ตอนที่ 672 บุตรชายผู้ชั่วร้าย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นหลัวจื๋อยินที่ค่อย ๆ ลืมตา ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดราชินีเอลฟ์ก็ฟื้นขึ้นมาและถือว่าภารกิจแรกของพวกนางสำเร็จแล้ว

“เหลียนหยางรึ ?”

น้ำเสียงใสดังขึ้นเมื่อราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินสังเกตเห็นเหลียนหยางที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว

“ยินเอ๋อร์ เจ้าคงจะทุกข์ทรมานมามาก”

เหลียนหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มและคว้าร่างหลัวจื๋อยินเข้ามาในอ้อมกอดโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความรักและโหยหาอย่างเต็มเปี่ยม ความรู้สึกที่เขามีต่อราชินีเอลฟ์ปรากฏชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง

พวงแก้มของราชินีเอลฟ์แดงระเรื่อทันทีจนดูเหมือนสตรีเยาว์วัยที่ตกหลุมรักใครเป็นครั้งแรก ร่างของนางแผ่กลิ่นอายความสุขและความดึงดูดใจจนมิอาจละสายตาได้

“ท่านแม่ ท่านพ่อ อย่าเพิ่งแสดงความรักกันตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”

หลัวอวิ๋นซีอดยิ้มไม่ได้ เมื่อราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่านางโล่งใจและมีความสุขอย่างยิ่ง ส่วนตำแหน่งราชินีเอลฟ์ที่เคยใฝ่ฝันว่าจะคว้ามานั้น นางไม่สนใจมันอีกต่อไป

“หญิงเล็ก ชายรอง เจ้าทั้งสองก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เมื่อเห็นหลัวอวิ๋นซีและหลัวหมิงหล่าง หลัวจื๋อยินก็ผลักเหลียนหยางออกไปอย่างเขินอายและกล่าวทักทายบุตรทั้งสอง

ดูจากลักษณะท่าทางของราชินีเอลฟ์ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าโดยปกติแล้วนางน่าจะเป็นคนสบาย ๆ ซึ่งไม่สนใจพิธีรีตองหรือมารยาทมากนัก

“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นขึ้นเสียที ข้าและพี่ ๆ เป็นห่วงท่านมากนัก”

องค์หญิงเล็กก้าวตรงเข้าไปหาหลัวจื๋อยินและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

และคำพูดของนางทำให้หลัวจื๋อยินนึกถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ใบหน้าของนางเปลี่ยนกลายเป็นเยือกเย็นทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง “หลัวหมิงรุ่ย…เจ้าลูกชั่ว !”

แรกเริ่มเดิมที นางพลาดท่าให้กับกลอุบายของหลัวหมิงรุ่ยก่อนถูกครอบงำโดยทักษะสาปวิญญาณและหมดสติไป หากมิใช่เพราะไว้วางใจในตัวบุตรชายคนโตมากจนเกินไป นางก็คงไม่หลงกลให้กับแผนการของเขา

“อีกอย่าง…ข้าตื่นขึ้นมาได้อย่างไร ?”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลัวจื๋อยินก็เอ่ยถามออกไปด้วยความฉงนสงสัยทันที นางทราบดีว่าการตื่นขึ้นมาและหลุดพ้นจากทักษะสาปวิญญาณมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด การที่นางฟื้นคืนสติขึ้นมาได้เช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

“ยินเอ๋อร์ เรื่องนี้ต้องขอบคุณอวี้โม่และสหายของนาง หากมิใช่เพราะพวกนางช่วยตามหาต้นโพธิ์และได้รับหยดน้ำทิพย์จากมันมา เจ้าก็คงไม่ตื่นขึ้นมาเช่นนี้”

ขณะกล่าวเช่นนั้น สายตาของเหลียนหยางก็มองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างซาบซึ้งใจ หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในสถานการณ์ของพวกเขา เกรงว่าเขาคงจะสูญเสียหลัวจื๋อยินอันเป็นที่รักไปตลอดกาล

“ท่านแม่ ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จัก นี่คือฉินอวี้โม่ และนี่คือหานโม่ฉือ—สามีของนาง ส่วนนี่คือลูกพี่ลูกน้องของข้า—สั่วซีหย่า นางเป็นบุตรสาวของท่านลุง”

หลัวอวิ๋นซีกล่าวแนะนำคนทั้งสามพร้อมรอยยิ้ม ในเวลานี้ ความหลงใหลคลั่งไคล้ที่นางมีต่อหานโม่ฉือก็ค่อย ๆ ลบเลือนหายไป

“บุตรสาวของท่านพี่งั้นรึ ?”

