“มดสูบมาร มันคือทะเลมดสูบมาร!”

เมื่อเห็นแมลงมารรูปร่างเหมือนกับตะเกียบสีม่วงเหล่านั้นชัดเจนแล้ว หานลี่ก็หายใจดังเฮือก สีหน้าเผยให้เห็นถึงความตื่นกลัวอย่างที่น้อยนักจะได้พบเห็น

“ไป รีบกลับเข้าเมือง!” หานลี่ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่ลังเล ผิวกายเปล่งแสงวิญญาณ แล้วกลายร่างเป็นรุ้งโค้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งสู่กลางอากาศ แล้วบินแหวกอากาศ ไปยังเมืองเซวี่ยยา

เพียงส่องกะพริบสองสามครั้ง แสงสีน้ำเงินก็ไปโผล่ยังที่ซึ่งไกลออกไปร้อยกว่าจั้ง

เด็กสาวเองก็ทิ้งตัวลงพื้นอย่างรีบร้อน กลายร่างเป็นร่างเดิมในสภาพอสูรตัวเล็กๆ รีบตามติดไป เมื่อตามทันแล้ว ก็ซึมแทรกเข้าไปในร่างของหานลี่หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

คลื่นแมลงที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้เชื่องช้า แต่ด้วยความเร็วในการบินสุดกำลังของหานลี่ เวลาเพียงไม่นานก็สลัดทิ้งห่างจนไร้เงา

เรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องได้เกิดขึ้น เมฆม่วงเมื่อกลืนเอาหมอกเขียวไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว เมฆที่แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้าก็เริ่มสั่นไหว แล้วถอยกลับไปราวกับกระแสคลื่น

หานลี่ถึงแม้ไม่ได้เห็นฉากนี้ แต่กำลังรีบพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูง ไม่มีใจที่จะมาคิดเรื่อยเปื่อย ในสมองกำลังครุ่นคิดถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมดสูบมารไปมา สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

“มาถึงขั้นนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนแรกเป็นคลื่นอสูรที่เกิดจากการรวมตัวของอสูรพิษอย่างอสูรหางผีเสื้อ จากนั้นแมลงมารอย่างมดสูบมารก็โผล่ตามออกมา! นี่มันเป็นหนึ่งในหายนะแห่งแดนมารเลยนะ ไม่ใช่สิ่งที่ความสามารถของมนุษย์จะต้านทานได้เลย” หานลี่พึมพำกับตัวเอง บินไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าพลางขบคิดเรื่องราวต่างๆ ในใจอย่างหาคำตอบไม่ได้

มดสูบมาร หากเพียงแค่ตัวเดียว ก็เทียบระดับได้ประมาณไม่เกินผู้บำเพ็ญระดับฝึกปราณ แต่เกิดรวมตัวกันเป็นคลื่นแมลง ด้วยความสามารถในการดูดพลังมารและพลังวิญญาณจำนวนมาหาศาลอย่างน่าหวาดกลัว ก็ไม่อะไรมาต้านทานได้ทั้งสิ้น กำลังของมนุษย์ไม่สามารถทำลายได้เลยแม้เพียงเล็กน้อย

ว่ากันว่าที่ซึ่งมีทะเลมดปะทุขึ้น แม้หญ้าสักต้นก็ยังไม่รอด ทุกสิ่งที่ขวางทางล้วนแต่ถูกมดสูบมารดูดกินไปจนหมดสิ้น

คลื่นอสูรที่เกิดขึ้นจากอสูรหางผีเสื้อก็นับว่าน่ากลัวอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เมื่อเทียบกับทะเลมดนี้เรียกได้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ระดับความอันตรายไม่ต้องกล่าวถึงเลย

จากที่เล่าลือกัน ถึงกับเคยมีตัวตนอย่างผู้บำเพ็ญระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ถูกทะเลมดเหล่านี้ดูดกลืนเอาพลังปราณไปจนหมด จนต้องทิ้งชีวิตเลยทีเดียว

ดังนั้นถึงแม้หานลี่จะมีอิทธิฤทธิ์น่าเกรงขาม ก็ไม่มีทางยินดีจะตกเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

แต่เมื่อหานลี่ได้เห็นปราการเมืองขนาดยักษ์ของเมืองเซวี่ยยารำไรแต่ไกลๆ ใจก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที

เมืองเซวี่ยยาในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าถูกอสูรน้อยใหญ่ปิดล้อมเอาไว้หลายชั้นแน่นหนา ไร้ช่องโหว่ จำนวนมีมากถึงหลายล้าน

