจอไม่นานนักไอ้พวกญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาและอ้างตัวเป็นเจ้าของและทำการเก็บกูซากในทันที

พวกมันทำงานกันเร็วมากแถมเทคโนโลยีการเก็บกู้ซากยังดีกว่าพวกเราเสียอีก

ด้วยเหตุนี้พวกมันเลยถือโอกาสอ้างกรรมสิทธิ์กึ่งบังคับ แถมยังมีกองกำลังมาสนับสนุนพวกมันจนพวกเราฝืนไม่ได้แม้แต่น้อย

คุณซู ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ ผมขอให้คุณสนับพวกเราเรื่องเงินและกองกำลังทางทำหารจากรัฐบาลได้รึเปล่าครับ

เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่งั้นสิ่งที่เราทุ่มเทลงไปจะสูญเปล่าแน่นอน” โจวฉือเซียนพูดออกมาแบบละล่ำละลักอย่างเร็วและเต็มไปด้วยความโกรธ

พวกเขานั้นพบสมบัติพวกนั้นก่อนแต่โดนญี่ปุ่นชุบมือเปิบไปแบบหน้าด้านๆ ถึงแม้จะบอกว่าในน่านน้ำเปิดแบบนั้นไร้ซึ่งกฏหมาย หากมือใครยาวสาวได้สาวเอาก็ตาม แต่เขานั้นโกรธมากจริงๆ