ราชินีเอลฟ์กล่าวด้วยความประหลาดใจขณะสายตาจับจ้องไปที่สั่วซีหย่าและเห็นถึงความละม้ายคล้ายคลึงกับหลัวจื้อเลี่ยก่อนโบกมือให้นางเข้ามาใกล้

สั่วซีหย่าเดินตรงเข้ามาหาราชินีเอลฟ์อย่างช้า ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอา”

“อืมม…เป็นเด็กดีจริง ๆ เจ้าคงจะเป็นบุตรสาวของพี่ใหญ่กับสตรีในโลกภายนอกสินะ”

หลัวจื๋อยินแตะมือของสั่วซีหย่าอย่างอ่อนโยน

สั่วซีหย่าก็พยักหน้ายืนยันตัวตนของนาง

“แล้วมารดาของเจ้าล่ะ ?”

หลัวจื๋อยินกล่าวถามอีกครา นางต้องการพบด้วยตัวเองว่าสตรีเช่นใดกันที่ครองหัวใจพี่ชายของตนได้อยู่หมัด

“นางไม่อยู่บนโลกนี้แล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อกล่าวถึงมารดา ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด สั่วซีหย่าก็ยังเศร้าใจอยู่ไม่น้อย หากมิใช่เพราะสิ่งที่ตู้ซีรั่วทำ มารดาและบิดาของนางก็คงจะได้ครองรักกันยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อเห็นสีหน้าของสั่วซีหย่า หลัวจื๋อยินก็ไม่เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ นางเพียงดึงร่างหลานสาวเข้ามากอดและกล่าวขึ้นเบา ๆ “ไม่เป็นไร อาจะรักเจ้าไม่ต่างจากมารดาของเจ้า”

สั่วซีหย่าพยักศีรษะและปล่อยให้ราชินีเอลฟ์กอดตนต่อไปโดยไม่ผละออก

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่และผละออกจากสั่วซีหย่า ราชินีเอลฟ์ก็หันไปมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน หลัวจื๋อยินก็ชะงักไปเล็กน้อยทันทีและอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ชิงเหอ…?”

อย่างไรก็ตาม นางเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ขณะพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “ไม่ใช่หรอก…นางไม่ใช่ชิงเหอ แม้จะดูละม้ายคล้ายกัน นางก็ไม่ใช่…”

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที นางไม่ได้ยินเสียงพึมพำดังกล่าวและสังเกตเห็นเพียงว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูเหม่อลอยไปชั่วขณะจนเกิดความสงสัยขึ้นมา

“แม่นาง เจ้าดูเหมือนสหายเก่าคนหนึ่งของข้าจริง ๆ”

สีหน้าของหลัวจื๋อยินกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วและจับมือของฉินอวี้โม่ไว้ก่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“เอ๋…?”

ฉินอวี้โม่ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะผู้ที่ราชินีเอลฟ์กล่าวถึงคงมิใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋น—มารดาของตน ตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นน่าจะมีอายุเพียงสี่สิบหรือห้าสิบปีเท่านั้น ในขณะที่ราชินีเอลฟ์มีอายุยาวนานกว่าพันปีและไม่เคยออกจากชนเผ่าเอลฟ์ตลอดพันปีที่ผ่านมา โดยหลักการแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทั้งสองจะเคยพบกัน

“นางมีนามว่าชิงเหอ เราพบกันประมาณพันปีก่อน ทว่านางก็เพลี่ยงพล้ำไปในสงครามกับฝ่ายมารครานั้น…”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อน หลัวจื๋อยินก็ยังคงรู้สึกเศร้าเสียใจไม่น้อย นางจำภาพทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการต่อสู้สะเทือนทั้งใต้หล้าครานั้นได้เป็นอย่างดี