อสูรมารเหล่านี้มีพลังปราณแข็งแกร่งแตกต่างกัน แต่ในจำนวนนั้นก็มีอยู่จำนวนหนึ่งที่มีพลังแก่กล้าเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะมีแรงกดดันวิญญาณที่แก่กล้าไม่ด้อยไปกว่าจอมมารเลย

แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ อสูรมารเหล่านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อโจมตีเมืองเซวี่ยยา แต่มีบางเผ่าพันธุ์เบียดเสียดเข้าด้วยกัน มองไปยังทุ่งโล่งทั้งสี่ด้านไปมาไม่หยุด และส่งเสียงคำรามต่ำอย่างไม่สงบอยู่เป็นพักๆ

บนกำแพงเมืองเซวี่ยยา ในเวลานี้มีมารจำนวนมากออกันอยู่

ในจำนวนนั้นมีองครักษ์มารประจำเมืองเซวี่ยยา และที่มีจำนวนมากกว่าก็คือมารทั่วไปที่พำนักอยู่ยังปราการแห่งนี้

พวกเขาดูราวกับไม่ใส่ใจอสูรมารเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกเขตต้องห้าม ต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวจ้องนิ่งออกไปยังขอบฟ้าปลายสุดทุ่งร้าง ประหนึ่งว่าอีกไม่นานจะมีสิ่งที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดปรากฏตัว

“หรือว่าพวกมารในเมืองจะรู้เรื่องการมาถึงของมดสูบมารแล้ว” เมื่อเห็นสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ หานลี่ก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แล้วคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นได้ในใจ

ด้วยความเร็วของหานลี่ ชั่วพริบตาเดียว ก็กะพริบโฉบผ่านท้องฟ้าเหนืออสูรมารฝูงต่างๆ ไป แล้วเข้าไปในกำแพงเมืองเซวี่ยยาทันทีโดยไม่สนใจที่จะปิดบัง

เขตต้องห้ามหลายชั้นที่ถูกสั่งใช้งานแล้วเหล่านั้น เพียงแต่สั่นกระเพื่อมสองสามครั้ง แต่ต้านทานหานลี่ไม่ได้เลยแม้สักนิด

สาวโปรยดอกไม้มนกำแพงเมืองและเผ่ามารทั้งหลายเห็นเช่นนั้นถึงแม้จะรู้สึกตะลึง แต่สภาพการณ์ในตอนนี้ ก็ไม่มีใครที่เข้ามาขัดขวางหรือสอบถามสิ่งใด

แสงเขียวส่องกะพริบ ทันใดนั้นหานลี่ก็ลอยพุ่งไปสู่ใจกลางปราการเมือง

ในเวลานี้ ทุกแห่งกลางเมืองเซวี่ยยาเต็มไปด้วยความโกลาหล ทั้งเขตต้องห้ามต่างๆ เห็นได้ชัดว่าถูกรื้อออกไปแล้ว แสงหลีกหนีรูปร่างและสีสันต่างๆ บินไปมาทั่วท้องฟ้า และยังมีมนุษย์มารจำนวนหนึ่งกำลังควบคุมสายลมมารหลายสายไปรวมตัวกันอยู่ใจกลางเมือง สีหน้าเคร่งขรึมกำลังกระซิบกระซาบคุยอะไรกันอยู่

หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง

และในเวลานั้นเอง ความว่างเปล่าที่อยู่ไม่ไกลก็กระเพื่อมไหวขึ้นมา แสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกมา

หานลี่สะดุ้งเล็กน้อย แล้วขยับมือข้างหนึ่ง คว้าแสงสีเหลืองนั้นเอาไว้ในมือ

พริบตาเดียวเปลวเพลิงลูกหนึ่งก็ปะทุขึ้นกลางฝ่ามือ เสียงอันเคร่งขรึมของบรรพชนตระกูลหล่งดังออกมา

ถึงแม้จะเป็นคำพูดเพียงคร่าวๆ ไม่กี่คำ แต่หานลี่ได้ฟังก็สีหน้าเปลี่ยน ขยับกายเล็กน้อย แล้วพุ่งตรงไปยังมุมหนึ่งของปราการเมือง

เพียงครู่เดียว แสงหลีกหนีของหานลี่ก็ดับลง ปรากฏกายทันทีที่มุมสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่สะดุดตา

ที่นั่น พวกบรรพชนตระกูลหล่ง หญิงสาวในชุดขนนก ชายตระกูลหลิน ผู้อาวุโสฮุยรอกันอยู่ที่นั่นนานแล้ว แต่กลับไม่พบเงาของพวกสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและชนเผ่าวิญญาณคนอื่น