ในเวลานั้น นางยังมิใช่ราชินีผู้ปกครองชนเผ่าเอลฟ์และได้พบสหายที่ดีหลายคนในดินแดน หนึ่งในนั้นก็คือชิงเหอ—สตรีลึกลับผู้มีรูปลักษณ์คล้ายกับฉินอวี้โม่ตรงหน้าของนาง และอีกคนก็คือฉินเฟยเหยียน—เทพมายาคนก่อน

ความแข็งแกร่งของพวกนางทั้งสามไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก ทว่าหากให้เปรียบเทียบกันจริง ๆ หลัวจื๋อยินก็อ่อนแอกว่าพวกนางเล็กน้อย ในขณะที่ชิงเหอผู้นั้นก็มีภูมิหลังที่ลึกลับอย่างยิ่ง แม้แต่นางและอดีตเทพมายาก็ไม่เคยทราบตัวตนที่แท้จริงของสตรีผู้นั้น

ในการต่อสู้ครั้งสำคัญของทั้งดินแดน ทั้งสามทุ่มเทเข้าร่วมการต่อสู้อย่างสุดฝีมือและได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสิ้น

ชิงเหอและเทพมายาคนก่อนก็เพลี่ยงพล้ำไปในสงครามโดยคนหนึ่งถูกกำจัดและอีกคนหายสาบสูญไป หลังจากนั้น หลัวจื๋อยินก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับพวกนางอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน

“ชิงเหอ…”

ฉินอวี้โม่กล่าวชื่อนั้นเบา ๆ ทว่าเกิดความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ราวกับว่านางรู้จักคนผู้นั้นและเป็นความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนบางอย่าง

“ฮ่าๆๆ อย่าพูดเรื่องเก่าเมื่อพันปีก่อนกันเลย ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของฉินเฟยเหยียนและกลายเป็นเทพมายาคนใหม่สินะ”

หลัวจื๋อยินยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยตรง นางสัมผัสได้ถึงพลังผันผวนที่คุ้นเคยอย่างมาจากฉินอวี้โม่จึงทราบว่านางครองกายเทพมายาและเป็นเทพมายาคนใหม่

“เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและจำชื่อของชิงเหอไว้ในใจ หากมีโอกาสหลังจากนี้ นางจะหาทางสืบข่าวเกี่ยวกับสตรีผู้นั้นให้ได้ นางมีลางสังหรณ์ในใจว่าสตรีผู้นั้นจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับตนเอง

“เช่นนั้นเราทั้งสองก็ถูกลิขิตให้มาพบกัน เจ้าเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายาจากสหายฉินเฟยเหยียนและตอนนี้ก็ช่วยชีวิตข้าไว้ ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำเรามาพบกัน”

หลัวจื๋อยินกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง นอกจากรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับสหายเก่าแก่ของตน ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ยังเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายาจากฉินเฟยเหยียนและช่วยชีวิตนางไว้ นางเชื่อว่าโชคชะตาของตนและสตรีตรงหน้าจะต้องผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง

“จิ๊จิ๊จิ๊ สามีของเจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขั้นฝึกวิชาจนบรรลุกายโกลาหลได้”

หลังจากหันไปมองหานโม่ฉือ ราชินีเอลฟ์ก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

นางมองเห็นพลังความแข็งแกร่งและร่างกายของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างทะลุปรุโปร่งเพราะนางมีพรสวรรค์พิเศษที่เรียกว่า ‘จิตแห่งเทพเอลฟ์’ ดวงตาของนางสามารถมองทะลุถึงความแข็งแกร่งและสภาวะร่างกายของทุกคนได้ แม้กระทั่งยอดฝีมือนภาเซียนก็ไม่อาจหลบซ่อนจากสายตาของนางได้

“ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณคำชมเชยจากราชินีเอลฟ์แทนหานโม่ฉือ ความตรงไปตรงมาของนางก็ทำให้หลัวจื๋อยินรู้สึกถูกชะตาอย่างมาก

“จะว่าไปแล้ว เจ้าและชิงเหอก็มีลักษณะนิสัยที่คล้ายกันไม่น้อยเลย เจ้าทั้งสองมิใช่คนใจแคบและกระมิดกระเมี้ยน พวกเจ้าต่างก็มีความกล้าและเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนยอมจำนนได้ง่าย ๆ”