“สหายหาน ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้ หากช้ากว่านี้ละก็ พวกข้าเกรงว่าจำเป็นต้องชิงฝ่าวงล้อมออกไปก่อน” บรรพชนตระกูลหล่งทันทีที่เห็นหานลี่ ก็พูดขึ้นทันทีด้วยความดีใจ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าเป็นเพราะมดมารเหล่านั้นเป็นเหตุ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกจนเกินไป ด้วยความเร็วของพวกเรา ถ้าหนีไปตอนนี้คงไม่มีปัญหาอะไร” หานลี่พยักหน้าไปยังคนอื่น แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ดูท่าพี่หานยังไม่รู้ ก่อนหน้านี้ไม่นานทุกด้านของเมืองเซวี่ยยาก็ปรากฏเงาของมดสูบมาร ตอนนี้ทุกคนในเมืองต่างรู้กันจนทั่วว่าอสูรมารด้านนอกเหล่านั้นเองก็ถูกทะเลมดเป็นตัวกระตุ้น ถึงได้หนีมาใกล้ที่นี่ ในเวลานี้พื้นที่รัศมีหมื่นลี้ถูกทะเลมดล้อมประกบเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้ใช้ความสามารถของพวกเราแหวกฝ่าไป ก็เกรงว่ายังต้องเผชิญกับอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว” บรรพชนตระกูลหล่งได้ยิน ก็ถอนใจหนึ่งทีแล้วพูดตอบ

“ถ้าเช่นนี้พื้นที่รอบนี้ก็ถูกทะเลมดปิดล้อมเอาไว้จนหมดแล้วสินะ ข้าก็ว่าไยอสูรมารเหล่านั้นและคนในเมืองถึงได้ปรองดองกันขึ้นมา แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องรีบฝ่าออกไปแต่โดยเร็วที่สุด ที่แห่งนี้เป้าหมายใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากรอให้มดปรากฏตัว เมืองเซวี่ยยาจะต้องตกอยู่กลางทะเลมดอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นหากคิดจะหนีให้รอดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” หานลี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วพูดออกมาอย่างไม่ลังเล

“จุดนี้ ข้าเองก็รู้ดี แต่ก่อนจะฝ่าวงล้อมออกไป ข้ายังมีเรื่องที่จะฝากฝังอยู่สักหน่อย เพราะว่าการตีฝ่าวงล้อมออกไปครั้งนี้ยากคาดเดาว่าจะเกิดดีร้ายอะไรขึ้นกับสหายทุกท่าน เพื่อที่จะทอนแรงกดดันของทะเลมด ก็คงได้แต่ต้องแยกกลุ่มกัน จะรวมตัวกันเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นอันขาด หาไม่แล้วด้วยความเจ้าเล่ห์ของมดสูบมาร คงจะต้องเล็งพวกเราเป็นเป้าหมายหลักอย่างแน่นอน และเกรงว่าจะต้องได้ตายกันหมด ณ ที่แห่งนี้ จากความน่ากลัวของทะเลมดสูบมาร พวกเราทั้งหมดกว่าครึ่งมีเพียงแต่ต้องหนีไปยังทุ่งร้างให้ได้ในอึดใจเดียวเท่านั้น จึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง ทุ่งร้างกว้างใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เกรงว่าพวกเราคงยากจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ดังนั้นสถานที่รวมตัวกันครั้งถัดไป ก็เป็นเมืองฮ่วนเย่หน้าทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวแล้วกัน หากพวกเราฝ่าทะเลมดออกไปได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรออะไร ให้พุ่งตรงไปยังเมืองแห่งนี้ก็พอ รอให้ถึงเมืองฮ่วนเย่ พวกเราได้รวมตัวกันอีกครั้ง ค่อยหารือกันเรื่องกิ้งก่ามารแปดขาและทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว” บรรพชนตระกูลหล่งพูดจนจบในคราวเดียว

“หากมีใครรั้งท้ายหรือติดอยู่ยังที่ใดที่หนึ่งด้วยเหตุใดก็ตามจนไม่สามารถไปถึงเมืองฮ่วนเย่จะทำเช่นไร จะให้คนที่ไปถึงก่อนรอตลอดไปก็คงไม่ได้หรอกกระมัง” ชายตระกูลหลินขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยความสงสัย

“ทุกท่านโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าเองย่อมใคร่ครวญมาแล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เวลาที่พวกเรามาพบกันอีกครั้งกำหนดให้เป็นวันนี้ในอีกสองปีข้างหน้า เมื่อถึงเวลาไม่ว่าจะไปถึงกันกี่คน ก็จะไม่มีการรอ สำหรับสถานที่ที่ชัดเจนในการชุมนุมก็เป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วนเย่แล้วกัน” อาวุโสตระกูลหล่งได้คิดเรื่องนี้มาแต่แรกแล้ว จึงพูดตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“เวลาสองปี ขอเพียงไม่เจอกับปัญหาใหญ่โต ก็นับว่าเพียงพอ สถานที่ในการรวมตัว ข้าเองก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น เช่นนั้นก็เอาตามที่พี่หล่งพูดเถอะ ใช่แล้ว สหายเชียนชิวเล่า ไยถึงเวลานี้แล้วพวกนางจึงยังไม่ปรากฏตัว” หานลี่เงียบไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้า

คนอื่นเมื่อฟังแล้ว ก็ไม่ได้คัดค้านเช่นเดียวกัน

“ใช่แล้ว ไยยังไม่เห็นสหายเชียนชิวและเหล่าสหายเผ่าวิญญาณ คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรอกกระมัง” หานลี่มองไปรอบๆ แล้วถามขึ้นอีกครั้งทันที

ได้ยินเช่นนั้น บรรพชนตระกูลหล่งและคนอื่นๆ ต่างแสดงสีหน้าประหลาดออกมา

“พี่หานคงไม่รู้ พวกสหายเผ่าวิญญาณ เมื่อสองวันก่อนได้จากไปก่อนแล้ว ข้ามีม้วนหยกข้อความที่สหายเชียนชิวฝากเอาไว้ พี่หานลองอ่านดูก่อน พี่หล่งเองก็เพิ่งจะได้รับเช่นกัน เนื้อความด้านในสหายคนอื่นได้อ่านกันแล้ว” คราวนี้ เป็นหญิงสาวในชุดขนนกที่อธิบายเสียงเรียบ แล้วยกมือที่ขาวดั่งหยกขึ้นมาข้างหนึ่ง โยนม้วนหยกสีขาวม้วนหนึ่งไปยังหานลี่

บรรพชนตระกูลหล่งได้ยิน ใบหน้าก็กลายเป็นยิ้มแห้งๆ

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ ไหนข้าดูสิ” หานลี่ได้ยินก็ตกใจ ใช้มือข้างหนึ่งรวบม้วนหยกเอาไว้กลางฝ่ามือ แล้วใช้จิตสัมผัสกวาดส่องเข้าไปด้านใน

เพียงชั่วอึดใจเดียว หานลี่ก็ขมวดคิ้วดึงจิตสัมผัสกลับ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดน้ำเสียงคลุมเครือว่า

“ที่แท้พวกสหายเชียนชิวมีเรื่องด่วนฉุกเฉินสำคัญ จึงจำเป็นต้องจากไปก่อน และยังนัดพบพวกเราที่เมืองฮ่วนเย่ ถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร…”

“เป็นเช่นนั้นแหละ ถึงแม้ไม่รู้ว่าทางเผ่าวิญญาณประสบกับเรื่องอะไรเข้า แต่ทำให้พวกเขาถึงกับรีบร้อนแยกพวกเราไปโดยไม่มีรอ คิดไปแล้วก็คงเผชิญกับเรื่องใหญ่ไม่แพ้กันแน่นอน พลังของเผ่าวิญญาณไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเรา จึงไม่ต้องห่วงอะไรกันมาก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่อาจรีรอ พวกเราเริ่มออกไปกันเถอะ ดูเหมือนทางเผ่ามารก็มีคนจำนวนมากที่คิดไม่ต่างจากพวกเรา และมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เริ่มหนีไปจากเมืองเซวี่ยยาแล้ว” บรรพชนตระกูลหล่งพยักหน้า สายตากวาดมองออกไปไกลปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หานลี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ส่งจิตสัมผัสออกไปส่องสำรวจทั่วทุกด้านของเมืองเซวี่ยยาในทันที

ก็เห็นหลายคนในหมู่พวกมารกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ มีกองขบวนสิบกว่ากองที่ประกอบด้วยมารระดับสูงนับพันไปจากเมืองเซวี่ยยาแล้ว กำลังพุ่งไปยังทุ่งร้างไกลออกไปด้วยความระมัดระวัง

เช่นนี้ ในเมื่อมีคนนำไปก่อนแล้ว มารที่ยังเหลืออยู่ในเมืองก็ตื่นตระหนกกันมากยิ่งขึ้น พวกมารระดับล่างที่แออัดหนาแน่นบินออกจากเมืองเซวี่ยยาโดยไม่มีความลังเลใดๆ กระจายไปทั่วทุกสารทิศราวกับกระแสน้ำ