หลังจากกล่าววาจาอย่างสบาย ๆ ราชินีเอลฟ์ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง

“เอาล่ะ หากข้าเดาไม่ผิด คงจะมีคนจากฝ่ายมารที่แฝงตัวอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ของเรา…”

“เจ้าค่ะท่านแม่และพวกเขาก็ยังมีเป็นจำนวนมาก คราก่อนตู้ซีรั่วพาคนไปที่เผ่าของข้าเพื่อแย่งชิงต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ ต้นโพธิ์ก็คงตกไปอยู่ในมือคนชั่วพวกนั้นแล้ว และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริง ต่อให้เราร่วมมือกับขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ในดินแดน เราก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้”

หลัวอวิ๋นซีกล่าวอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะกล่าวถึงตู้ซีรั่ว ตู้ซีรั่วและตระกูลของนางเป็นพวกเดียวกับขุมกำลังมารร้ายมานานแล้วและไม่จำเป็นต้องใจอ่อนหรือปรานีต่อคนเหล่านั้นอีกต่อไป

“เหอะ ตระกูลตู้ช่างอาจหาญยิ่งนัก !”

หลัวจื๋อยินแค่นเสียงเย็นชาและแรงกดดันทรงพลังของราชินีเอลฟ์ก็แผ่ออกไปอย่างชัดเจน

“ยินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่นอนพักผ่อนก่อนรึ ?”

เหลียนหยางเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและร่างกายของราชินีเอลฟ์มากที่สุด เมื่อได้ยินวาจาของนาง เขาจึงอดเอ่ยขัดจังหวะด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงหลับไปและไม่ได้สติชั่วคราวเท่านั้น ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์เลวร้ายกว่ามาก ข้าต้องดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้”

หลัวจื๋อยินยืนขึ้นและกล่าวตอบ นางเป็นราชินีผู้ปกครองชนเผ่าเอลฟ์มานานนับพันปีและมีส่วนร่วมในสงครามใหญ่กับฝ่ายมารครานั้น แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในชนเผ่าเอลฟ์จะมิใช่เรื่องใหญ่สำหรับนาง อย่างไรก็ตาม นางก็ต้องรีบสะสางปัญหาเหล่านั้นให้ได้โดยเร็ว

“ข้าจะไปกับเจ้า และครานี้ข้าให้คำมั่นว่าจะไม่ไปจากเจ้าอีก !”

เหลียนหยางจับมือหลัวจื๋อยินไว้แน่น คราก่อนเขาออกจากพระราชวังเอลฟ์และทอดทิ้งนางเพราะเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง ทว่าบัดนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะอยู่เคียงข้างราชินีเอลฟ์และฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปกับนาง

“หลังจากผ่านเวลามานานหลายปี เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างข้า”

ราชินีเอลฟ์กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจและนางเองก็รักเหลียนหยางมากเช่นกัน นางมีสามีทั้งหมดสี่คน ทว่ามีเพียงเหลียนหยางผู้นี้และอีกคนหนึ่งที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่จริงใจกับนางอย่างแท้จริง ส่วนอีกสองคนที่เหลือเพียงต้องการผลประโยชน์จากนางเท่านั้น

“ชายรอง ตอนนี้ใครดูแลกองทัพอยู่รึ ?”

ราชินีเอลฟ์หันไปมองบุตรชายคนรองของตนและกล่าวถามด้วยสีหน้าที่กลับเป็นปกติ

“น้องสามอยู่ที่นั่นขอรับ ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง”

หลัวหมิงหล่างกล่าวตอบอย่างสั้น ๆ ด้วยท่าทางเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง

“ชายสามจัดการเรื่องในกองทัพ ชายห้าดูแลเผ่าของตัวเองและพี่ใหญ่ก็ช่วยทางนั้นอยู่ เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พวกเจ้าทุกคนไปที่เมืองราชวงศ์กับข้าเถอะ เราจะไปร่วมงานสถาปนาขึ้นครองราชย์อันยิ่งใหญ่ของบุตรชายผู้ชั่วช้าของข้ากัน !”

หลัวจื๋อยินพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก !

.